กรุงเทพฯ--29 ธ.ค.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ของ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทในการเป็นผู้ประกอบการรายเดียวที่มีโครงข่ายท่อส่งน้ำดิบครอบคลุมพื้นที่ในเขตชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก แนวโน้มการเติบโตที่ดีในธุรกิจให้บริการน้ำประปา และความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัท นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังมีปัจจัยสนับสนุนจากลักษณะธุรกิจที่ผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาได้ยาก รวมทั้งรายได้ที่แน่นอนสม่ำเสมอ และความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจที่อยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของบริษัทมีข้อจำกัดบางประการจากความต้องการเงินลงทุนที่สูง ความไม่แน่นอนของสภาพภูมิอากาศ และนโยบายของรัฐบาลในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำซึ่งยังไม่มีกรอบที่ชัดเจน
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงความสามารถในการรักษาระดับกระแสเงินสดรับไว้ได้ และการประกอบธุรกิจจะไม่ถูกกระทบในทางลบจากการเปลี่ยนแปลงของนโยบายรัฐบาล
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก ก่อตั้งในปี 2535 และเป็นผู้ให้บริการน้ำดิบเพียงรายเดียวในพื้นที่ 7 จังหวัดชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติให้ภาคเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบการพัฒนาและดำเนินการดูแลระบบท่อส่งน้ำดิบ บริษัทเช่าและดำเนินการบริหารโครงการท่อส่งน้ำดิบจำนวน 4 โครงข่ายซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังเพื่อให้บริการในจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา นอกจากนี้ บริษัทยังประกอบธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำด้วย ได้แก่ การให้บริการน้ำประปา บริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย บริการน้ำดื่ม และการผลิตท่อน้ำโดยผ่านทางบริษัทย่อยและบริษัทในเครือ บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายน้ำดิบคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของรายได้ทั้งหมด ธุรกิจน้ำประปาคิดเป็น 30% ของรายได้ ส่วนธุรกิจน้ำดื่มและธุรกิจท่อยังมีสัดส่วนค่อนข้างน้อย
ในรอบปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนกันยายน 2549 รายได้จากการจำหน่ายน้ำดิบของบริษัทขยายตัว 5% จากปีก่อน ซึ่งต่ำกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ระดับ 12% ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่ลูกค้าบางส่วนหันไปใช้น้ำจากแหล่งน้ำสำรองของตนเองเนื่องจากปี 2549 มีฝนตกชุกพอสมควร กระนั้น พื้นฐานธุรกิจของบริษัทก็ยังคงแข็งแกร่งเนื่องจากความต้องการใช้น้ำดิบของภาคอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ บริษัทไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องของคู่แข่งทางตรงในธุรกิจน้ำดิบไปอีกนานเนื่องจากบริษัทมีความพร้อมในด้านโครงข่ายท่อส่งน้ำ และข้อจำกัดด้านเงินลงทุนที่สูงในการเข้าสู่ธุรกิจนี้ ปริมาณน้ำที่มีอย่างเหลือเฟือในปี 2549 แตกต่างจากภาวะวิกฤตภัยแล้งในปี 2548 เป็นอย่างมาก ปริมาณกักเก็บน้ำในปัจจุบันของอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่ในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกอยู่ในระดับเกือบเต็ม การมีท่อส่งน้ำเพิ่มอีก 2 โครงข่าย (บางปะกง-บางพระ และประแสร์-คลองใหญ่) คาดว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารและจัดสรรน้ำจากแหล่งน้ำต่างๆ ไปยังจุดให้บริการของบริษัทได้เป็นอย่างดี สำหรับบริการน้ำประปา การสิ้นสุดการก่อสร้างของโครงการในระยองและสัตหีบ ซึ่งจะส่งผลให้มีการรับรู้รายได้เต็มในปีหน้า ประกอบกับแนวโน้มที่จะมีการประมูลโครงการน้ำประปาใหม่ๆ จะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาสัดส่วนการเติบโตให้สมดุลย์อยู่ได้
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า การดำเนินธุรกิจที่มีการแข่งขันต่ำซึ่งมีรายได้ที่แน่นอนเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก ในปีงบประมาณสิ้นสุด 2548/2549 บริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ 16.2% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่เพียงพอสำหรับบริษัทที่มีความแน่นอนของกระแสเงินสดรับ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายของบริษัทอยู่ที่ 44.8% ลดลงจาก 51.0% ในปีก่อน อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอ่อนแอลงจาก 41.2% ในปี 2547/2548 มาอยู่ที่ 50.6% ในปี 2548/2549 เนื่องจากภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นเพื่อการลงทุนกดดันสถานะทางการเงินของบริษัท ในอนาคต บริษัทคาดว่าเงินลงทุนในแต่ละปีจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งลดลงจาก 3,400 ล้านบาทในปี 2548/2549 เนื่องจากโครงการพื้นฐานระยะกลางส่วนใหญ่แล้วเสร็จสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ภาระหนี้สินของบริษัทมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นจากระดับปัจจุบัน แต่ความสามารถในการจ่ายหนี้น่าจะยังคงแข็งแกร่งอยู่
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ณ สิ้นสุดปี 2548/2549 บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก มีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ 4.6 เท่า ซึ่งมากกว่าเงื่อนไขของสัญญากู้ยืมเงินซึ่งกำหนดไว้ไม่ให้เกิน 4.5 เท่า ขณะนี้บริษัทอยู่ในขั้นตอนการเจรจากับผู้ถือหุ้นกู้และเจ้าหนี้รายหนึ่งเพื่อหาทางแก้ไข ทริสเรทติ้งจะคอยตรวจสอบสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดแม้ว่าภาระหนี้ในปัจจุบันจะไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของบริษัท