กรุงเทพฯ--14 พ.ย.--ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น
แม้ว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะอยู่ในระดับที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาการเมืองขาดเสถียรภาพและการก่อการรัฐประหารในเดือนกันยายน ตลอดจนสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัด แต่บริษัท ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (MINOR) มีรายได้และกำไรสุทธิสำหรับงวด 9 เดือนปี 2549 เพิ่มขึ้น 11% และ 5 % ตามลำดับ เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ระดับ 2,391 ล้านบาทและ 183 ล้านบาท ตามลำดับ อย่างไรก็ดี สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2549 รายได้และกำไรสุทธิลดลง 12% และ 30% ตามลำดับ เนื่องจากการปรับตัวลดลงของอุปสงค์ของผู้บริโภค ประกอบกับ MINOR ไม่มีรายได้จากการขายเครื่องบินในไตรมาส 3 ปี 2549 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2548 ที่ขายได้ 1 ลำ คิดเป็นมูลค่า 89 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจการบินมักจะมีธุรกรรมขนาดใหญ่ซึ่งในแต่ละปีสามารถขายเครื่องบินได้ประมาณ 3-4 ลำ จึงทำให้ธุรกิจการบินมีส่วนทำให้ยอดขายและกำไรของ MINOR เพิ่มขึ้นมากในกรณีที่มีการรับรู้รายได้จากการขายเครื่องบินในไตรมาสนั้นๆ สำหรับยอดขายของธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้าซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทในไตรมาส 3 ปี 2549 เท่ากับ 614 ล้านบาท ลดลงเพียง 3% เนื่องจากความไม่แน่นอนทั้งในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ และ MINOR คาดว่าปัจจัยดังกล่าวยังคงกดดันต่อผลการเติบโตของยอดขายและอัตรากำไรของบริษัทต่อไปในไตรมาส 4 ปี 2549
ในไตรมาส 3 ปี 2549 ผลการดำเนินงานของธุรกิจค้าปลีก ค่อนข้างทรงตัวแม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่ำสุดเป็นเป็นประวัติการณ์และมีการก่อการรัฐประหารก็ตาม โดยธุรกิจแฟชั่นค้าปลีกซึ่งนำโดยสินค้าแบรนด์หลักของบริษัท อย่าง เอสปรี และบอสสินี่ และธุรกิจเครื่องสำอางค้าปลีกซึ่งนำโดยสินค้ายี่ห้อ เรดเอิร์ธ บลูมและลาเนจ มียอดขาย 226 ล้านบาท และ 56 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับยอดขายในไตรมาส 3 ปี 2548 อย่างไรก็ดี ในแง่ของอัตรากำไรแล้ว พบว่า ธุรกิจแฟชั่นลดลงจาก 20% เป็น 5% เนื่องจากบริษัทมีความจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์การลดราคาและการจัดรายการส่งเสริมการขายในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อรักษายอดขายของบริษัท สำหรับธุรกิจรองเท้าค้าปลีก ซึ่งมีสินค้ายี่ห้อ ทิมเบอร์แลนด์ และ ชารลส์ แอนด์ คีท ที่เพิ่งเปิดตัวในไตรมาส 3 ปี 2549 มียอดขาย 18 ล้านบาท และ 10 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับผลการดำเนินงานของธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้าในไตรมาส 3 ปี 2549 มีรายได้ 333 ล้านบาท ลดลง 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ในด้านกำไรจากการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 66% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ระดับ 43 ล้านบาท ทั้งนี้ โรงงานใหม่ของ MINOR คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในไตรมา 4 ปี 2549 จะช่วยให้บริษัทมีอัตรากำไรที่ดีอย่างต่อเนื่อง
การเข้าไปลงทุนเพิ่มใน MINT จาก 4.3% เป็น 19.2% ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2548 ที่ราคา 4.0 บาท/หุ้น นั้น MINOR ได้รับผลดีจากการลงทุนดังกล่าว เนื่องจากราคาหุ้น MINT ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 168% มาอยู่ที่ระดับ 11.0 บาท/หุ้น ทำให้มูลค่าตลาดของ MINT ที่ MINOR ถืออยู่ปัจจุบัน คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 6 พันล้านบาท และในไตรมาส 3 ปี 2549 MINT ประกาศผลการดำเนินงาน โดยมีรายได้และกำไรสุทธิ(ไม่รวมรายการพิเศษ) เพิ่มขึ้น 14% และ 20% ตามลำดับ
บริษัทไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (MINOR) เป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นจากต่างประเทศในประเทศไทย ทั้งเสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องสำอาง และอุปกรณ์ส่งเสริมการเรียนการสอน โดยยี่ห้อที่บริษัทฯเป็นผู้จัดจำหน่ายในปัจจุบัน ได้แก่ เอสปรี เรดเอิร์ธ บอสสินี่ ซีเนะควอนอน ทิมเบอร์แลนด์ บลูม ลาเนจ อิลิมีส ทูมี่ เฮงเคล ไทม์ไลฟ์ และเวิร์คบุ๊ค นอกจากนี้บริษัทฯยังมีธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้า โดยมีโรงงานเป็นของตัวเอง อีกทั้งยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) โดยถือหุ้นในสัดส่วน 19.2% ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว และบริษัทมีนโยบายที่จะยังสัดส่วนของการลงทุนในบริษัทย่อยต่อไป รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถเข้าเยี่ยมชมเว็บไซด์ www.minornet.com
Press Contacts: Pratana Manomaiphiboon / Prapharat Tangkawattana / Jim Fralick at Tel: (662) 381-5151