สัมผัสกลิ่นอายแห่งเมืองหลากวัฒนธรรม กับบัตรไทย แวลู พลัส ที่ฮานอย และเว้

ข่าวท่องเที่ยว Friday July 14, 2006 11:50 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--14 ก.ค.--แม็กซิม่า คอนซัลแตนท์
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จัด ไทย แวลูพลัส เอ็กซ์คลูซีฟ ทริป ฮานอย — เว้ เมืองมรดกโลก สัมผัสประสบการณ์จริง กับเส้นทางท่องเที่ยวในมุมมองใหม่ เพื่อให้เป็นทริปพิเศษสำหรับผู้ที่เดินทางด้วยบัตร ไทย แวลู พลัส การ์ดพร้อมรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ โดยมี อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ เป็นไกด์กิตติมศักดิ์ นำชมและให้ความรู้ทั้งสาระและบันเทิง อย่างครบครันตลอดเส้นทาง ซึ่ง ทริปนี้จะจัดขึ้นสำหรับลูกค้าการบินไทยเพียง 2 ทริปเท่านั้น คือ วันที่ 4 — 6 สิงหาคม และ วันที่ 8 — 10 กันยายน ศกนี้ รองรับเพียง ทริปละไม่เกิน 20 ท่าน เพื่อการดูแล และบริการที่เป็นเยี่ยม คงความพิเศษให้แก่ลูกค้า โดยสามารถสั่งจองทริปดังกล่าว ได้ในงานสิงหาพาแม่เที่ยว ของการบินไทย ณ เซ็นทรัลชิดลม ชั้น 7 ระหว่างวันที่ 25 — 31 ก.ค. นี้ หรือติดต่อสอบถามรายละเอียด ที่ 0-2373-9751
อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ กล่าวว่า “ทริปนี้ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ ระดับ 5 ดาว ทั้งการกิน อยู่ เที่ยว ด้วยผู้ที่มีประสบการณ์ทางการบิน อย่างการบินไทย โคจรมาพบกับผู้มีประสบการณ์การเที่ยวทุกอย่างจึงลงตัว ทริป 3 วัน 2 คืน เราคัดสรรเฉพาะสถานที่เด็ด ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ แบบที่คนส่วนใหญ่พูดกันว่า must see จะได้เห็นวิถีชีวิต เห็นทุกมุม และด้วยฮานอยและเว้ เป็นเมืองที่มีมนต์เสน่ห์ สิ่งแรกที่มองเห็นคือ เมืองนี้ถูกหลอมรวมด้วยวัฒนธรรมของจีน และฝรั่งเศส แสดงออกมาในด้านวัฒนธรรม ทั้งสถาปัตยกรรมอย่างเช่นความงามของศิลปะอาร์ตโนโว, อาร์ตเดคโค และ คลาสสิค มีให้ชมอยู่มากมาย รวมถึงการแสดงออกถึงชีวิตความเป็นอยู่ ของสองวัฒนธรรมผสมผสานกันอย่างลงตัว อย่างเรื่องอาหารมีให้เลือกทั้งจีน, เวียดนาม หรือฝรั่งเศสแท้ ๆ หากินได้ง่ายเป็นสวรรค์ของนักกินนักดื่ม ที่ชอบมากคือ 2 ชั่วโมงบินจากเมืองไทยเพื่อให้ได้ยลโฉมตึกโคโลเนียล ที่สวยงาม มองดูความกระตือรือร้นของคนเวียดนาม ที่เพิ่งผ่านภาวะสงคราม อีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ก็คือ การเรียนรู้เพื่อหาประสบการณ์ เปิดโลกทัศน์ ซึ่งถือเป็นการเสียเงินค่าเล่าเรียนที่ถูก แต่ให้ปรัชญาการดำเนินชีวิต ที่หาไม่ได้ง่าย ๆ เรียนรู้ความแตกต่าง ซึ่งตรงนี้ให้อะไรกับเราได้มากมาย ทำให้เราสนุกกับการที่ได้เจอสิ่งแปลกใหม่”
อาจารย์เผ่าทอง ยังแนะนำวิธีการนำเที่ยวแบบเฉพาะของตนเองว่า “ครั้งแรกที่เรามาเจอกันก่อนเดินทาง เราต้องทำลายสิ่งที่กันขวางเรา ทำลายความแปลกหน้านั้นออกไป แล้วหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง การได้พูดคุยกับลูกทัวร์ ทำให้เราได้รู้ ไกด์ที่ดี ไม่ใช่เป็นแค่ ไกด์ หรือวิทยากร แต่คือ การเป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์ ส่วนเรื่องวิธีการพูด เราจะไม่พูดอะไรที่มีอยู่ในคำอธิบาย สิ่งที่ทุกคนรู้ อ่านได้ แต่จะทำการบ้านมาก่อน ด้วยการหาข้อมูลเพิ่มเติม เป็นการพูดแนวขวาง สอดแทรกเปรียบเทียบ ส่วนวิธีการบรรยาย เน้นว่าต้องให้ผู้ฟังเห็นภาพไม่พูดอะไรที่ทำให้เข้าใจยาก เข้าไม่ถึง ที่สำคัญการเดินทางร่วม ทริปของคนหลาย ๆ คนย่อมมีสิ่งที่สนใจต่างกันออกไป จึงต้องคิดหาวิธีดึงความสนใจให้ผู้ฟังกลับมาอยู่ที่จุดศูนย์รวมด้วย” แถมยังย้ำทิ้งท้ายไว้อีกว่า ไกด์ที่ดี ไม่ต้องกลัวที่จะเอ่ยคำว่าไม่รู้!!!!
การเดินทางสู่ประเทศเวียดนาม เริ่มด้วย บัตร ไทย แวลู พลัส การ์ด ใบเล็ก ๆ เพียงใบเดียวที่พาบินลัดฟ้า สู่ฮานอย และเว้ โดยมี อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ เป็นผู้นำทริปในครั้งนี้ จะพาชม พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์ (Vietnam Museum of Ethnology) หรือที่คนเวียดนามเรียกว่า พิพิธภัณฑ์ชนเผ่า เรียกได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย สร้างขึ้นในปี 1997 มีชนเผ่ามากถึง 54 เผ่าแบ่งเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ มอญ-เขมร (Austro-asiatic), ออสโตรนีเชียน (Austronesian), ไท-กะได (Tai-Kadai), จีน-ทิเบต (Sino-Tibetan) และ ม้ง — เย้า (Hmong — Yao) ชนเผ่าดั้งเดิมคือ ฮั่นและเวียด โดยเป็นเผ่าเวียด 80 % ซึ่งใช้แซ่เหวียนถึง 60 %
จากนั้นมุ่งหน้าสู่ วิหารวรรณกรรม ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศเวียดนาม ในอดีตที่นี่คือ สนามประลองความรู้ของเหล่าราชบัณฑิต เพื่อก้าวเข้าสู่ตำแหน่งเสนาบดี ที่ ก่อนที่จะเข้าไปถึงตัววิหาร ต้องผ่านหอดาว khue หรือดาวสว่างไสว หอดาว khue แห่งนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ของเมืองฮานอยอีกด้วย ต่อจากนั้น มาเดินทอดน่องที่ริม ทะเลสาบคืนดาบ ที่นี่มีทัศนียภาพที่สวยงาม ตั้งอยู่ใจกลางกรุงฮานอย ว่ากันว่าทะเลสาบแห่งนี้มีประวัติ พระเจ้าเล ไท โต ได้รับดาบวิเศษที่พระองค์ใช้ในช่วง 10 ปีที่เพื่อต่อสู้กับหมิง หลังจากปลดปล่อยประเทศให้เป็นอิสระแล้ว พระองค์ทรงลงเรือไปกลางทะเลสาบ เพื่อคืนดาบวิเศษแก่เต่าศักดิ์สิทธิ์
ย่ำค่ำก็ตบเท้าเข้าชม การแสดงหุ่นกระบอกน้ำ การละเล่นพื้นบ้านที่เกิดจากภูมิปัญญาของชาวบ้าน ออกจาก โรงละครมา เต็มอิ่มกับอาหารค่ำมื้อนี้ ต้องขอบอกว่าไม่ควรพลาด เพราะนอกจากบรรยากาศร้านจะสวยเพราะเป็นเรือนที่พักของอดีตท่านราชทูตฝรั่งเศส ประจำกรุงฮานอยแล้ว เมนูเด็ดเมี่ยงปลาย่าง ร้านนี้ชื่อ “นามเฟือง” ที่แปลว่าทิศใต้ และนามเฟือง ยังเป็นชื่อของมเหสีของกษัตริย์บ๋าว ด้าย กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์เหวียน
เช้าวันที่ 2 เริ่มต้นที่ โรงละคร หรือ โอเปร่าเฮ้าส์ รูปแบบอาคารเป็นแบบ โคโลเนียล สไตล์อาร์ตเดคโค สร้างเมื่อปี 1911 ตามแบบสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส ที่นี่งดงามมาก ชาวเวียดนามที่แต่งงานจะนิยมมาถ่ายรูปกันที่นี่ จากนั้นจะพาไปชม พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ เรียนรู้ชีวิตมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ทั้งเรื่องความเป็นอยู่ ศาสนา สังคม วัฒนธรรม เรื่อยมาจนเข้าใกล้ปัจจุบัน ทำให้เข้าใจเลยว่า ทำไมเวียดนามถึงหลากวัฒนธรรม เพราะวัฒนธรรมของเวียดนาม ต่อเนื่องมากับจีน คนเวียดนามใช้อักษรจีนมาก่อน ก่อนที่จะตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ที่นี่อาจารย์เผ่าทองมีข้อมูลให้อย่างแน่นเอี๊ยด อย่างความรู้เรื่องกลองมโหระทึกในยุคสัมฤทธิ์โลหะ วิธีสังเกต กลองจะต้องมีหู เพื่อดึงกลองขึ้น เวลาตีจะเกิดเสียงออกตรงด้านล่าง หน้ากลองตรงกลางจะมีรูปพระอาทิตย์แผ่รัศมี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการมีชีวิตอยู่ ประดับด้วยลายนกกระสาบินล้อมรอบ บนกลองจะมีกบขี่กันอยู่ 4 มุมสื่อถึงการสืบพันธุ์, วัฒนธรรมในเวียดนามส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากพระพุทธศาสนานิกายมหายาน เผยแผ่จากอินเดียผ่านจีน เราจึงได้เห็นคนที่นี่นับถือพระพุทธรูปปางสมาธิ ที่เรียกว่า พระอมิตาพะ หรือตามที่หนังจีนเรียกว่า อมิตาพุทธ ซึ่งถือเป็นองค์เดียวกัน ถัดไปอีกห้องเป็นเรื่องราวของอาณาจักรจัมปา หนึ่งอาณาจักรที่ครองแผ่นดินเวียดนามมาในอดีต ซึ่งมีชนเผ่าจามอาศัยอยู่ ปัจจุบันคือเมืองดานัง วัฒนธรรมจามนั้นร่วมสมัยกับวัฒนธรรมทวาราวดีของบ้านเรา จึงมีประติมากรรมหลายชิ้นเทียบเคียงกันได้ เต็มอิ่มกับสาระกันแล้ว ก็ไปต่อกันด้วยการนั่งรถชมเมืองฮานอย ผ่านสุสานประธานาธิบดีโฮจิมินห์
การเดินทางของทริปนี้ยังไม่ได้จบเพียงเท่านี้ อาจารย์เผ่าทองจะพาไปตะลุยต่อที่เมืองเว้ ได้รับให้เป็นเมืองแห่งมรดกโลก ในปี 1995 ซึ่งเว้เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัด เทื่อเทียนเหว่ย ซึ่งในอดีตที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงของเวียดนามในราชวงศ์เหวียนมาก่อน เว้ห่างจากฮานอย 800 กิโลเมตร เดินทางมาถึงเว้ แวะนมัสการพระศรีอริยเมตตรัย พระอนาคตพุทธเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่ วัดเทียนมู วัดนี้โดดเด่นด้วยเจดีย์สูง 7 ชั้น เป็นศิลปะจีนโบราณ ข้าง ๆ มีระฆังใบใหญ่หนัก 2 ตัน อายุ 300 ปี ว่ากันว่าเมื่อตีระฆังจะดังไปถึง 10 กิโลเมตร บรรยากาศยามเย็นอย่างนี้ ไม่พลาดที่จะนั่งเรือล่องแม่น้ำเฮือง หรือแม่น้ำหอม ผ่านสะพานประวัติศาสตร์สมัยสงคราม ที่ชื่อ จ่างเตี่ยน ชื่นชมชีวิตชาวน้ำที่ขุดทรายขาวเป็นอาชีพ และดินเนอร์อาหารเย็นที่เว้คืนนี้ ก็ทำให้ต้องตื่นเต้นอีกครั้งหนึ่งในชีวิต กับการสวมชุดฮ่องเต้ ทานอาหารระดับฮ่องเต้ ที่มีบริกรยกอาหารมาเสิร์ฟราวกับนั่งอยู่ในราชสำนักจีน
เช้าวันที่ 3 ที่เมืองเว้นั่งสามล้อออกมาชมความงามยามเช้าของเมืองมรดกโลก แวะที่จะดองบา ภาษาไทยเราเรียกว่า ตลาดสด ชมวิถีชีวิตอีกหนึ่งแบบของชาวเวียดนาม ต่อจากนั้นไม่ลีลา ออกจากตัวเมืองเว้มาเพื่อเข้าชมสถาปัตยกรรมที่สวยงามของ สุสานกษัตริย์ ข่าย ดินห์ รัชกาลที่ 12 ครองราชย์ระหว่าง 1916-1925 สุสานแห่งนี้สร้างขึ้นตรงกับสมัยของรัชกาลที่ 6 ของไทยเรา สร้างตามรูปแบบของเวียดนาม ดูฮวงจุ้ย มีเนิน 3 เนิน ผสมผสานกับแบบยุโรปคือใช้คอนกรีตเสริมเหล็ก ในการสร้าง บริเวณของสุสานประกอบไปด้วย ส่วนต่าง ๆ 5 ส่วน ได้แก่ 1. ป้ายสลักประวัติ เกียรติคุณ สลักเป็นภาษาจีน ซึ่งกษัตริย์บ๋าว ด้าย พระโอรสเป็นผู้สลักให้ 2.สถานที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ 3.สถานที่บรรจุพระบรมศพ 4. ลานปูอิฐ มีตุ๊กตาเท่าตัวจริงของเหล่าเสนา ทหาร ม้าต้น ช้างต้น และสุดท้าย สระเลี้ยงปลา ต้นสน
เมื่อมาเยือนสุสานกษัตริย์ข่าย ดินห์ แล้วไม่ควรพลาดที่จะแวะเข้าไปชมสุสานกษัตริย์ ตือดืก กษัตริย์รัชกาลที่ 4 ของราชวงศ์เหวียน ทรงครองราชย์ยาวนานถึง 36 ปี เป็นกษัตริย์ที่พัฒนาเกษตรกร ระบบน้ำ คันดิน การชลประทาน สุสานแห่งนี้เก่าแก่และมีอาณาเขตกว้างใหญ่ สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2407 แล้วเสร็จปี พ.ศ.2410 ใช้แรงงานคนถึง 3,000 คน นอกจากความยิ่งใหญ่ของสุสานแล้ว ที่นี่ยังมีแผ่นศิลาที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ด้วยความสูง 4 เมตรกว้าง 2 เมตร ในช่วงที่พระองค์ครองราชย์ เป็นช่วงรอยต่อที่ฝรั่งเศสเข้ามาในเวียดนามแล้ว ดังนั้นหลักศิลาของพระองค์ นอกจากจะบันทึกประวัติและพระราชกรณียกิจแล้ว ยังบรรยายถึงความน้อยใจที่ไม่สามารถปกป้องประเทศจากฝรั่งเศสได้ เพราะไม่ได้เก่ง ชำนาญ เรื่องการบ้านการศึกเลย โดยทรงสลักศิลานี้ด้วยองค์เอง และส่วนสุดท้ายของการบันทึก พระองค์ขอให้อนุชนรุ่นหลัง กอบกู้บ้านเมืองคืน
หลังจากได้เห็นสถานที่สุดท้ายของกษัตริย์ราชวงศ์เหวียนแล้ว ก็มุ่งมาที่ พระราชวังเว้ สถานที่เหล่ากษัตริย์ 13 รัชกาลมีชีวิตวิ่งเล่น ดำเนินชีวิตอยู่ที่นี่ ด้วยอาณาเขต 7 ตารางกิโลเมตร เดินผ่านกำแพงชั้นนอกเข้ามาถึงกำแพง ชั้นกลางทะลุประตูเที่ยงวัน ที่อาคารชั้นบนใช้สำหรับออกว่าราชการ พบราษฎร ส่วนด้านหลังประตูเที่ยงวันเป็น เรือนออกว่าราชการ เดินลัดเลาะออกทางด้านข้างที่บริเวณเรือนเก็บป้ายวิญญาณ ไปชมเตาเผากำยานขนาดยักษ์ ซึ่ง 1 กำยาน อันแทนกษัตริย์ 1 พระองค์ มีจำนวนทั้งสิ้น 9 กำยาน
ได้ไกด์ระดับกูรูนำเที่ยว จึงทำให้ทริป ฮานอย — เว้ อัดแน่นด้วยสาระ และเอ็นเตอร์เทนอย่างครบครัน ผู้ที่สนใจไปร่วมสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งปารีสตะวันออก สามารถจอง “ไทย แวลูพลัส เอ็กซ์คลูซีฟ ทริป ประเทศเวียดนาม” กับ อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ ได้ในงาน สิงหาพาแม่เที่ยว ของการบินไทย ณ เซ็นทรัลชิดลม ชั้น 7 ระหว่างวันที่ 25 — 31 ก.ค. นี้ หรือ ติดต่อสอบถามรายละเอียด ที่ 0-2373-9751...อาจต้องรีบหน่อย ทริป ดี ดี แบบนี้ มีจำกัด....ทั้งหมดเพียง 40 ที่นั่ง
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ บริษัทแม็กซิม่า คอนซัลแตนท์ จำกัด โทร. 0-2434-8300 สุจินดา, แสงนภา, ชลธิชา
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ