เรื่องย่อภาพยนตร์ DON’T TELL เปิดปาก...ถ้าอยากเจ็บ

ข่าวทั่วไป Friday May 19, 2006 15:44 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--19 พ.ค.--เจ-บิ๊คส์ ฟิล์ม
DON’T TELL เปิดปาก...ถ้าอยากเจ็บ 8 มิถุนายน นี้ในโรงภาพยนตร์
PRODUCTION NOTE
ชื่ออย่างเป็นทางการ DON’T TELL เปิดปาก...ถ้าอยากเจ็บ
ประเภท Drama
ความยาว 120 นาที
ผู้กำกับ คริสติน่า โคเมนชินี
นำแสดงโดย ซาบีน่า จิโอวานน่า เมซโซจิออโน
ฟรังโก้ อเลสซิโอ โบนี
เอมิเลีย สเตฟาเนีย ร็อคคา
มาเรีย แองเจล่า ฟิน็อคคิอาโร
เข้าฉาย 8 มิถุนายน 2549
จากนวนิยายเรื่อง “La bestia nel cuore” หรือ”Don’t tell โดย คริสติน่า โคเมนชินี
เรื่องย่อภาพยนตร์
DON’T TELL ภาพยนตร์เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนวนิยายเล่มล่าสุดของ คริสติน่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ซาบีน่า นักแสดงที่ไม่ประสบความสำเร็จในอาชีพเท่าใดนัก เธออยู่กินกับ ฟรังโก้ ซึ่งมีอาชีพนักแสดงเช่นกัน พวกเขารักกันและมีชีวิตที่สุขสงบ ในค่ำคืนหนึ่ง ฝันร้ายได้นำซาบีน่าย้อนเวลากลับไป ความฝันเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่รบกวนจิตใจ น่ากลัว และรุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นในวัยเด็ก ชีวิตของเธอเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกับความสัมพันธ์กับฟรังโก้ ซาบีน่าต้องการหาความกระจ่างเกี่ยวกับความฝัน และได้ปรึกษา
เอมิเลีย เพื่อนรัก เอมิเลียเป็นเด็กสาวที่สูญเสียการมองเห็นและแยกตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยว ด้วยความช่วยเหลือของเอมิเลีย ซาบีน่าพยายามเรียกความทรงจำอันเลือนลางกลับคืนมา เธอตัดสินใจเดินทางไปหา แดเนียล พี่ชายของเธอที่อเมริกา เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมาหลายปีแล้ว ซาบีน่า
หวังว่าการเดินทางของเธอจะทำให้เธอค้นพบความจริง ขณะเดียวกัน โชคชะตาของคนที่เธอทิ้งไว้เบื้องหลังดูเหมือนว่าจะเข้ามาเกี่ยวพัน ราวกับว่าการค้นหาความจริงของซาบีน่าเกี่ยวข้องกับพวกเขาเหล่านั้น
ซาบีน่า เป็นสาวสวย มีแฟนซึ่งรักเธอและมีชีวิตสุขสงบ……..
แต่เธอมีความสุขจริงๆ หรือ เธอเริ่มพบพานฝันร้ายที่แปลกและน่ากลัว
หน้าต่างความทรงจำของซาบีน่าเปิดไปสู่โลกภายในจิตใจหลังจากที่เธอพบว่าตนเองตั้งท้อง ชีวิต
“วัยเยาว์” ความเชื่อที่เคร่งครัดที่ทำให้ชนชั้นกลางเลื่อนฐานะขึ้นมาได้
แต่นี่เป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น
ความลับยังคงรบกวนเบื้องลึกของจิตใจ……
ภาพยนตร์เรื่อง “Don’t Tell เปิดปาก...ถ้าอยากเจ็บ” เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับปัจจัยความปกติ ความรักแบบรุนแรง แรงจูงใจและความปรารถนา
INTERVIEW
คริสติน่า โคเมนชินี (ผู้กำกับการแสดง)
ภาพยนตร์เรื่อง Don’t Tell มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร?
ภาพยนตร์เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนวนิยายเล่มล่าสุดของฉัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับซาบีน่า นักแสดงที่ไม่ประสบความสำเร็จในอาชีพเท่าใดนัก เธออยู่กินกับฟรังโก้ซึ่งมีอาชีพนักแสดงเช่นกัน พวกเขารักกันและมีชีวิตที่สุขสงบ
ในค่ำคืนหนึ่ง ฝันร้ายได้นำซาบีน่าย้อนเวลากลับไป ความฝันเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่รบกวนจิตใจ น่ากลัว และรุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นในวัยเด็ก ชีวิตของเธอเริ่มเปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกับความสัมพันธ์กับฟรังโก้
ซาบีน่าต้องการหาความกระจ่างเกี่ยวกับความฝัน และได้ปรึกษาเอมิเลียเพื่อนรัก เอมิเลียเป็นเด็กสาวที่สูญเสียการมองเห็นและแยกตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยว ด้วยความช่วยเหลือของเอมิเลีย ซาบีน่าพยายามเรียกความทรงจำอันเลือนลางกลับคืนมา เธอตัดสินใจเดินทางไปหาแดเนียล พี่ชายของเธอที่อเมริกา เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมาหลายปีแล้ว ซาบีน่าหวังว่าการเดินทางของเธอจะทำให้เธอค้นพบความจริง ขณะเดียวกัน โชคชะตาของคนที่เธอทิ้งไว้เบื้องหลังดูเหมือนว่าจะเข้ามาเกี่ยวพัน ราวกับว่าการค้นหาความจริงของซาบีน่าเกี่ยวข้องกับพวกเขาเหล่านั้น
นักแสดงแต่ละคนมีคาแรคเตอร์อย่างไรในภาพยนตร์เรื่องนี้?
ซาบีน่า เป็นหัวใจของหนัง ส่วนนักแสดงอื่นๆ มีความสำคัญรองลงมา ฟรังโก้ เอมิเลีย มาเรีย (เพื่อนร่วมงานของซาบีน่า ซึ่งสามีที่อยู่ร่วมกันมานาน 20 ปีทิ้งเธอไปหาสาวอายุคราวลูก) และแดเนียล ตัวละครทั้งหมดมีส่วนเกี่ยวข้องกับความขมขื่นของซาบีน่า แต่ทุกคนก็ไม่ได้ผูกพันกับเธอและมีชีวิตเป็นของตนเอง ตัวละครเอกเป็นราวกับพาหนะที่ทำให้เนื้อเรื่องดำเนินไป ขณะเดียวกัน ตัวละครแต่ละตัวก็เกี่ยวพันกับเหตุการณ์ในภาพยนตร์
ถ้าหากคุณต้องบรรยายภาพยนตร์เรื่องนี้ในเวลา 1 นาที คุณจะเลือกฉากใดในภาพยนตร์? และหากคุณต้องบรรยายหนังสือเพียง 1 หน้า คุณจะเลือกหน้าใด?
ถ้าหากฉันต้องบรรยายภาพยนตร์ใน 1 นาที ฉันคงต้องเล่าว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหญิงสาวที่ประสบฝันร้ายซึ่งนำเธอไปสัมผัสกับเสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่เธอไม่รู้ และทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ หลังจากที่ค้นพบความจริง เธอสามารถเริ่มต้นชีวิตได้อีกครั้ง การค้นพบความจริงที่เจ็บปวดเป็นเรื่องที่ตัวละครทุกตัวมีส่วนร่วม แต่ละคนสามารถสร้างสิ่งใหม่ๆ ได้หลังจากที่ความจริง ถูกเปิดเผยแล้ว ช่วงเวลาที่ตรึงเครียดที่สุดในภาพยนตร์ และบทสรุป คือการที่แดเนียลถูกบังคับให้สารภาพความจริงต่อซาบีน่า
แม้แต่ในหนังสือ ช่วงที่สำคัญที่สุดคือ ช่วงที่ความจริงได้รับการเปิดเผย ทั้งในหนังสือและในภาพยนตร์ ฉันต้องการบรรยายถึงมุมมืดที่อยู่ในตัวเราทุกคน เป็นสิ่งที่เรามีติดตัวนับแต่วัยเยาว์หรือก่อนหน้านั้น จุดเริ่มต้นของอารมณ์ ความรัก ความสัมพันธ์ และพลังซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมนุษย์ มิได้มีความหมายแฝงในทางบวกหรือลบแต่อย่างใด และเติมเต็มความว่างเปล่าของเรา เรื่องราวของซาบีน่าและแดเนียลเกี่ยวข้องกับตัวละครทุกตัว และทำให้พวกเขาค้นพบด้านมืด
คุณคิดว่าสิ่งที่ยุ่งยากระหว่างการผลิตภาพยนตร์คืออะไร?
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความซับซ้อนมาก เราใช้เวลาในการถ่ายทำ 11 สัปดาห์ ท่ามกลางฤดูหนาวในอเมริกา อังกฤษ โรม ในเขตซาเลนโตและซิเนซิตต้า ซึ่งเป็นที่ที่เราถ่ายทำเอ็ฟเฟคในน้ำมากที่สุด นับเป็นงานที่เหนื่อยยาก และต้องใช้พลังงานเนื่องจากเป็นภาพยนตร์ที่มีความซับซ้อน พลังอำนาจ และเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ระหว่างการถ่ายทำ ฉันถามตัวเองว่าความจริงอยู่ที่ไหนและจะเปิดเผยในภาพยนตร์อย่างไร? ในหนังสือ คุณไม่จำเป็นต้องเปิดเผยทุกอย่าง คุณมีเครื่องมือและเวลาที่จะนำไป สู่ความลึกของเนื้อหาได้ จากมุมมองนี้ ผลงานของนักแสดงจึงมีความสำคัญมาก และพวกเขาก็สร้างคาแร็กเตอร์ของตัวเองได้เป็นอย่างดี นักแสดงทุกคนอ่านหนังสือ และรู้คาแร็คเตอร์ตัวเองมากกว่าที่ต้องแสดง พวกเขายังอนุรักษ์นิยมมากด้วย ไม่ยอมให้ฉันเปลี่ยนอะไรเลยขณะที่ฉันรู้สึกว่าจำเป็นต้องดัดแปลงบางส่วน นักแสดงทุกคนเข้าถึงก้นบึ้ง และทำให้ตัวละครเข้าถึงจิตใจส่วนลึกของมนุษย์
ปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่งในภาพยนตร์คือ ฉาก เราทำงานร่วมกับ “ความงาม” อย่างใกล้ชิดเนื่องจาก Don’t Tell เป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตศาสตร์มากกว่าความเป็นจริง สิ่งที่ตรงกันข้ามกันคือมีเพียงฉากของรายการโชว์ทางทีวีที่ดูเหมือนจริง เนื่องจากทีวีกลายเป็นสื่อเผยแพร่ชีวิตจริงในปัจจุบัน ฉากอื่นๆ ได้รับการสร้างสรรค์เพื่อภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะ โดยเฉพาะ “บ้านแห่งความตาย” บ้านในวัยเยาว์ ให้ความรู้สึกเกี่ยวกับด้านจิตใจ
มีฉากใดบ้างที่คุณรู้สึกผูกพัน?
มีหลายฉาก ฉากหนึ่งที่เต็มไปด้วยบรรยากาศคือฉากที่เอมิเลีย (สเตฟาเนีย ร็อคคา) เกลี้ยกล่อม มาเรีย (แองเจล่า ฟิน็อคคิอาโร) เป็นเทคที่ถ่ายทำยาวและต่อเนื่อง เป็นฉากที่อบอุ่นมาก ดูสมจริงและน่าเชื่อถือ ทั้งอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรู้สึก
นอกจากนี้ มีฉากที่แดเนียลสารภาพกับซาบีน่า ก่อนการสารภาพเป็นฉากท่ามกลางพลุซึ่งซาบีน่าวิ่งและตะโกนบอกพี่ชายว่าเกิดอะไรขึ้น ฉากนี้ถ่ายทำเพียงสองเทคเนื่องจากจิโอวานน่า เมซโซจิออโนมีความมุ่งมั่นมากและเธอสามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว
ฉากฝันร้ายถ่ายทำหลายเทค แรกสุดฉันถ่ายทำเด็กเล็กๆ เป็นเรื่องยากมาก แต่ฉันก็ไม่ต้องการทำให้เธอเสียใจ ฉากนี้แทรกขึ้นในฉากห้องสังหาร เรื่องราวทั้งหมดขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นจริงและนิยาย นับเป็นส่วนของภาพยนตร์ที่ฉันให้ความสนใจเป็นพิเศษ ฉากนี้ไม่ได้เสร็จสมบูรณ์ระหว่างการถ่ายทำแต่สมบูรณ์ระหว่างการตัดต่อ
คุณรู้สึกอย่างไรที่งานเขียนมาโลดแล่นบนจอภาพยนตร์?
ฉันไม่เคยคิดว่าจะต้องสร้างภาพยนตร์จากหนังสือที่ฉันแต่ง นวนิยายของฉันมักเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลานาน และมีความเสี่ยงที่เนื้อหาเหล่านี้จะกลายเป็นนิยายประวัติศาสตร์บนแผ่นฟิล์ม นอกจากนี้แล้ว ฉันชอบเขียนนวนิยายเนื่องจากสามารถเน้นความสนุกสนานที่บริสุทธิ์ด้วยคำพูด ซึ่งต่างกับฟิล์ม อย่างไรก็ตาม ในกรณีนี้มีปัจจัยหลายอย่างเข้ามามีบทบาท ภาพยนตร์มีอยู่ในหนังสืออยู่แล้วเนื่องจากตัวละครคือนักแสดง เนื้อเรื่องจะครอบคลุมเวลาสั้นลง อาทิ การตั้งครรภ์เก้าเดือน ฉันคิดว่าภาพยนตร์สามารถเพิ่มสิ่งใหม่ลงไปในหนังสือ นักแสดงประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการเปลี่ยนแปลงตัวละคร มีการอิสระในการเคารพต้นฉบับ แต่กระนั้นก็ตาม แม้ว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ปัจจัยที่เราเลือกและบรรยากาศหนังที่มี ทำให้เมื่อฉันดูภาพยนตร์เรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง ฉันรู้ราวกับว่าบรรยากาศในหนังสือปรากฏในภาพยนตร์เช่นกัน
แล้วเอฟเฟคน้ำล่ะครับ?
นั่นเป็นปัญหาที่เราต้องเผชิญกับพาโอล่า (โคเมนชินี — ผู้ออกแบบการผลิต) รวมทั้งทีมงานและบริษัท ผู้ผลิต ไม่มีใครในอิตาลีที่มีประสบการณ์ถ่ายทำในน้ำ แม้แต่ วาจอยท์ ก็ใช้เอฟเฟคดิจิตอลเข้ามาช่วย แต่สำหรับเราใช้ฉากน้ำท่วมในบ้านจริงๆ ในสตูดิโอ 5 ของซิเนซิตตา เรามีฉากบ้านที่ใช้ถ่ายทำฝันร้าย แต่ฉากนั้นไม่สมจริงเนื่องจากบ้านมีรูปทรงแตกต่างจากความทรงจำ ไม่มีทางเดินโถง ห้องเปลี่ยนตำแหน่ง ในทางภูมิศาสตร์แล้วเป็นเรื่องไม่สมจริงแต่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก เรื่องนี้เป็นความคิดของพาโอล่า และนับเป็นความคิดที่วิเศษ นอกเหนือจากการถ่ายทำฉากบ้านที่บิดเบือนจากความทรงจำแล้ว เรายังสร้างส่วนหนึ่งของบ้านบนนั่งร้านที่มีน้ำอยู่ข้างใต้ สิ่งเหล่านี้ให้ผลต่างกัน ส่วนหนึ่งประกอบด้วยการลดระดับยกพื้นให้อยู่ในน้ำ และมีเฟอร์นิเจอร์อยู่ข้างบน ซึ่งดูเหมือนจะปลอดภัยและจมอยู่ใต้น้ำจนมิด ครั้งแรกที่เราลดระดับยกพื้น บรรดาเฟอร์นิเจอร์ลอยกระจัดกระจาย แรงของน้ำทำให้ทุกอย่างคว่ำลง เราต้องยึดเฟอร์นิเจอร์กับพื้น หนังสือ สมุด ทุกอย่างที่เป็นส่วนหนึ่งของบ้าน และในที่สุดเราก็สามารถได้เอฟเฟคที่ต้องการ นับเป็นเรื่องน่าสนใจในการถ่ายทำภาพยนตร์ที่ใช้ เอฟเฟคเช่นนี้
คุณค้นพบอะไรระหว่างการตัดต่อหรือไม่ และสิ่งที่คุณไม่เคย ”เห็น” เมื่อคุณเขียนหนังสือและถ่ายทำภาพยนตร์?
การค้นพบอันยิ่งใหญ่ระหว่างการตัดต่อ คือ “บ้านแห่งความตาย” โดยทั่วไปฉันมักจะมีการตัดต่อในหัวอยู่แล้วระหว่างการถ่ายทำ แต่ฉากฝันร้ายออกมาหลังจากที่เรารวบรวมวัตถุดิบทั้งหมดแล้ว ส่วนอื่นที่เหลือในภาพยนตร์ฉันมีประสบการณ์ในที่ถ่ายทำ ฉากส่วนใหญ่ได้รับการสร้างขึ้นระหว่างการถ่ายทำ และไม่ต้องถ่ายหลายเทค ในภาพยนตร์เรื่องนี้มีความรู้สึกแห่งความเป็นเพื่อนนับตั้งแต่ต้นเรื่อง นักแสดงมักจะใช้เวลาด้วยกันเป็นเวลานาน พวกเขาไปทานอาหารเย็นด้วยกัน แม้แต่สเตฟาเนียและ ร็อคก้าก็แต่งตัวคล้ายกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโรงละครซึ่งเกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างกลุ่มนักแสดง ผู้กำกับ และทีมงาน
จิโอวานน่า เมซโซจิออโน (ซาบีน่า)
คุณช่วยพูดอะไรเกี่ยวกับซาบีน่า ตัวละครที่คุณนำแสดงหน่อยครับ?
ซาบีน่าเป็นตัวละครซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องราวทั้งหมด ชีวิตที่สงบสุขของเธอเริ่มเปลี่ยนไปนับแต่เธอรู้ว่าตั้งท้อง เธอต้องเผชิญกับฝันร้ายซึ่งปลุกความทรงจำที่เลือนลางขึ้นมา เธอตระหนักว่าเธอสูญเสียความทรงจำส่วนหนึ่งในอดีตและตัดสินใจไปเยี่ยมพี่ชายที่อเมริกา เนื่องจากต้องการที่จะหาความกระจ่างในความรู้สึกและครอบครัวของเธอ ซาบีน่าจำต้องยอมรับความจริงเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ กลายเป็นแม่คน และแก้ไขความสัมพันธ์กับฟรังโก้ เหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ถูกทอดทิ้งไประหว่างเกิดเหตุวิกฤตการณ์
คุณเตรียมตัวรับบทดังกล่าวอย่างไร? คุณอ่านนิยายของคริสติน่าด้วยหรือไม่?
ในการเตรียมตัวรับบทซาบีน่า ฉันอ่านหนังสือของคริสติน่าก่อนอ่านบทละคร ฉันพบว่าเป็นบทที่แรง มีพลัง และยาก ฉันรอบทละครด้วยความเข้าใจเนื่องจากเป็นการยากที่จะเขียนบทให้ดีเท่ากับในหนังสือ แต่ในกรณีนี้ บทได้สะท้อนบรรยากาศในหนังสือ โดยเฉพาะการแทรกชีวิตตัวละคร เหตุการณ์ที่ค่อยๆ คลี่คลาย การค่อยๆ แก้ปัญหา
ฉันเตรียมตัวภายใต้คำแนะนำของคริสติน่า เนื่องจากฉันไม่ชอบการเตรียมตัวเพียงลำพัง ฉันให้ความไว้วางใจผู้กำกับ ผู้กำกับมักจะรู้จริงว่าควรจะถ่ายทำภาพยนตร์อย่างไร และถ้าฉันยอมรับบทก็หมายความว่าฉันเคารพและเชื่อถือผู้กำกับ คริสติน่ารู้จริงเกี่ยวกับการแสดงซึ่งต้องไม่เป็นธรรมชาติและไม่ แสแสร้ง ซึ่งแตกต่างจากที่เคยพบในภาพยนตร์อิตาลี เหล่านี้ไม่ได้เป็นการแสดงทั่วไป เพียงแต่ หลบเลี่ยง “ความสกปรก” ซึ่งกลายเป็นแฟชั่นในปัจจุบัน ตอนต้นของภาพยนตร์เป็นเรื่องยากเนื่องจากเราออกเดินทางไปอเมริกาเลย หลังจากนั้นก็ไปอังกฤษเพื่อถ่ายทำฉากกับหลุยกี โล่ คาสซิโอ ซึ่งรับบทเป็น แดเนียล พี่ชายของฉัน เราต้องเข้าถึงจุดสำคัญของภาพยนตร์ ตอนที่แดเนียลสารภาพกับ ซาบีน่า เป็นช่วงเวลาที่ความจริงเปิดเผยออกมา ซึ่งเป็นฉากที่ซับซ้อนที่สุดสำหรับฉัน ฉันรู้สึกกังวล แต่ทุกอย่างก็ดำเนินไปได้ด้วยดี การกำกับการแสดงของคริสติน่าฉับไว และเธอเปิดเผยและให้ความสนใจกับนักแสดง พร้อมที่จะตอบข้อสงสัยและคำถาม หลุยกีและฉันก็เข้ากันได้ดี แม้ว่าเราจะไม่เคย รู้จักกันและไม่เคยร่วมงานกันมาก่อน
มีฉากใดที่ผลักดันคุณหรือไม่? ถ้ามี เพราะเหตุใด?
แน่นอนต้องเป็นฉากที่ถ่ายทำในอเมริกา และโดยเฉพาะฉากที่แดเนียลว่าเกิดอะไรขึ้นในครอบครัว และนับจากนั้น ซาบีน่าก็ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป อันที่จริง การค้นพบความจริงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นปัจจุบันทันด่วน แต่ค่อยๆ เปิดเผยผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ที่เข้ามาในจิตใจของซาบีน่า แรกสุดคือฝันร้ายเมื่อเธออยู่ที่โรม และความรู้สึกไม่ดีที่มีต่อแฟนหนุ่ม ความจริงที่เธอไม่สามารถมีเซ็กส์กับเขา จากนั้นเป็นการเดินทางไปอเมริกา ซึ่งเธอได้พบกับพี่ชายหลังจากที่ไม่ได้พบกันมาเป็นเวลาหลายปีและเริ่มตระหนักว่าความจริงแล้วเขาเป็นใคร แดเนียลมีปัญหาเรื่องการสัมผัสทางกาย เขาไม่สามารถกอดน้องสาวได้เมื่อพบกันที่สนามบิน ปัญหาเหล่านี้สร้างเงื่อนไขด้านความสัมพันธ์กับภรรยาและลูกๆ ของเขา ช่วงแรกซาบีน่าไม่สามารถนำรายละเอียดเหล่านี้มาปะติดปะต่อกัน แต่ภายหลังทุกสิ่งก็มารวมกัน เหล่านี้เป็นผลมาจากคำพูดของภรรยาแดเนียลที่กล่าวตอนเทศกาลปีใหม่ คำพูดนี้ปลุกความเข้าใจของซาบีน่าที่เธอคิดทุกวันทุกนาที และในที่สุดก็ระเบิดออกมา ก่อให้เกิดผลที่รุนแรง จากนั้นแดเนียลก็สารภาพ พี่น้องใช้เวลาด้วยกันทั้งคืน นับเป็นช่วงเวลาที่ตรึงเครียด และฉันคิดว่าผลที่เกิดขึ้นมีอานุภาพมากและเราประสบความสำเร็จในการสร้างสิ่งที่เหมือนจริง
อเลสซิโอ โบนี (ฟรังโก้)
คุณรับบทอะไรในภาพยนตร์เรื่องนี้?
ฟรังโก้ครับ เป็นแฟนหนุ่มของซาบีน่า ฟรังโก้เป็นนักแสดง คริสติน่า โคเมนชินีรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวผมน้อยมาก เธอยอมรับว่าไม่ได้ดูทีวีมากนักและจำบทของผมที่เล่นในเรื่อง Incantesimo ไม่ได้ ฟรังโก้เป็นคนมีระเบียบวินัย เขาเชื่อในสิ่งที่ตนเองทำ เขาต้องการทำงานในโรงละครและภาพยนตร์เท่านั้น เขาเกลียดทีวี ผมพบว่าตนเองสะท้อนในบทฟรังโก้เนื่องจากฟรังโก้ถูกบังคับในทำงานละครทีวี รับบทเป็นหมอ เช่นเดียวกับที่ผมเป็นในเรื่อง Incantesimo ซาบีน่าก็เป็นนักแสดงเช่นกันและสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าฟรังโก้ เธอทำงานอัดเสียงภาพยนตร์และเป็นคนดูแลอพาร์ตเมนท์และจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ในช่วงแรกของหนัง ฟรังโก้ไม่สามารถยอมรับได้ เขาไม่ได้ทำงานเป็นเวลานานและตัดสินใจที่จะเข้าพบผู้กำกับทีวี และทำสิ่งที่ตรงข้ามกับความคิดของนักแสดง ผู้กำกับแอนเดรียที่รับบทโดยกุยเซปเป้ แบททิสตันดึงดูดใจฟรังโก้มาก เขาเป็นคนสนุก ซื่อสัตย์ และมีอารมณ์ขันในบางครั้ง สมัยใหม่และเฉลียวฉลาด ฟรังโก้ตัดสินใจรับบทในละครทีวี เขาตัดสินใจ “กบฎต่อความคิด” ความเปลี่ยนแปลงของฟรังโก้ในเรื่องงานเกี่ยวพันกับความเปลี่ยนแปลงที่แสนเศร้าของซาบีน่า เริ่มจากฝันร้ายไปจนถึงความพยายามในการค้นหาความจริงที่เจ็บปวด ตัวละครทุกตัวในเรื่องเปลี่ยนแปลง และทุกคนไม่เหมือนเมื่อก่อนเมื่อภาพยนตร์จบลง สิ่งนี้นับเป็นความงามของภาพยนตร์ในทางแยกของชีวิตตัวละครสำคัญ 6 คน แม้แต่เมื่ออ่านนวนิยาย ผมก็สะดุดชีวิตประจำวันค่อยๆ เปิดเผยออกมา ผ่านอารมณ์ความรู้สึกซึ่งมักไม่แสดงออกมา และมักจะอยู่ในส่วนลึกของตัวละครแต่ละตัว ผมรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้
คุณเข้ามารับบทนี้ได้อย่างไร?
เป็นงานที่ผมทำร่วมกับคริสติน่า เธอสร้างตัวละครฟรังโก้ เธอเขียนนิยายและบทและกำกับภาพยนตร์ ดังนั้นเธอรู้จักกับตัวละครทุกตัวเป็นอย่างดี ฉากทุกฉาก แม้แต่ฉากที่ดูเหมือนจะง่าย เป็นส่วนสำคัญของฟรังโก้ที่มีต่อคริสติน่า
เมื่อผมอ่านนิยายและบทภาพยนตร์ สิ่งที่ขับเคลื่อนผมก็คือคำสารภาพของแดเนียลต่อน้องสาว นับเป็นฉากที่ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่ทำให้ผมเป็นผู้ดูและผู้ชม จากฉากที่ถ่ายทำ ผมไม่สามารถพูดได้ว่าฉากใดดีที่สุด เนื่องจากทุกช่วงเวลาในฉากต้องใช้สมาธิและความจริงจังอย่างมากเพื่อจะได้เข้าใจสิ่งที่คริสติน่าต้องการดึงออกมาจากตัวฟรังโก้ ส่วนไหนที่เธอต้องการนำมาแสดงต่อผู้ชม ทุกเรื่องที่เธอรู้อย่างถูกต้องแน่นอน การทำงานร่วมกับคริสติน่าเป็นประสบการณ์ที่ดีเยี่ยม ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเขียนหนังสือและหันมาเขียนบทละครพร้อมกำกับภาพยนตร์ได้ ความเข้าใจที่ผู้กำกับมีต่อนักแสดงในกรณีนี้นับเป็นเรื่องน่าพึงพอใจสำหรับนักแสดง ทำให้ไม่มีฉากใดที่โดดเด่นเหนือฉากอื่นๆ
สเตฟาเนีย ร็อคคา (เอมิเลีย)
เอมิเลียคือใคร?
เป็นหญิงสาววัย 30 ปีซึ่งตาบอดตั้งแต่เมื่ออายุได้ 20 ปี ซึ่งเธอยังไม่สามารถรับได้ และใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว เธอเป็นคนเจ้าอารมณ์ที่เชื่อในเรื่องความรู้สึก สัมพันธภาพและความรักเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเธอ ฉันคิดว่าความพิการทางตาได้ให้ความหมายหลายอย่าง เธอเป็นคนที่เชื่อในเรื่องความ
ทรงจำ จากช่วงเวลาที่เธอค้นพบว่าตนเองตาบอด เธอเริ่มประทับใจทุกอย่างที่เธอสามารถมองเห็นได้ในความทรงจำ เธอเป็นหญิงที่มีทั้งความเข้มแข็งและอ่อนแอ
คุณเตรียมตัวรับบทนี้อย่างไรบ้าง? ผมเห็นมีฉากหนึ่งที่พิเศษและยาก ฉากที่คุณติดอยู่กับเครื่องทอผ้า ซึ่งเป็นความรู้สึกของคุณ และต้องขยับมือไปมาขณะที่จ้องดูแต่ติดอยู่กับที่
เอมิเลียพยายามที่จะเป็นอิสระในทุกๆ ทาง ทำให้เธอปฏิเสธที่จะออกไปพบปะผู้คน หรือจะออกไปกับคนที่เธอรู้จักเป็นเวลานานแล้วเท่านั้น เธอยังเป็นอิสระในการทอผ้าซึ่งทำให้เธออยู่ติดบ้านและไม่ออกไปไหน สำหรับบทนี้ ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับเพื่อนคนตาบอดในปารีส ฉันเริ่มทำงานร่วมกับพวกเขา ฉันเริ่มฝึกฝนทุกอย่างที่เด็กทำเมื่อมองไม่เห็น ฉันพยายามใช้เวลาสองหรือสามชั่วโมงต่อวันด้วยการหลับตา กระทั่งฉันสามารถทำได้สองวันเต็มๆ คุณจะได้รับมุมมองที่แตกต่างเกี่ยวกับชีวิต วัน แสงสว่าง เวลา กำหนดการ มุมมองของคุณที่มีต่อพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง บริษัทผู้ผลิตได้จ้างครูมาช่วยฝึกการใช้เครื่องทอผ้า ตอนแรกฉันเรียนรู้การใช้ด้วยการเปิดตา จากนั้นฉันเริ่มหลับตาเพื่อให้ได้ความชำนาญและรู้สึกกับเครื่องทอผ้าและด้ายเช่นเดียวกับคนตาบอด
เอมิเลียมีความรู้สึกเกี่ยวกับความรักอย่างไร?
สำหรับเอมิเลียแล้ว ความรักผูกพันกับความทรงจำ ความรักตอบแทนที่เธอมีให้กับซาบีน่าเป็นผลจากความจริงที่ว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนกันมานาน เธออยู่กับซาบีน่าตลอดช่วงเวลาที่เจ็บปวดและอยู่ข้างกาย ซาบีน่า การได้มีส่วนร่วมในความทรงจำกับซาบีน่าทำให้เธอรู้สึกแข็งแกร่งขึ้น และทำให้เธอรู้สึก เจ็บปวด สร้างความรู้สึกทอดทิ้งและอิจฉาริษยา
และความเตรียมตัวของคุณ? ประสบการณ์กับชุมชนคนตาบอดในปารีสเป็นอย่างไรครับ?
นับเป็นงานที่น่าสนใจมาก ทำให้ฉันได้ติดต่อกับโลกที่ฉันไม่รู้จัก ฉันตระหนักว่าคนเหล่านี้มีความ มุ่งมั่นที่จะยอมรับเงื่อนไข แต่พวกเขาก็ซ่อนโทสะไว้ภายใน ฉันได้เรียนรู้ว่าการมีชีวิตโดยไม่สามารถมองเห็นได้เป็นอย่างไร ตัวอย่างเช่น เด็กหญิงตาบอดนำฉันไปตามทางที่เธอกลับบ้าน ซึ่งเป็นเรื่องที่คนตาบอดรู้ดีที่สุด ฉันถูกเอาผ้าปิดตาและเป็นเรื่องน่าสนใจที่ได้ค้นพบว่าคนตาบอดต้องทำเครื่องหมายสำหรับตนเอง การเคลื่อนไหวของคนไปตามทางเป็นไปตามกลิ่นและเสียง เนื่องจากการได้ยินและประสาทรับรสทำให้คุณ “มองเห็น” และสร้างภาพสิ่งแวดล้อมขึ้นในใจคุณ
แองเจล่า ฟิน็อคคิอาโร (มาเรีย) - กุยเซปเป้ แบททิสตัน (ผู้กำกับแอนเดรีย เนกรี)
คุณแองเจล่า ฟิน็อคคิอาโร ในภาพยนตร์เรื่องนี้คุณรับบทเป็นมาเรีย ผู้กำกับภาพยนตร์ ซึ่งสามีทอดทิ้งไปใช่หรือไม่?
แองเจล่า
….ฉันกำลังจะร้องไห้….
เป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือ….คุณช่วยเล่าเกี่ยวกับตัวละครตัวนี้ได้หรือไม่?
แองเจล่า
สามีของมาเรียไม่เพียงแต่ทิ้งเธอไป แต่ทิ้งเธอไปหาลูกสาวของเพื่อนซึ่งอายุน้อยกว่าเธอถึง 30 ปี นับจากเวลานั้น มาเรียกลายเป็นหญิงสาวที่มีชีวิตขาดวิ่น เธอได้รับบาดเจ็บทางใจ ขมขื่นจากความแค้นที่เธอมีต่อสามีเนื่องจากการถูกทอดทิ้งก่อให้เกิดแผลเป็นในชีวิตของเธอ ตอนนี้เราหันไปคุยกับกุยเซปเป้ แบททิสตันเกี่ยวกับบทของเขาดีหรือไม่? มาเรียมีบางอย่างต้องแลกเปลี่ยนกับเขา และปฏิบัติต่อเขาอย่างย่ำแย่…..
กุยเซปเป้
ผมรับบทเป็นผู้กำกับซึ่งคริสติน่า โคเมนชินี กล่าวว่าเป็นคนที่มีความสามารถ และถูกบังคับให้กำกับรายการทีวี ละคร เพื่อความอยู่รอด เขารู้สึกสิ้นหวังเนื่องจากความต้องการส่วนลึกคือกำกับภาพยนตร์ อย่างไรก็ดี การพบกับฟรังโก้ทำให้เขาค้นพบความต้องการในชีวิตและเริ่มเขียนบทภาพยนตร์ บทของผู้กำกับแอนเดรียไม่ค่อยถูกทำนองคลองธรรมนัก เขาเป็นตัวละครที่สูบบุหรี่จัด ใช้ภาษาหวือหวาและกล่าวคำหยาบ แต่ก็เป็นเรื่องจริง
คุณเตรียมตัวในบทของคุณอย่างไร? คุณพึ่งหนังสือหรือไม่?
แองเจล่า
ฉันพึ่งหนังสือมาก ฉันไม่เพียงแต่อ่านแล้วอ่านอีก แต่ยังเขียนทุกอย่างที่บรรยายเกี่ยวกับความคิดของคนอื่นที่มีต่อมาเรีย และความคิดของมาเรียที่มีต่อตนเอง ความสัมพันธ์ที่เธอมีต่อรูปกายภายนอก ฉันพยายามที่จะประพันธ์และสร้างสรรค์เพื่อสร้างตัวละครของมาเรีย จากจุดนี้ฉันพบว่านวนิยายเป็นฐานที่สำคัญ
กุยเซปเป้
สำหรับผมแล้วผมใช้วิธีตรงกันข้าม ก่อนอื่น ผมอ่านบทละคร จากนั้นอ่านหนังสือเพื่อให้เข้าใจตัวละครมากขึ้น และค้นหาสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวละครแอนเดรีย เนกรี ตัวอย่างเช่น ความไม่ลงรอยเกิดจากนิยาย และกลายเป็นลักษณะที่แตกต่างของแอนเดรียในภาพยนตร์
ขณะที่คุณถ่ายทำ มีฉากใดที่ผลักดันคุณมากที่สุดหรือไม่?
แองเจล่า
ความจริงแล้ว การเข้าถึงของตัวละครแต่ละตัวในแต่ละฉากผลักดันฉัน มีฉากที่เคร่งเครียดและ
ปลดปล่อย แต่ก็มีความรุนแรงในการนำเสนอทุกช่วงของภาพยนตร์
กุยเซปเป้
ผมมีความผูกพันกับฉากที่เนกรีอุ้มแดเนียลิโอในอ้อมแขน ทำให้ผมอุ้มเด็ก มองเขา และพูดกับเขา ผมคิดว่าฉากนี้บอกหลายอย่างเกี่ยวกับแอนเดรีย เป็นเรื่องที่ผมจำได้ว่าเต็มไปด้วยอารมณ์มากที่สุด เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันเดียวและความรู้สึกก็บดบังผมในบางครั้ง แต่ผมก็มีความสุขที่ได้ทำ
หลุยกี โล่ คาสซิโอ (แดเนียล)
คุณเข้ามารับบทแดเนียลได้อย่างไร?
บทของแดเนียลแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนหลัก ส่วนหนึ่งปิดบังและอีกส่วนหนึ่งเปิดเผย ส่วนที่ปิดบังยังคงเป็นปริศนาและไม่สามารถเข้าถึงได้สำหรับผม มีบางสิ่งที่นักแสดงสามารถเข้าใจได้ และบางสิ่งที่ผมคิดว่าไม่สามารถเข้าใจได้ ตัวอย่างเช่น คุณสามารถเข้าใจความโศกเศร้าเนื่องจากเราทุกคนประสบกับการสูญเสียคนรัก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับแดเนียลก่อให้เกิดผลหลายอย่างในรูปแบบที่คุณไม่สามารถเข้าใจได้อย่างแท้จริงว่าเกิดอะไรขึ้น มิใช่ทางหนังสือหรือสัญชาติญาณ ส่วนที่สองของตัวละครคือส่วนที่เปิดเผยเป็นตัวแทนผลของเหตุการณ์ที่มีต่อแดเนียล ผมจดจ่ออยู่กับผลที่ตามมา เป็นผลที่เราสามารถเห็นได้ในภาพยนตร์ นั่นคือ แดเนียลเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในอเมริกา ตั้งอยู่ใกล้กับวอชิงตัน ในนวนิยาย มีการบรรยายรายละเอียดมากมายจากการที่แดเนียลตัดสินใจยึด
อาชีพอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่ในภาพยนตร์มีการเล่าผ่านรูปลักษณ์และเรื่องส่วนตัว เราต่างเข้าใจว่าการที่แดเนียลตัดสินใจยึดอาชีพนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพ่อของเขา ซึ่งเป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนไฮสคูล แดเนียลซึ่งมีความสามารถมากกว่าพ่อต้องการพิสูจน์ว่าวัฒนธรรมและชีวิตสามารถไปด้วยกันได้
เมื่อเราเห็นแดเนียลปรากฎตัวครั้งแรกในภาพยนตร์ เขาถูกกีดกัน เขาไม่สามารถติดต่อกับลูกๆ หรือแม้แต่สัมผัสพวกเขาได้ เขามีปัญหาแม้แต่การแตะต้องตัวเอง สิ่งสำคัญอีกเรื่องหนึ่งในภาพยนตร์ก็คือความพยายามของแดเนียลในการที่จะใช้ชีวิตอยู่กับความเจ็บปวด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเมื่อคุณต้องพบพานกับเรื่องบอบช้ำ เราสามารถลืมทุกสิ่ง หรือพูดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ขุดมันออกมา และพยายามสร้างสิ่งใหม่บนซากความบอบช้ำ การเดินทางมาถึงของซาบีน่าทำให้แดเนียลต้องเผชิญกับความไม่แน่ใจว่าจะ เล่าชะตากรรมที่ทั้งคู่พานพบ ให้กับน้องสาวฟังดีหรือไม่ ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับแดเนียลคือความต้องการแก้แค้น ซึ่งนำเขาไปสู่การตัดสินใจที่เย็นชาเกี่ยวกับพ่อ แม้เวลาจะผ่านมาหลายปี เขายังรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง แม้ว่าจะดูเว่อร์เกินไป แต่ผมก็เชื่อว่าเป็นความรู้สึกของมนุษย์ปุถุชน
มีฉากใดที่ผลักดันคุณเป็นพิเศษหรือไม่? มีช่วงเวลาใดที่คุณรู้สึกว่าคุณเข้าถึงตัวละครมาก
ที่สุด? และหากมีเพราะเหตุใดจึงเป็นช่วงเวลานั้น?
โดยปกติผมไม่ใช้คำว่า “เข้าถึงตัวละคร” สำหรับผมแล้ว ตัวละครมักจะเป็นอีกชีวิตหนึ่งที่ผมให้ที่อาศัย ผมออกมายืนข้างๆ และให้การสนับสนุนตัวละครทั้งทางกายภาพและทางเสียง ประสาทสัมผัส ความ
รู้สึกและสติปัญญา และให้ตัวละครนี้มีชีวิตอยู่ เพื่อให้ตัวละครดังกล่าวไม่เป็นเพียงแค่ความคิดที่อยู่ในใจนักประพันธ์หรือผู้กำกับ ความสัมพันธ์ของผมกับตัวละครตั้งอยู่บนสัญชาตญาณซึ่งเกิดขึ้นในขณะนั้น เราค่อยๆ รู้จักแดเนียล ทั้งในนวนิยายและบนแผ่นฟิล์ม เขาเป็นคนเข้าใจยาก ไม่พูดหรือสื่อสาร เขาเก็บความลับและในที่สุดก็สารภาพอย่างหมดเปลือก เป็นเรื่องง่ายสำหรับผมที่จะบอกว่าฉากที่ผลักดันผมมากที่สุดคือฉากที่ผมพูดทุกอย่างกับซาบีน่า เนื่องจากเป็นเรื่องของความรู้สึก เขากลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับน้องสาว และทะลายกำแพงขวางกั้นออกไป แดเนียลเปิดเผยตัวตนในช่วงเวลานั้น และฉากที่เราเห็นก่อนหน้านั้นเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการสารภาพ อย่างไรก็ตาม ผมยังถูกผลักดันจากฉากที่ภรรยาพยายามช่วยให้ผมรับรู้ความรู้สึกของการเป็นพ่อ เพื่อให้แดเนียลมีความสัมพันธ์กับลูกแบบปกติโดยปราศจากการปิดบัง ช่องว่างระหว่างกัน และความหวาดกลัว ทั้งคู่อยู่ในฉากซึ่งแม่พยายามนำลูกชายมาอยู่ต่อหน้าแดเนียลเพื่อให้เขาจูบลูกก่อนนอน และเขากอดลูก ผมชอบแนวทางที่ฉากวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์จริงกับสิ่งที่แสดง ฉากนั้นไม่สามารถหยุดยั้งได้ เป็นเหมือนการเล่นละครใบ้ การแสแสร้งเป็นพ่อไม่มีผลลึกซึ้ง นั่นไม่ใช่ปัญหาภายนอก แต่มีส่วนที่ลึกกว่าที่จะต้องทำ ซึ่งแน่นอนว่าเริ่มต้นขึ้นหลังการสารภาพความจริง
มีความแตกต่างในการกำกับโดยผู้หญิงกับผู้ชายหรือไม่? ในความคิดของคุณมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงหรือไม่?
ไม่มีครับ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้กำกับและนักแสดงตั้งอยู่บนพื้นฐานที่แตกต่าง บนบทบาทที่เฉพาะเจาะจง และบนความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาที่อาจมีอยู่หรือไม่มีก็ได้ องค์ประกอบคือ ผู้กำกับและนักแสดง ผู้สร้างและผู้สื่อความหมาย ส่วนหลังอาจมีความสามารถในการนำบางอย่างที่ค้นพบผ่านตัวละครออกมาก ซึ่งผู้กำกับอาจไม่เห็นมาก่อน เพศชายหรือเพศหญิงอาจจะมีบทบาทต่อการกำหนดบุคลิกของผู้กำกับ แต่เรื่องเพศไม่มีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างนักแสดงและผู้กำกับ
พาโอลา โคเมนชินี (ออกแบบการผลิต)
คุณช่วยเล่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคริสติน่าหน่อยครับ?
ฉันทำงานร่วมกับคริสติน่าในภาพยนตร์ทุกเรื่องของเธอ ความสัมพันธ์ระหว่างเราแข็งแกร่งมากนับแต่เริ่มต้น เนื่องจากเรารู้จักกันมาเป็นเวลานาน ฉันทำงานเข้ากันได้ดีกับซาบีน่า เธอเป็นคนที่มีความรู้และรู้ว่าผลที่ต้องการคืออะไร ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ฉากจะต้องไม่สมจริงหรือเหนือจริงเกินไป ดังนั้นเราจึงพยายามทำทุกอย่างแบบง่ายๆ และไม่พลิกแพลง ไม่เว่อร์เกินไป แต่ก็สร้างสไตล์ให้กับทุกคน
ฉากที่เราสร้างในสตูดิโอ 5 ของซิเนซิตต้าไม่ใช่ฉากจริง แต่เป็นส่วนหนึ่งของความฝันและความทรงจำ เป็นสถานที่เรียบง่าย บ้านของชนชั้นกลางที่ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่แฝงด้วยความไม่สงบและลึกลับ
เราใช้เวทีนี้ซึ่งสามารถสนองวัตถุประสงค์สองอย่าง ด้านหนึ่งคือเรื่องการก่อสร้าง และอีกด้านหนึ่งคือ
กับดักเช่นสระว่ายน้ำ ซึ่งเราเติมน้ำครึ่งหนึ่งเพื่อสร้างเอฟเฟคน้ำท่วม บ้านของชนชั้นกลางที่ดูครั้งแรกไม่มีอันตรายอะไร กลับเป็นบ้านแห่งฝันร้ายและถูกน้ำท่วม
การตีความหมายบทภาพยนตร์ของผู้ออกแบบการผลิตอยู่ในระดับใด? ในการร่วมงานกัน
คุณมีอิสระในการออกแบบฉากตั้งแต่ต้นหรือคริสติน่าเป็นผู้ให้ไอเดีย และการตัดสินใจของเธอเป็นไปตามสิ่งที่คุณเสนอ?
ความคิดของคริสติน่าค่อนข้างเคลียร์ เธอรู้ว่าเธอต้องการอะไร แต่เธอก็ยินดีรับฟังคำแนะนำและความคิดเห็นซึ่งอาจจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบทละครเช่นเดียวกับผู้กำกับทุกคน ผู้ออกแบบการผลิตจะต้องเพิ่มเติมบางอย่างเข้าไปในภาพยนตร์ มีผู้กำกับหลายคนที่มีทุกอย่างอยู่ในหัวและในรายละเอียดอยู่แล้ว แต่ก็เป็นส่วนน้อย
ความร่วมมือระหว่างฝ่ายออกแบบการผลิตและฝ่ายออกแบบเครื่องแต่งกายเป็นอย่างไร?
จำเป็นจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเช่นเดียวกันกับช่างภาพ จะต้องมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในด้านความตั้งใจ และความต้องการที่จะผลิตภาพยนตร์ด้วยกัน มิฉะนั้นคุณจะเสี่ยงกับการที่ได้ผลงานที่ออกมาไม่ดี
ถ้าหากในภาพยนตร์แต่ละเรื่องคุณจะต้องตีความนวนิยาย ในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เช่นกัน ฉากจะต้องสะท้อนภาวะที่อยู่ในจิตใจใช่หรือไม่?
มีภาพยนตร์หลายเรื่องที่น่าดูมากกว่าอีกหลายเรื่อง เช่นเรื่องนี้ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และยังมีภาพยนตร์พีเรียดที่คุณต้องสร้างยุคทั้งหมด ผมรักภาพยนตร์ทุกประเภท ในความคิดของผม คุณจะต้องมีความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างผลิตผลงานแต่ละครั้งเพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อหน่าย
คุณเตรียมตัวสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างไร?
จุดเริ่มต้นคือบทภาพยนตร์ ซึ่งจะให้ข้อมูลเบื้องต้นแม้ว่าจะไม่ละเอียดนักก็ตาม คนในยุคต่างๆ และ ชนชั้นต่างๆ ที่มีอาชีพแตกต่างกันสามารถอาศัยอยู่ในบ้านที่แตกต่างกันหลายแบบ ผู้ออกแบบการผลิตจะต้องเลือกสรร และต้องเข้าใจผลที่ต้องการให้ออกมา ต้องเลือกว่าจะจัดวางตัวละครในฉากปกติหรือสร้างฉากที่แปลกและไม่เหมือนใคร เหล่านี้เป็นเรื่องที่จะต้องตัดสินใจร่วมกันกับผู้กำกับ
เช่นเดียวกับบ้านของเอมิเลียที่มีเครื่องทอผ้าใช่ไหมครับ?
งานของเอมิเลียอยู่ในบทอยู่แล้ว เว้นเสียแต่ว่าผู้เขียนบทจะบรรยายฉากอย่างละเอียด (ซึ่งมักไม่ค่อยมี) และบ้านทั้งหมดจะเข้ากันได้กับตัวละครบางตัว ถ้าเป็นผู้ออกแบบการผลิตคนอื่นก็อาจจะสร้างสรรค์บ้านของเอมิเลียอย่างแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง การสร้างสรรค์ไม่ได้เป็นไปตามหลักคณิตศาสตร์ แต่ละคนสามารถมีแรงบันดาลใจของตนเองได้
คุณเคยคิดที่จะเขียนหนังสือเกี่ยวกับการออกแบบการผลิตหรือไม่?
เคยเหมือนกัน น่าจะเป็นเรื่องสนุกนะ ฉันอยากจะเขียนในลักษณะเป็นคู่มือเนื่องจากทุกคนเข้าใจอยู่แล้วว่างานประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ทุกคนรู้ว่านักออกแบบเวทีละครต้องทำอะไรบ้าง เนื่องจากเขาต้องออกแบบฉากที่ได้รับการก่อสร้าง แต่ผู้ออกแบบการผลิตภาพยนตร์จะต้องทำงานหลายอย่าง
เขาต้องทำงานเป็นมัณฑนาการออกแบบภายนอก ออกแบบภายใน ฉากในสตูดิโอ หรือฉากจริง
ต้องเลือกรถยนต์ที่จะผ่านเข้าฉาก หรือพูดได้อีกอย่างว่าพวกเขาต้องทำงานภายใต้ปัจจัยหลายประการในเวลาเดียวกัน
แอนโตเนลลา เบอร์ราดี (ออกแบบเครื่องแต่งกาย)
คุณจะอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคริสติน่าอย่างไร?
ฉันไม่ได้ร่วมงานในภาพยนตร์เรื่องแรกของคริสติน่า แต่ได้รับการติดต่อจากผู้อำนวยการสร้างสำหรับภาพยนตร์เรื่องที่สอง ช่วงแรก การพบกับคริสติน่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ต้องกำหนดแน่นอน แต่ก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง คริสติน่าเต็มไปด้วยความคิด แต่เธอก็ยินดีรับฟังคำแนะนำของคนอื่น ผมชอบที่จะทำงานกับเธอ นอกจากนี้ผมยังมีความสัมพันธ์อันดีกับพาโอล่าอีกด้วย ทั้งเธอและผมได้พัฒนาความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดหลังจากทำงานมาด้วยกันหลายเรื่อง ตัวอย่างเช่น เราร่วมงานกันในภาพยนตร์เรื่อง ลา ทราวิเอต้า ในเมืองฟลอเรนซ์ ซึ่งเป็นเรื่องวิเศษสุดและน่าตื่นเต้น และยังต้องใช้พลังงานของทุกคน รวมทั้งความคิดที่สร้างสรรค์ด้วย
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแสดงพฤติกรรมทางจิตของตัวละคร เครื่องแต่งกายเป็นเสมือนเครื่องกรองที่ช่วยกระตุ้นให้นักแสดงตีความบทบาทของตน มีการกำหนดสีให้กับตัวละครแต่ละตัวเพื่อสะท้อนบุคลิก หลังจากที่ได้ดูภาพถ่ายของฟิลิปเป้ (แอนโตเนลโล่) ผมก็ตระหนักว่าความร่วมมืออย่างแข็งขันกับผู้ออกแบบการผลิตจะให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
ดูเหมือนว่าภาพยนตร์ร่วมสมัยจะประสบกับความยากลำบากเช่นเดียวกับภาพยนตร์ในยุคศตวรรษที่ 19
ใช่ครับ เนื่องจากคุณจะต้องพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งรอบตัวที่โจ่งแจ้งเกินไป ภาพยนตร์ไม่เหมือนหนังสือ คุณจะต้องเลือกอย่างพิถีพิถัน
ในตอนต้น คริสติน่าบรรยายสีที่เธอต้องการ ฉากทุกฉากต้องมีสีเบจ สีดำ และสีขาว ใช่หรือไม่?
ในกรณีนี้ เราทราบดีแล้วว่าตัวละครใดเหมาะกับนักแสดงคนใด ในบันทึกสั่งงานที่ทำขึ้นสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมได้รวบรวมจานสีในหน้าแรก จากนั้นเป็นภาพของนักแสดงในทุกสถานการณ์ ซึ่งการคัดสรรสีที่ถูกต้องเป็นเรื่องที่ต้องทำ ในบางสถานการณ์จะใช้สีอ่อน ส่วนที่เหลือจะใช้สีเข้ม
Director
คริสตินา โคเมนชินี (ผู้กำกับและผู้เขียนบท)
คริสตินา เป็นบุตรสาวของหลุยกี โคเมนชินี ผู้ผลิตภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียง คริสตินา โคเมนชินีมีประสบการณ์ในการเป็นทั้งผู้กำกับและผู้เขียนบท เธอยังได้รับการยอมรับในฐานะนักประพันธ์นวนิยายซึ่งได้รับการตีพิมพ์โดยบริษัท เฟลทริเนลลี พลับบลิชชิง และเมื่อเร็วๆ นี้ได้รวบรวมผลงานการเขียนของบิดา ได้แก่ Infanzia, vocazione, esperienze di un regista
ฟรานเซสกา มาซิอาโน (ผู้เขียนบท)
…………………………………………………………………………………………………………………
กุยเลีย คาเลนดา (ผู้เขียนบท)
…………………………………………………………………………………………………………………
พาโอลา โคเมนชินี (ออกแบบเครื่องแต่งกาย)
พาโอลาเกิดที่โรมเมื่อปี ค.ศ. 1951 เธอจบการศึกษาระดับปริญญาตรีในปี 1968 และจากนั้นเข้าศึกษาต่อทางด้านสถาปัตยกรรม ในปี 1972 เธอเริ่มงานภาพยนตร์ในฐานะผู้ช่วยออกแบบการผลิต (ร่วมกับเฟอร์ดินานโด สกาฟิอ็อตติ, ลูเซียโน ริคเคอรี, ดันเต้ เฟอร์เร็ตติ และอื่นๆ) ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย และในที่สุดเป็นผู้ออกแบบการผลิต
เธอทำงานร่วมกับผู้กำกับต่อไปนี้ :
…………………………………………………………………………………………………………………
บรูโน พัปพาโร (เสียง)
บรูโนเกิดที่โรมในปี ค.ศ. 1959 เขาจบการศึกษาจาก Istituto di Stato per la Cinematografia ทางด้านเทคนิคเสียงที่ Scuola Nazionale di Cinema ปัจจุบันเขาสอนวิชา “เทคนิคการอัดเสียง” อยู่ที่นั่น หลังจากที่มีประสบการณ์ทำงานด้านวิทยุ ละคร และอุตสาหกรรมการอัดเสียงเพลงแล้ว ในปี 1986 เขาเริ่มหันมาจับงานด้านการอัดเสียงภาพยนตร์และทีวี นอกจากนี้เขายังมีประสบการณ์ในภาพยนตร์โฆษณาและทีวีควบคู่กันไป เขาผลิตภาพยนตร์สารคดีมากกว่า 50 เรื่อง ทำงานร่วมกับผู้กำกับ หลายคน อาทิ เฟลิซ ฟาริน่า, มอริซิโอ เซียร์ร่า, ฟัลวิโอ เวทเซล, เซอรจิโอ ซิตติ, คาร์โล เวอร์ดัน, พาโอลา และวิตโตริโอ ทาเวียนี, คาร์โล มาซซาคูราติ, เกียโคโม คัมพิอ็อตติ, กุยเซปเป้ พิคชิโอนี, พาโอโล วีร์ซี, ฟรังซัว จีราด, วิลม่า ลาบาเต้ แอนโตนิโอ อัลบาเนเซ่, กาบริเอเล่ มุคชิโน, เวอโรเนซี และ ลีโอนาโด เพียแรคชิโอนี
ฟรังโก้ เพียซานติ (ดนตรี)
…………………………………………………………………………………………………………………
แอนโตเนลลา เบอร์ราดี (ออกแบบเครื่องแต่งกาย)
แอนโตเนลลา เบอร์ราดีเกิดและอาศัยอยู่ที่เมืองฟีโซเล่ ใกล้ๆ กับเมืองฟลอเรนซ์ เธอได้รับประกาศนียบัตรทางด้านศิลปะประยุกต์จากสถาบันศิลปะของรัฐในเมืองฟลอเรนซ์ และประกาศนียบัตรด้านการออกแบบฉากที่วิทยาลัยวิจิตรศิลป์ที่ฟลอเรนซ์
…………………………………………………………………………………………………………………
เซซิเลีย ซานูโซ (เรียบเรียง)
เซซิเลีย เกิดที่เมืองมิลาน เธอเริ่มทำงานในอเมริการะหว่างปี 1981-1986 โดยทำงานอยู่ที่นิวยอร์ค วอชิงตัน และแอลเอให้กับแนชั่นแนลจีโอกราฟฟิคโซไซตี้ สถาบันสมิทโซเนียน บริษัทพีบีเอส เอชบีโอ เอบีซีร่วมกับผู้กำกับภาพยนตร์อิสระ เมื่อเธอกลับยังบ้านเกิดก็หันมาจับงานด้านการโฆษณา ทีวี และมิวสิควิดีโอ ก่อนที่จะเริ่มงานภาพยนตร์
…………………………………………………………………………………………………………………
ฟาบิโอ ซิอันเช็ตติ (กำกับภาพ)
…………………………………………………………………………………………………………………
ประวัติด้านภาพยนตร์ : นักแสดง
จิโอวานน่า เมซโซจิออโน (ซาบีน่า)
จิโอวานน่าเกิดที่กรุงโรมในปี 1974 เธอเป็นบุตรสาวของนักแสดงอย่างวิตโตริโอ เมซโซจิออโน และเซซิเลีย ซัสชิ เธอทำงานอยู่ที่กรุงปารีสเป็นเวลา 2 ปี ที่เวอร์คช็อปของปีเตอร์ บรู๊ค (Le Centre International de Creations Theatrales) และเริ่มเข้าสู่วงการละครเวทีระหว่างปี 1995-96 โดยรับบทเป็นโอฟีเลีย ในละครเรื่อง Qui est la ซึ่งเป็นผลงานละครเวทีที่สร้างสรรค์และกำกับโดยปีเตอร์ บรู๊ค ดัดแปลงจากเรื่องแฮมเล็ทของเช็คสเปียร์ เขียนบทละครโดยอาร์โทด เบร็ช, เมเยอร์โฮล, สตานิสลาฟสกี้ และเซมี ละครเรื่องนี้เดินสายแสดงไปทั่วยุโรป และทำให้เธอได้รับรางวัลเพรมิโอ คอปโปลา-พราติ ในปี 1996 ในปี 1997 เธอเริ่มอาชีพการแสดงในภาพยนตร์เรื่อง II Viaggio della Sposa สร้างโดยเซอร์จิโอ รูบินี และเธอได้รับรางวัล “Nuovi Talenti del Cinema Italiano” ของ Targa d’Argento ที่งาน Grolle d’Oro Awards และได้รับรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมในปี 1997-98 จากงานลูกโลกทองคำอิตาลี และ
ฟลาเอียโน
…………………………………………………………………………………………………………………
อเลสซิโอ โบนี (ฟรังโก้)
…………………………………………………………………………………………………………………
สเตฟาเนีย ร็อคคา (เอมิเลีย)
…………………………………………………………………………………………………………………
แองเจล่า ฟิน็อคคิอาโร (มาเรีย)
แองเจล่า ฟิน็อคคิอาโร เริ่มอาชีพการแสดงในช่วงทศวรรษ 1970 กับบริษัทละคร “Guelli di Grock” ซึ่งเธอเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งร่วมกันกับมอริซิโอ นิเชทติ ผลงานของบริษัทประกอบด้วย Spariamo alle farfalle, Felice e Carlina, La citta degli animali, Giochiamo che io ero, Vieni nel mio sogno และ Dudu Dada
ในปี 1980 เธอเล่นละครเวทีเรื่อง Panna Acida ร่วมกับคาร์ลิน่า ตอร์ล่า และอมาโต้ เพนนาซิลิโก้ และได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Ratataplan และ Ho Fatto Splash โดยมอริซิโอ นิเช็ตติ ภายหลังเธอ
ยังได้แสดงบนเวทีร่วมกับตอร์ล่า และเพนนาซิลิโก้อีกเป็นครั้งที่สองในเรื่อง Scala F (1981) ของพานน่า อซิด้า
ในทศวรรษ 1980 เธอได้ร่วมมือกับนิเช็ตติและกาเบรียล ซาลวาตอเรส ในรายการทีวี Quo vadiz เธอเขียนบทละครเรื่อง Viola อันเป็นส่วนหนึ่งของพานน่า อซิด้า ซึ่งเธอได้ร่วมเดินสายไปทั่วอิตาลีในช่วงกลางทศวรรษ 1980 ทั้งเรื่อง Viola และ Scala F ได้รับการแพร่ภาพออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ RAI
…………………………………………………………………………………………………………………
กุยเซปเป้ แบททิสตัน (ผู้กำกับแอนเดรีย เนกรี)
…………………………………………………………………………………………………………………
หลุยกี โล่ คาสซิโอ (แดเนียล)
หลุยกี โล่ คาสซิโอ จบการศึกษาด้านการแสดงจากสถาบันการละครแห่งชาติ “Silvio d’Amico” ในเดือนกรกฎาคม 1992 ด้วยผลงานการแสดงเรื่องแฮมเล็ท ซึ่งกำกับการแสดงโดยโอราซิโอ คอสต้า ระหว่างที่อยู่ที่สถาบันเป็นเวลา 3 ปี เขาได้ศึกษากับผู้กำกับหลายคน รวมทั้งลูก้า รอนโคนี, มาริโอ เฟอเรโร และกุยเซ็ปเป้ มันซารี
…………………………………………………………………………………………………………………
วาเลอริโอ บินาสโก้ (พ่อ)
วาเลอริโอ บินาสโก้ เริ่มงานแสดงครั้งแรกในละครเรื่อง The Playboy of the Western World ที่ Teatro di Genova นอกจากนี้ยังมีผลงานเรื่อง Putta Onorata และ Buona Moglie ของโกลโดนี, เรื่อง Inverni ของ เอส. ดารโซ-เรเปตติ, เรื่อง Arden ของฟาเวอร์ชาม กี อโนมิโม, เรื่อง II Re Cervo ของ ซี. ก็อซซิ และเรื่อง Ivanov ของเชคอฟ ผลงานการแสดงของเขาที่ Teatro di Genova ได้แก่เรื่อง Antigone, The Taming of the Shrew, King Lear และ Gogol’s The Inspector General
เขาได้ร่วมงานกับนักแสดงและผู้กำกับที่ได้รับการยอมรับอย่างคาร์โล เช็คติ ในเรื่อง Endgame ของซามูเอล เบ็คเคท, เรื่อง The Hothouse ของฮาโรลด์ พินเตอร์, เรื่องแฮมเล็ทของเช็คสเปียร์ (ในบทแฮมเล็ท), เรื่อง A Midsummer Night’s Dream และเรื่อง Measure For Measure
เขารับบทนำในเรื่อง The Stranger ของคามุส กำกับการแสดงโดยเอฟ. เปโร ที่ Teatro Stabile di Parma และแสดงในเรื่อง The Room และ Anniversary ซึ่งเป็นผลงานการกำกับของโรเบอโต อันโด้
ในปี 1997 เขาเริ่มงานกำกับ งานละครเวที และนำแสดงในเรื่อง II Re Cervo ของก็อซซิ นอกจากนี้เขายังเดินหน้ากำกับต่อไป (มักจะแสดงในผลงานการผลิตของตัวเอง) เรื่อง Bar โดยเอส. ซิโมเน, เรื่อง The Beauty Queen of Leenane ของมาร์ติน แมคโดนาฟ, เรื่อง Natalia โดยดี. มาครี, เรื่อง Betrayal และ Family Voices ของฮาโรลด์ พินเตอร์, เรื่อง The Seagull ของเชคอฟ และการดัดแปลงจากบทละครของโทมัส วินเทนเบอร์กเรื่อง Festen (Celebration)
…………………………………………………………………………………………………………………
ฟรานเชสกา อินาอูดี (อนิตา)
ฟรานเชสกา อินาอูดี จบการศึกษาจาก the Scuola del Piccolo Teatro di Milano di Giorgio Strehler และภายหลังได้เรียนทางด้านการเต้นรำกับแคโรลีน คาร์ลสัน และเรียนการแสดงกับบรูซ
เมเยอร์ (นักแสดงคนหนึ่งของปีเตอร์ บรู๊ค)
ในปี 1999 เธอได้รับรางวัล Premio Hystrio alla vocazione และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Nastro D’argento ในฐานะนักแสดงหญิงสมทบยอดเยี่ยม ในปี 2004 จากภาพยนตร์เรื่อง After Midnight ของเดวิด เฟอร์ราริโอ
…………………………………………………………………………………………………………………
Awards for DON’T TELL
- รางวัลผู้สร้างหนังรุ่นใหม่จากการประกาศผลรางวัลในงานอิตาเลียนฟิล์ม
- รางวัลชนะเลิศการประกาศผลรางวัล WELLA PRIZE ANGELA FINOCCHIARO
- รางวัลชนะเลิศการประกาศผลรางวัล VOLPI CUP สาขานัแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม
- รางวัลชนะเลิศ การประกาศผลรางวัล SILVER RIBBON สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม
- รางวัลชนะเลิศการประกาสผลรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่มในกาลเทศกาลภาพยนตร์กรุงโรม
- รางวัลชนะเลิศการประกาศผลรางวัล UNICEF AWARD
- ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ออสการ์ สาขาภาพยนตร์ ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม
DON’T TELL เปิดปาก...ถ้าอยากเจ็บ
8 มิถุนายน นี้ในโรงภาพยนตร์
Exclusive@Apex
ขอแสดงความนับถือ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
โป้ง 0-1327-6068,เม้ง 0-9129-0569,ปลา 0-9683-2328,ปิ่น 0-6780-6096
Tel 0-2640-5522,0-2641-7494,Fax 0-2641-6161
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ