กรุงเทพฯ--25 ก.พ.--ปตท.
ปี 2547 ปตท.และบริษัทย่อย มีผลประกอบการดีขึ้น เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และความต้องการใช้พลังงาน และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ ปตท. และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขาย 644,673 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% โดยเป็นรายได้นำเข้าประเทศจากการค้าสากลนอกประเทศและการส่งออก 59,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85 %จากปี 2546 มีรายได้ก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) จำนวน 79,264 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% มีกำไรสุทธิ 62,666 ล้านบาท หรือ 22.4 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 67% โดยส่วนใหญ่ของกำไรสุทธิที่ได้ คือ 59% หรือประมาณ 37,240 ล้านบาท มาจากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทย่อยและบริษัทร่วมทุน ซึ่งในการนี้ คณะกรรมการ ปตท. ได้ให้ความเห็นชอบจ่ายเงินปันผล 6.75 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น 30% ของกำไรสุทธิ โดยให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 12 เมษายน 2548 และกำหนดจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 29 เมษายน ศกนี้ ซึ่งเงินปันผลดังกล่าวจะเป็นส่วนของกระทรวงการคลัง และกองทุนวายุภักษ์ 12,849 ล้านบาท นอกจากนี้ ปตท. ได้มีการนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตรา 25% เป็นเงิน 7,975 ล้านบาท และเมื่อรวมกับภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทย่อยและบริษัทร่วมอีกประมาณ 16,567 ล้านบาทแล้ว จะทำให้ ปตท. และบริษัทในกลุ่มมีการนำเงินส่งรัฐทั้งสิ้น ประมาณ 37,391 ล้านบาท ทั้งนี้ ปัจจุบัน ปตท. เป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าหุ้น ในตลาดหลักทรัพย์เป็นอันดับ 1 โดยมีมูลค่าประมาณ 550,000 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 11% ของมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์ และหากรวมบริษัทในกลุ่มด้วย จะมีมูลค่ารวมประมาณ 21% คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,000,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ปตท. ยังเป็นที่ยอมรับของนักลงทุนจนได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ 1) Fortune Global 500 ได้อันดับที่ 456 ในหมวดบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก 2) Forbes ได้อันดับ 461 ในหมวดบริษัทชั้นนำของโลก 3) Business Week ได้อันดับที่ 498 ในหมวดบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดของโลก และล่าสุด 4) Asiamoney จัดอันดับให้เป็นบริษัทไทยที่มีการบริหารจัดการที่ดีที่สุด
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)(ปตท.) กล่าวถึงการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาว่า ในกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ มีรายได้ 174,981 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% มี EBITDA 36,857 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากราคาผลิตภัณฑ์จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นมาก ในขณะที่ปริมาณขายเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากระบบท่อก๊าซฯใช้เต็มกำลังแล้ว คือ ก๊าซธรรมชาติจำหน่ายได้ประมาณ 2,800 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน เพิ่มขึ้น 5% ส่วนผลิตภัณฑ์จากโรงแยก จำหน่ายได้ ประมาณ 2.8 ล้านตัน เพิ่มขึ้นประมาณ 2% นอกจากนี้ ในปี 2547 บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) (ปตท.สผ.) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ยังมีผลประกอบการที่ดีสามารถส่งส่วนแบ่งกำไรสุทธิตามสัดส่วน ของ ปตท.เป็นจำนวน 10,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 33.5% เนื่องจากราคาและปริมาณการจำหน่ายที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมียอดขายสูงถึง 134,000 บาร์เรล/วัน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 25% โดยส่วนใหญ่ของปริมาณการจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากการขายน้ำมันดิบจากแหล่ง S1 ซึ่ง ปตท.สผ. ได้ซื้อมาจากเชลล์
ส่วนธุรกิจน้ำมัน แม้ว่าปี2547 ปริมาณขาย และราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันจะสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ และราคาตลาดโลก ทำให้ ปตท. มีรายได้จากธุรกิจน้ำมันทั้งการจำหน่ายในประเทศและต่างประเทศ จำนวน 469,113 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 37% แต่จากภาวะการแข่งขันที่รุนแรง ทำให้กำไรจากการขายต่อหน่วยอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้ธุรกิจน้ำมันมี EBITDA 5,761 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 1% อย่างไรก็ดี ปตท. ยังครองส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศเป็นอันดับ 1 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 คือมีปริมาณขายประมาณ 14,000 ล้านลิตร หรือคิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 33 %
สำหรับกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นในปี 2547 นั้น มีส่วนแบ่งกำไรสุทธิตามสัดส่วนของ ปตท. จำนวน 26,742 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 159% เนื่องจากมีการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม ปิโตรเคมี ประกอบกับราคาปิโตรเคมีและค่าการกลั่นมีการปรับตัวสูงขึ้นตามสภาวะตลาดโลก ซึ่งเป็นไปตามวงจรธุรกิจที่มีทั้งขาขึ้นและขาลง จึงส่งผลให้ผลประกอบการโดยรวมดีขึ้นมาก
ในปี 2547 ปตท. และบริษัทย่อย มีสินทรัพย์มูลค่ารวมทั้งสิ้น 487,226 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2546 คิดเป็น 50.2% ในขณะที่มีหนี้สินรวมทั้งสิ้น 302,311 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.7% และส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 184,915 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.4%
นายประเสริฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปตท. เตรียมการเพื่อรองรับการจัดหาพลังงานซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจและเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นทรัพยากรในประเทศ โดยได้ปรับแผนลงทุน 5 ปี ระหว่างปี 2548 — 2552 ซึ่งมีงบลงทุนรวม 181,830 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนประมาณ 85% ในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ส่วนที่เหลือจะลงทุนในธุรกิจน้ำมันและธุรกิจปิโตรเคมี ทั้งนี้ แหล่งเงินทุนส่วนใหญ่จะมาจากรายได้จากการดำเนินงาน และเงินกู้บางส่วน เพื่อให้มีโครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสม และเป็นประโยชน์กับผู้ถือหุ้นมากที่สุด สำหรับในปี 2548 จะจัดสรรการลงทุนเป็นเงิน 59,623 ล้านบาท โดยมีการลงทุนหลักในการขยายเครือข่ายท่อส่งก๊าซฯ และโรงแยกก๊าซฯ อาทิ การดำเนินโครงการโรงแยกก๊าซอีเทน เป็นต้น นอกจากนี้ ปตท. จะมีนโยบายในการเน้นการบริหารงานในลักษณะกลุ่มธุรกิจ ผ่านกระบวนการผลิตร่วม การจัดหาวัตถุดิบร่วม และ/หรือ พิจารณาควบรวมธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด--จบ--