กรุงเทพฯ--27 ธ.ค.--กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุกรรมญี่ปุ่น เผยยาบางตัว อาจกลายเป็นยาอันตรายหากใช้ไม่เหมาะสมกับปริมาณร่างกายต้องการ อินซูลิน-วาร์ฟาร์ลิน- อม็อกซี่ ครองแชมป์ส่งคนเข้าไอซียูสูงสุด ชี้ตรวจยีนเป็นทางออกให้ยาตรงโรคในปริมาณเหมาะสม เตรียมพัฒนาใช้เวลาวิเคราะห์ผลเพียง 80 นาที จากเดิม 2 สัปดาห์ เชื่อสามารถรักษาชีวิตคนป่วยได้มาก
ในโอกาสที่ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทย (TCELS) ได้เชิญ ศ.ดร.ยูซุเกะ นากามูระ ผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชพันธุศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์พันธุกรรมมนุษย์ มหาวิทยาลัยโตเกียว มาบรรยายให้กลุ่มแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ และนักวิจัยในหัวข้อ “Whole Genome Scan Identification Risk” เพื่อกระตุ้นให้เห็นถึงความสำคัญของพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคและการตอบสนองต่อยานั้น ศ.ดร.ยูซุเกะ กล่าวตอนหนึ่ง ว่า ในอดีตคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคเดียวกันจะใช้ยาขนาดและชนิดเดียวกัน เช่นยา วาร์ฟาร์ลิน ซึ่งเป็นยาที่ใช้ละลายลิ่มเลือด ไม่ให้แข็งตัวไปอุดตันสมอง ซึ่งจากการศึกษาจากประชากรญี่ปุ่นต่อการใช้ยาดังกล่าวนี้พบว่าผู้ป่วยมีการตอบสนองต่อยาแตกต่างกันมาก บางคนได้รับยาเพียง 0.5 มิลลิกรัมก็ตอบสนองยาได้ดี ขณะที่บางคนต้องให้ยาถึง 10 มิลลิกรัม จึงจะได้ผลในการรักษา
“จะเห็นว่า 2 กรณีมีความต่างกันถึง 25 เท่า หากให้ยาในขนาดที่ไม่เหมาะสมก็จะเกิดอันตรายต่อตัวคนไข้ได้ บางรายรุนแรงจนถึงขึ้นเลือดออกในสมองและลำไส้ ซึ่งจากการศึกษาคนไข้ 2,000,0000 คนพบว่า มีคนไข้ถึง 85,000 คน ที่เกิดภาวะดังกล่าวต้องเข้ารับการรักษาในห้องไอซียู ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วง” ศ.ดร.ยูซุเกะ กล่าว
ผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชพันธุศาสตร์จากแดนอาทิตย์อุทัย ยังกล่าวด้วยว่า หากผู้ให้การรักษาไม่มีความรู้ในความต่างของแต่ละบุคคล นอกจากจะทำให้เกิดผลเสียต่อการรักษาโดยตรงแล้ว ยังเป็นการสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็นอีกด้วย ซึ่งตัวอย่างของยาที่เป็นที่รู้จักกันดี และเสี่ยงที่จะทำให้เกิดผลเสียได้ หากใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม ได้แก่ อินซูลิน วาร์ฟาร์ลิน เพนนิซิลิน อม็อกซี่ ฯลฯ ดังนั้นก่อนการรักษาควรต้องมีการตรวจยีนเพื่อลดความเสี่ยงในการรักษา
“ขณะนี้ทางศูนย์ฯ ได้พัฒนาเครื่องตรวจวิเคราะห์ยีน เพื่อให้สามารถอ่านผลได้ภายใน 80 นาที จะสามารถทราบผลว่า ผู้ป่วยรายใด ต้องใช้ยาอะไรในปริมาณมากน้อยแค่ไหน จากเดิมที่ต้องใช้เวลาถึง 2 สัปดาห์ และในอนาคตจะพัฒนาให้เหลือ 30 นาที เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาคือ ปลอดภัย ได้ผลและประหยัด ” ศ.ดร.ยูซุเกะ กล่าว
สำหรับศูนย์พันธุกรรมมนุษย์ของ ศ.ดร.ยูซุเกะนั้น สามารถวิเคราะห์ SNP ได้ถึง 500 ล้าน SNP เนื่องจากมีเครื่องมือที่ทันสมัย จากการทดสอบพบว่ามีความถูกต้องถึง 99.98% ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาผู้ป่วยเกี่ยวกับการตอบสนองต่อยาในการรักษาด้วย นอกจากนี้ยังดำเนินโครงการ Hapmap กับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ศึกษาความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ ชนผิวขาวแถบยุโรป เอเชีย และแอฟริกา เพื่อดูความแตกต่างของพันธุกรรม หาความสัมพันธ์กับการเกิดโรค ซึ่งจากการศึกษาพบว่ามีความแตกต่างกันมาก ดังนั้นการให้ยาในการรักษาจึงต้องคำนึงถึงจุดนี้ด้วย
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net