กรุงเทพฯ--27 ม.ค.--ธนาคารนครหลวงไทย
ธนาคารนครหลวงไทย เดินหน้าขยายธรุกิจให้บริการทางด้านการเงินแบบครบวงจร (Universal Bank) โดยจะเข้าถือหุ้น บมจ. ราชธานี ลิสซิ่ง ในสัดส่วนร้อยละ 22.82 ของทุนจดทะเบียน เพื่อให้บริการธุรกิจลิสซิ่ง ซึ่งธนาคารยังไม่มีบริการในขณะนี้
นายอรุณ จิรชวาลา กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการขยายบริการด้านธุรกิจลิสซิ่ง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบริการทางการเงิน ภายใต้นโยบาย Universal Bank นอกเหนือจากบริการด้านประกันชีวิต ประกันวินาศภัย ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุน ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทในเครือของธนาคาร คือ บริษัทแมกซ์ประกันชีวิต จำกัด บริษัท สยามซิตี้ประกันภัย จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด และ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนนครหลวงไทย จำกัด โดยคณะกรรมการธนาคารได้อนุมัติให้ธนาคารร่วมลงทุนใน บมจ.ราชธานี ลิสซิ่ง ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สัดส่วนร้อยละ 22.82 การเข้าร่วมลงทุนในครั้งนี้ทำให้ธนาคารมีสถานะเป็น Universal Bank เต็มรูปแบบที่สามารถให้บริการทางการเงินหลักๆ ครบทุกด้าน
ในปีที่ผ่านมา ธนาคารได้ทำการศึกษาแนวทางในการทำธุรกิจลิสซิ่ง โดยเปรียบเทียบระหว่างการเข้าร่วมลงทุนในกิจการที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในปัจจุบัน กับการจัดตั้งหน่วยงานหรือบริษัทขึ้นมาใหม่ เห็นว่าการดำเนินการตามแนวทางแรกมีความเหมาะสมกว่า เนื่องจากสามารถดำเนินการได้ทันที เพราะมีทีมงานและระบบพร้อมอยู่แล้ว ธนาคารจึงเลือกการร่วมลงทุนแทนการเริ่มกิจการใหม่ ซึ่งถือว่าเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวะการแข่งขันในตลาดปัจจุบัน บมจ.ราชธานี ลิสซิ่ง มีทีมงานที่มีความพร้อมและมีประสบการณ์ด้านนี้มากกว่า 20 ปี มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับดีลเลอร์มากกว่า 120 แห่ง จึงมีข้อได้เปรียบในการแข่งขัน โดยเฉพาะตลาดเช่าซื้อรถยนต์มือสองที่กำลังเติบโต เป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานดี มีความสามารถในการทำกำไรต่อเนื่อง จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2545 เมื่อธนาคารเข้าร่วมลงทุนกับ บมจ. ราชธานี ลิสซิ่ง แล้ว จะทำให้ธนาคารสามารถดำเนินธุรกิจขยายบริการด้านลิสซิ่งได้ทันที ผ่านสาขาของธนาคารที่มีอยู่ทั่วทุกภูมิภาคกว่า 387 แห่ง ซึ่งมีความพร้อมในด้านการขาย และการให้บริการลูกค้า ได้อย่างสะดวกครบครันมากยิ่งขึ้น โดยธนาคารจะลงทุนในหุ้นสามัญของ บมจ. ราชธานี ลิสซิ่ง จำนวน 150,000,000 หุ้น และใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (Warrant) จำนวน 75,000,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22.82 ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว รวมมูลค่าประมาณ 172.5 ล้านบาท การร่วมทุนครั้งนี้ ทำให้ธนาคารสามารถขยายบริการด้านต่างๆ ได้มากขึ้น และเป็นแนวทางในการเพิ่มรายได้ให้กับธนาคาร นายอรุณ ฯ กล่าวในที่สุด--จบ--