ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ “แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์”

ข่าวทั่วไป Friday April 28, 2006 09:26 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--28 เม.ย.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด ( มหาชน) ที่ระดับ “A” รวมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีประกันและหุ้นกู้ไม่มีประกันของบริษัทที่ระดับ “A+” และ “A” ตามลำดับ พร้อมคงแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนการดำรงสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย ตลอดจนผลงานที่เป็นที่ยอมรับ และตราสัญลักษณ์ที่เป็นที่รู้จัก นอกจากนี้ การให้อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงประสบการณ์ที่ยาวนานของคณะผู้บริหาร รวมถึงความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินของบริษัท อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากผลของอุปสงค์ในที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวลงซึ่งเกิดจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง รวมถึงจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยและต้นทุนค่าก่อสร้าง
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะผู้นำ รวมทั้งคุณภาพของสินค้า และตราสัญลักษณ์ที่แข็งแกร่งในตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เอาไว้ได้ต่อไป นอกจากนี้ ยังคาดว่าการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและการก่อสร้างที่รวดเร็วยิ่งขึ้นจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรในระดับที่น่าพอใจเอาไว้ได้แม้ในภาวะที่ตลาดชะลอตัวลง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์เป็นผู้นำในกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยของไทยซึ่งพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และอาคารชุดในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รายได้ส่วนใหญ่มากกว่า 90% ของบริษัทมาจากการขายโครงการบ้านจัดสรรประเภทบ้านเดี่ยวซึ่งมีราคาเฉลี่ยหลังละ 5.70 ล้านบาท ความสำเร็จจาก
กลยุทธ์ “บ้านสร้างเสร็จก่อนขาย” ช่วยให้บริษัทสามารถลดระยะเวลาในการก่อสร้าง และสามารถสร้างกระแสเงินสดได้เร็วกว่าคู่แข่ง โดยปรากฏผลจากการที่บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับระดับหนี้
ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2548 เป็นที่น่าพอใจ โดยบริษัทโอนบ้านให้ลูกค้าไปแล้วประมาณ 4,000 หลังซึ่งมีราคาขายเฉลี่ยหลังละ 5.62 ล้านบาท บริษัทมียอดขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย 22,745 ล้านบาท ซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่หนึ่งของกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในปี 2548 ยังอยู่ในระดับดีแต่ลดลงเล็กน้อยเนื่องจากบริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานประมาณ 25% ซึ่งต่ำกว่าปี 2547 จำนวน 4% การลดลงดังกล่าวเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าจ้างแรงงาน และราคาน้ำมัน อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับ 36.8% ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2547 แต่ยังคงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
ในปี 2549 บริษัทวางแผนจะเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรประเภทบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์จำนวน 12 โครงการ ในระดับราคาตั้งแต่หลังละ 3 ล้านบาทถึง 5 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังวางแผนจะพัฒนาโครงการเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์และโครงการบ้านพักตากอากาศให้เช่าเพื่อเพิ่มรายได้ที่สม่ำเสมอให้แก่บริษัทมากขึ้นด้วย ซึ่งการก่อสร้างโครงการเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์และบ้านพักตากอากาศให้เช่าคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2550 อย่างไรก็ตาม รายได้ประจำจากโครงการทั้ง 2 แห่งยังเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับรายได้จากธุรกิจบ้านจัดสรร นอกจากนี้ บริษัทยังขยายสู่ธุรกิจธนาคารพาณิชย์โดยการถือหุ้น 43% ในธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) (ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์) ซึ่งในระยะแรกธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์เน้นการให้บริการด้านสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเป็นสำคัญ และคาดว่าจะช่วยส่งเสริมธุรกิจหลักของบริษัทจากการที่ลูกค้ามีทางเลือกในการกู้เงินมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากธนาคารเพิ่งเริ่มดำเนินกิจการ ดังนั้นความสำเร็จของธนาคาร รวมทั้งผลกระทบที่จะมีต่อบริษัทยังต้องใช้เวลาในการพิสูจน์
ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าการแข่งขันในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในปี 2549 จะอยู่ในระดับปานกลางเนื่องจากมีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่น้อยลงในขณะที่อุปสงค์ยังคงทรงตัวต่อไป ทั้งนี้ ราคาวัสดุก่อสร้างและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นจะส่งผลทำให้กำไรของผู้ประกอบการลดลง ในขณะเดียวกัน นโยบายการปล่อยกู้ที่เข้มงวดยิ่งขึ้นของธนาคารพาณิชย์น่าจะเป็นปัจจัยจำกัดการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นน่าจะส่งผลให้อัตราการเติบโตของอุปสงค์ในที่อยู่อาศัยชะลอตัวลง สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันอาจส่งผลกระทบในทางลบต่อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยรวมเนื่องจากผู้ซื้อบ้านอาจจะชะลอการตัดสินใจซื้อบ้านใหม่ออกไป อย่างไรก็ตาม คาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะบรรเทาลงในระยะสั้นและน่าจะมีผลกระทบต่อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพียงชั่วคราว หลังจากนั้น อุปสงค์ในที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในตลาดสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางถึงต่ำก็คาดว่าจะคืนสู่ภาวะปกติ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ