กรุงเทพฯ--22 มี.ค.--สยาม พีอาร์ คอนซัลแทนท์
มุ่งพัฒนามาร์เก็ตติ้ง เผยยอดขายพีเจ้น เติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละกว่า 10 % ครองแชมป์ตลาดด้วยส่วนแบ่งกว่า 54 % ของตลาดระดับพรีเมียม เตรียมกลยุทธ์แนวรุกเพื่อรักษาความเป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องใช้สำหรับแม่และเด็ก “พีเจ้น” อย่างต่อเนื่อง ด้วยการขยายช่องทางจำหน่ายมากขึ้น ก่อนรุกทำตลาดในต่างจังหวัดหวังเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ ตั้งเป้ายอดขายสิ้นปีโต 15 %
นายนิรามัย ลักษณานันท์ รองประธานบริหารฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท มุ่งพัฒนามาร์เก็ตติ้ง จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจผลิตภัณฑ์แม่และเด็กในปัจจุบันว่า ตลาดผลิตภัณฑ์แม่และเด็กโดยรวมยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากจำนวนผู้เข้าร่วมแข่งขันในตลาดดังกล่าวทั้งรายเก่าและรายใหม่มีเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ส่งผลให้สภาวะการแข่งขันในขณะนี้สูงกว่าทุกปีที่ผ่านมา ซึ่งจากตัวเลขมูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์แม่และเด็กในปี 2548 ที่ผ่านมา มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 570 ล้านบาท เติบโตขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แบ่งเป็น สินค้าในระดับตลาดพรีเมี่ยม 255 ล้านบาท หรือคิดเป็น 45% ของมูลค่าตลาดรวม เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ที่มีมูลค่าเพียง 223 ล้านบาท ตลาดระดับกลาง 148 ล้านบาท หรือ 26% เพิ่มขึ้นจาก 132 ล้านบาท ด้วยสัดส่วน 25% ในปีก่อน และตลาดระดับล่าง 167 ล้านบาท หรือ 29% ไม่เปลี่ยนแปลงด้านมูลค่า แต่ส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มนี้ ลดลงจาก 32% ในปีที่แล้ว เนื่องจากใช้กลยุทธ์ด้านการลดราคาเพียงอย่างเดียว
ส่วนปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดในระดับพรีเมียมเพิ่มสูงขึ้น เนื่องมาจากปัจจุบันผู้หญิงยุคใหม่ที่มีความเป็น Working Women มีไลฟ์สไตล์ ( Life style) ที่เปลี่ยนไปจากเดิม โดยเริ่มหันมาให้ความสนใจด้านการเลี้ยงลูกด้วยตนเองมากขึ้น ควบคู่ไปกับความเป็น Modern Mom ส่งผลให้ผู้หญิงยุคใหม่นิยมมีลูกไม่เกิน 1 - 2 คน ส่วนใหญ่มักมีการศึกษาที่สูงขึ้น มีรายได้มากขึ้น จึงมีพฤติกรรมที่ฉลาดเลือก พิถีพิถันกับการจับจ่ายใช้สอยเพื่อเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพรวมถึงประโยชน์ใช้สอย ที่เหมาะกับลูกของตน (Functional) มากกว่าราคา ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ในกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และตัดสินใจซื้อจากความน่าเชื่อถือของตราสินค้า เพราะจากการวิจัยพบว่าทัศนคติของคุณแม่ยุคใหม่กว่า 90% ยอมจ่ายแพงขึ้นอีกนิดเพื่อผลิตภัณฑ์ที่ดูดีเหมาะกับลูก ไม่ยึดติดกับแบรนด์เนม แต่จะมีความกังวลกับสุขภาพ และพัฒนาการของลูกค่อนข้างมาก ประกอบกับการมีผู้ประกอบรายใหม่ที่เข้าร่วมแข่งขันในตลาดดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ส่งให้ตลาดผลิตภัณฑ์แม่และเด็กระดับพรีเมียมมีอัตราการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต
“สิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้แข่งขันแต่ละรายต้องให้ความสำคัญในการทำตลาดสินค้าสำหรับแม่และเด็ก คือ ต้องเข้าใจถึงพฤติกรรมของคุณแม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับอดีต โดยเฉพาะการพัฒนาสินค้า และการสื่อสารทางการตลาดต้องสอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของคุณแม่ตลอดเวลา ผ่านการนำเสนอสินค้าที่มีความน่าเชื่อถือ และการใช้งานที่ตอบสนองด้านการเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีของทารก พร้อมๆ ไปกับการอำนวยความสะดวกให้กับคุณแม่ในการเลี้ยงลูก” นายนิรามัย กล่าวเสริม
สำหรับแนวโน้มของภาวะตลาดผลิตภัณฑ์แม่และเด็กในปี 2549 นี้ ตลาดโดยรวมยังคงมีการเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา แม้ว่าอัตราการเกิดจะลดน้อยลง โดยแต่ละบริษัท ยังคงให้ความสนใจในเรื่องของการพัฒนาคุณภาพของสินค้าให้มีความหลากหลาย เพื่อให้ตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น รวมถึงเน้นการขยายช่องทางจัดจำหน่ายใหม่ อาทิ ร้านสเปเชี่ยลตี้ เป็นต้น พร้อมไปกับการสร้างแบรนด์ของสินค้าตนเองอีกด้วย
โดยในส่วนของผลิตภัณฑ์พีเจ้นได้เปรียบคู่แข่งขันในตลาด ใน 4 ส่วนหลัก คือ 1.คุณภาพของสินค้าที่พัฒนาขึ้นในประเทศญี่ปุ่น สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นชาวเอเชียโดยเฉพาะ 2.ราคาสินค้าเมื่อเปรียบเทียบกับรายอื่นๆ ในกลุ่มสินค้าเดียว Pigeon ยังมีความได้เปรียบเนื่องจากมีฐานการผลิตในประเทศไทย 3.ช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และ 4.การทำตลาดที่เน้นการสร้าง Brand Value ของ Pigeon ให้แตกต่างกับ Player รายอื่นๆ ทั้งในส่วนของ Functional & Emotional approaching
นายเมธิน เลิศสุมิตรกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท มุ่งพัฒนามาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า สำหรับยอดขายของบริษัทในปี 2548 ที่ผ่านมา เป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทวางไว้ คือ มีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก (double digit) ยอดขายแต่ละกลุ่มสินค้า ซึ่งบริษัทฯ มียอดขายสำหรับสินค้าพีเจ้นรวมประมาณ 215 ล้านบาท หรือคิดเป็น 38% จากมูลค่าตลาดรวมผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก 570 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายจากกลุ่มสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ 65% และส่วนที่เหลืออีก 35% เป็นยอดขายจากกลุ่มสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ
ส่วนแผนการดำเนินงานและเป้าหมายทางการตลาดของบริษัทในปีนี้ บริษัทวางเป้าหมายที่จะรักษาความเป็นผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องใช้สำหรับแม่และเด็กของพีเจ้น ตอกย้ำถึงการเป็น “ผู้เชี่ยวชาญพัฒนาการเด็กและทารก” โดยยังคงรักษาอัตราการเติบโตด้านยอดขายไว้ที่ตัวเลข 2 หลัก (double digit rates) โดยรุกเข้าไปในช่องทางจัดจำหน่ายใหม่ ๆ เน้นการสร้างความแตกต่างของสินค้าจากคู่แข่งด้วยการเพิ่มความหลากหลายทั้งตัวสินค้าและคุณภาพรวมไปถึงคุณค่าของสินค้า ผ่านทางกิจกรรมทางการตลาดและการโฆษณา-ประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์การตลาดที่นำมาใช้ ด้วยการรักษาความแตกต่างของตราสินค้าพีเจ้นด้วยการเพิ่มมูลค่าของสินค้า ขยายไลน์สินค้าควบคู่กับการเพิ่มประโยชน์ใช้สอยในตัวสินค้า และการเพิ่มปริมาณสินค้านำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้คลอบคลุมทุกความต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น รวมถึงการใช้กลยุทธ์เพื่อกระตุ้นยอดขายด้วยการขยายช่องทางการจำหน่ายออกสู่ร้าน Specialty Shops ร้านพีเจ้น การใช้กลยุทธ์แบบการขายตรง (Direct Sales), อี-คอมเมิร์ซ โดยเฉพาะ การรุกเข้าสู่ตลาดในต่างจังหวัดของบริษัทเพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทจะยังคงเน้นเรื่องการโฆษณา-ประชาสัมพันธ์และการส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง
"พีเจ้นวาง positioning ไว้ที่การเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของพัฒนาการเด็ก และทารก โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นคุณแม่รุ่นใหม่มีความเป็น conventional มีลักษณะของ Working Women ต้องการเลี้ยงลูกด้วยตนเองควบคู่ไปกับการทำงานนอกบ้าน ซึ่งในช่วง 5 - 10 ปี ที่ผ่านมา อัตราการเกิดของเด็กเริ่มลดต่ำลง เมื่อปีที่แล้วมีประมาณ 6.6 แสนราย เป็นดัชนีที่บอกเราว่าครอบครัวยุคใหม่จะมีลูกไม่เกิน 1 - 2 คน อัตราการใช้จ่ายต่อคนหรือ Spending per head จึงสูงขึ้น โดยเฉพาะกับลูกคนแรก สินค้าของเราจึงมุ่งเน้นเกี่ยวกับการเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กในระดับพรีเมียม ถือเป็นจุดที่เราได้เปรียบคู่แข่งขัน
นอกจากนั้น พีเจ้น ยังเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีที่ประเทศญี่ปุ่น และยังเป็นแบรนด์ที่มียอดขายเป็นอันดับหนึ่งอย่างต่อเนื่องหลายปี จุดนี้เองที่ทำให้เราพยายามสื่อสารและชี้ให้ลูกค้าเราเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวทางการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์นั้น เราพัฒนาขึ้นจากทารกเอเชียโดยเฉพาะ ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวถือว่ามีความจำเป็นมาในปัจจุบัน เนื่องจากมีผู้แข่งขันมากหลาย บริษัทจึงจำเป็นต้องประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคได้รับรู้และจดจำไว้ภายในใจ ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างความภักดีของแบรนด์อย่างแท้จริง” นายเมธิน กล่าวในที่สุด
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
จิดาภา ประมวลทรัพย์, สมฤทัย ผลพละ
บริษัท สยาม พีอาร์ คอนซัลแทนท์ จำกัด
โทร. 0-2693-7835-8 ต่อ 32, 34,
0-1817-7153, 0-9446-3324
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net