กรุงเทพฯ--30 ก.ย.--กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบ สศค.1 (ระบบ Government Finance Statistics : GFS) ในช่วง 11 เดือนแรก (ตุลาคม 2551-สิงหาคม 2552) ของปีงบประมาณ 2552 ภาครัฐบาล (รัฐบาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น2) ได้อัดฉีดเงินสุทธิเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหรือขาดดุลการคลังทั้งสิ้น 243,384 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.8 ของ GDP 3 ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายการคลังเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และเป็นไปตามเป้าหมายการดำเนินนโยบายการคลังของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ โดยรายละเอียด
สรุปได้ดังนี้
ฐานะการคลังตามระบบ สศค. ในช่วง 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2552
1. รายได้ภาครัฐบาล มีจำนวนทั้งสิ้น 2,007,461 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 22.7 ของ GDP (ปีที่แล้วคิดเป็นร้อยละ 22.9 ของ GDP) และลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีที่แล้ว 79,685ล้านบาท หรือร้อยละ 3.8 โดยเป็นผล มาจากการลดลงทั้งในส่วนของรายได้รัฐบาล และ อปท. ส่วนบัญชีเงินนอกงบประมาณสูงกว่าระยะเดียวกันปีที่แล้ว ดังนี้
1.1 รัฐบาลมีรายได้ 1,363,315 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.4 ของ GDP (ปีที่แล้วคิดเป็นร้อยละ 16.0 ของ GDP) และลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีที่แล้ว 97,780 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.7 ทั้งนี้ เนื่องจากการจัดเก็บรายได้ 3 กรมหลัก (กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร) ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ และอากรขาเข้า นอกจากนี้การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจก็ลดลงเช่นกัน
1.2 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีรายได้ 300,500 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.4 ของ GDP (ปีที่แล้วคิดเป็นร้อยละ 3.3 ของ GDP) และลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีที่แล้ว 3,840 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.3 ทั้งนี้ เนื่องจากเงินอุดหนุนและเงินที่รัฐบาลเก็บให้ อปท. ลดลง
1.3 บัญชีเงินนอกงบประมาณ (ประกอบด้วยกองทุนนอกงบประมาณและเงินฝากนอกงบประมาณ)มีรายได้รวม 343,646 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.9 ของ GDP (ปีที่แล้วคิดเป็นร้อยละ3.5 ของ GDP) และสูงกว่าระยะเดียวกันปีที่แล้ว 21,935 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.8 เนื่องจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีรายได้จากการนำส่งรายได้เข้ากองทุนจากภาษีน้ำมันเพิ่มขึ้น และกองทุนอ้อยและน้ำตาลมีรายได้จากการจำหน่ายน้ำตาลเพิ่มขึ้น
2. รายจ่ายของภาครัฐบาล (รวมการให้กู้หักชำระคืนตามนโยบายรัฐบาล) มีจำนวนทั้งสิ้น 2,250,846 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีที่แล้ว 198,680 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.7 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายรัฐบาลเป็นสาเหตุหลักก และรายจ่ายเงินกู้ต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ดังนี้
2.1 รัฐบาลมีการเบิกจ่ายงบประมาณรวมทั้งสิ้น 1,697,843 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ19.2 ของ GDP (ปีที่แล้วคิดเป็นร้อยละ 16.2 ของ GDP) และสูงกว่าระยะเดียวกันปีที่แล้ว 222,482 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.1
2.2 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคาดว่าจะมีจำนวนทั้งสิ้น 281,449 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.2 ของGDP (ปีที่แล้วคิดเป็นร้อยละ 3.5 ของ GDP) และต่ำกว่าระยะเดียวกันปีที่แล้ว 33,128 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.5
2.3 เงินกู้ต่างประเทศ มีการเบิกจ่ายทั้งสิ้น 6,862 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.1 ของ GDP สูงกว่าระยะเดียวกันปีที่แล้ว 5,871 ล้านบาท เนื่องจากมีการเร่งการเบิกจ่ายเงินกู้ (SAL) ให้แล้วเสร็จในปีงบประมาณ 2552
2.4 บัญชีเงินนอกงบประมาณ (รวมรายจ่ายและเงินให้กู้หักชำระคืนตามนโยบายรัฐบาล) จำนวน 264,691 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.0 ของ GDP (ปีที่แล้วคิดเป็นร้อยละ 2.9 ของ GDP) และเบิกจ่ายสูงกว่าระยะเดียวกันปีที่แล้ว 3,455 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.3
3. ดุลการคลังภาครัฐบาล ขาดดุลการคลังจำนวน 243,384 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 2.8 ของ GDP) ขณะที่ระยะเดียวกันปีที่แล้วที่เกินดุลจำนวน 31,688 ล้านบาท สำหรับดุลการคลังเบื้องต้น(ไม่รวมรายได้และรายจ่ายดอกเบี้ย และการชำระคืนต้นเงินกู้) ของรัฐบาล (Primary Balance) ในช่วง11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2552 ได้สะท้อนถึงทิศทางนโยบายการคลังของรัฐบาลโดยขาดดุลรวมทั้งสิ้น167,169 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 1.9 ของ GDP) ในขณะที่ช่วงเดียวกันปีที่แล้วเกินดุล 127,167 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 1.4
ของ GDP)
สำนักนโยบายการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. (02) 273-9020 ต่อ 3584