กรุงเทพฯ--18 ส.ค.--เซ็นทรัลพัฒนา
บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ชี้แจงผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2549 ดังนี้ “บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 431.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 15.2 โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของอัตราการเช่าพื้นที่สำหรับอาคารสำนักงานเซ็นทรัลเวิล์ด การเปิดให้บริการพื้นที่ส่วนขยายของโครงการเซ็นทรัลทาวน์ รัตนาธิเบศร์ เมื่อเดือนกันยายน 2548 ประกอบกับอัตราค่าเช่าต่อตารางเมตรที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงการต่ออายุสัญญาเช่าของผู้เช่าเดิมและการทำสัญญาเช่าของผู้เช่ารายใหม่ในเกือบทุกโครงการของบริษัทฯ นอกจากนี้ยังมีรายได้อื่นจากการเป็นผู้บริหารสินทรัพย์ให้กับกองทุน CPNRF และส่วนแบ่งผลกำไรจากการถือหน่วยลงทุน 33% ในกองทุน CPNRF ด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทฯ มีกำไรสุทธิลดลงร้อยละ 5.6 เนื่องจากการปิดพื้นที่บางส่วนของโครงการเซ็นทรัลเวิล์ดและเซ็นทรัลพลาซา รามอินทราในเดือนมีนาคมและพฤษภาคมเพื่อทำการปรับปรุง และต้นทุนค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น
บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) มีรายได้รวมจากค่าเช่า ค่าบริการ ค่าอาหารและเครื่องดื่มในไตรมาสที่ 2 ปี 2549 จำนวน 1,596.1 ล้านบาท ลดลงจากเดิมร้อยละ 3.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ประกอบด้วยรายได้จากค่าเช่าและบริการ จำนวน 1,486.3 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากการโอนผลการดำเนินงานส่วนใหญ่ของโครงการเซ็นทรัลพลาซา พระราม 2 และเซ็นทรัลพลาซา รัชดา-พระราม 3 ไปยังกองทุน CPNRF ขณะที่รายได้อาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 109.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม รายได้รวมจากค่าเช่าค่าบริการ ค่าอาหารและเครื่องดื่มของโครงการอื่น (ไม่รวมเซ็นทรัลพลาซา พระราม 2 และเซ็นทรัลพลาซา รัชดา-พระราม 3 ) ในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลมาจากอัตราการเช่าพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นของอาคารสำนักงานเซ็นทรัลเวิล์ดจากร้อยละ 45 ในไตรมาสที่ 2 ปีก่อน เป็นร้อยละ 84 ในไตรมาสนี้ ประกอบกับการเปิดให้บริการพื้นที่ขายส่วนขยายของโครงการเซ็นทรัลทาวน์ รัตนาธิเบศร์ และอัตราค่าเช่าต่อตารางเมตรที่ปรับตัวสูงขึ้นในเกือบทุกโครงการ
สำหรับไตรมาสนี้ กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ลดลงร้อยละ 7.1 ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการโอนผลการดำเนินงานส่วนใหญ่ของโครงการเซ็นทรัลพลาซาพระราม 2 และเซ็นทรัลพลาซา รัชดา-พระราม 3 ไปยังกองทุน CPNRF เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทฯ มี EBITDA ลดลงร้อยละ 4.7 ส่วนใหญ่จากการปิดพื้นที่บางส่วนของโครงการเซ็นทรัลเวิลด์ (ตั้งแต่เดือนมีนาคม) เพื่อทำการปรับปรุงและต้นทุนค่าเช่าและบริการที่สูงขึ้น
จากภาวะค่าครองชีพสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้น ตลอดจนความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและสถานการณ์ทางการเมือง ส่งผลให้สภาพตลาดค้าปลีกและยอดขายสินค้าโดยรวมชะลอตัวลงโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าแบรนด์หรูในหมวดฟุ่มเฟือย ซึ่งทางบริษัทฯ เห็นว่าภาวการณ์เช่นนี้จะยังคงดำเนินต่อไปจนถึงสิ้นปี 2549 อย่างไรก็ตาม ดังจะเห็นได้ในผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ปี 2549 นี้ บริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากภาวการณ์ดังกล่าวเพียงเล็กน้อย เนื่องจากศูนย์การค้าของบริษัทฯ เน้นกลุ่มลูกค้า
ผู้มีรายได้ปานกลางถึงผู้มีรายได้ค่อนข้างสูง ซึ่งสถาวะการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองดังกล่าวมี ผลกระทบไม่มากนักต่อการจับจ่ายใช้สอย ประกอบกับรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทฯ มาจากค่าเช่าซึ่งเป็นอัตราที่ระบุไว้แน่นอนในสัญญาเช่า ถึงกระนั้น บริษัทฯ จะยังคงบริหารพื้นที่เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในด้านของการเพิ่มอัตราการเช่าพื้นที่และอัตราค่าเช่า ตลอดจนการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ส่วนกลางในการทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อเพิ่มรายได้และจำนวนผู้มาใช้บริการ
นอกจากนั้น ในไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เริ่มดำเนินการปรับปรุงและปรับผังพื้นที่ (Rezoning) ในหลายโครงการ อาทิ โครงการเซ็นทรัลทาวน์-รัตนาธิเบศร์, โครงการเซ็นทรัล พลาซา รัชดา-พระราม 3 และ โครงการเซ็นทรัลพลาซา-รามอินทรา ซึ่งการปรับปรุงดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบได้ภายในสิ้นปีนี้ สำหรับโครงการเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น จะเปิดให้บริการเฟสแรกในวันที่ 18 สิงหาคมนี้ รายได้และกำไรจากโครงการนี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนตั้งแต่เดือนธันวาคม 2549 นี้ เป็นต้นไป
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
โทร.0-2264-5555 ต่อ 1614 โทรสาร. 02-264-5593