กรุงเทพฯ--5 มิ.ย.--ปตท.
จากการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์จากโรงแยกก๊าซฯ ด้วยเทคโนโลยีล่าสุดในการผลิตเม็ดพลาสติกโพลีโพรพิลีน ทำให้กลุ่ม ปตท. มีผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีหลากหลายและครบวงจรมากขึ้น พร้อมก้าวเป็นผู้นำปิโตรเคมีในภูมิภาค
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ปตท. ได้ลงนามในสัญญาการซื้อหุ้น (Share Acquisition Agreement) และสัญญาผู้ถือหุ้น (Shareholders Agreement) ในบริษัท เอ็ชเอ็มซีโปลีเมอส์ จำกัด (เอ็ชเอ็มซี) ในสัดส่วน 40% โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 250 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อซื้อหุ้นเพิ่มทุนและซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมของเอ็ชเอ็มซี อันจะมีผลให้ ปตท. เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด สอดคล้องกับกลยุทธ์ของ ปตท. ที่ต้องการขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์เกรดพิเศษเฉพาะ (Specialty Grade) และทำให้ ปตท. สามารถเข้าสู่ธุรกิจปิโตรเคมีขั้นปลายได้ทันที อีกทั้งเป็นการเพิ่มมูลค่าให้แก่ก๊าซโพรเพน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติของ ปตท. อีกด้วย
ทั้งนี้ การที่ ปตท. เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นรายใหม่ทำให้เอ็ชเอ็มซีมีความเข้มแข็งทางการเงิน โดยจะนำเงินจากที่ได้จากการขายหุ้นเพิ่มทุนไปลงทุนขยายกำลังผลิตเม็ดพลาสติก PP อีก 300,000 ตันต่อปี โดยจะใช้เทคโนโลยี Spherizone ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล่าสุด จาก Basell ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายหนึ่งของ เอ็ชเอ็มซี ส่งผลให้ เอ็ชเอ็มซี ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำด้าน PP ในภูมิภาคนี้
เอ็ชเอ็มซี ประกอบกิจการโรงงานโพลีโพรพิลีน (PP) โดยเริ่มการผลิตตั้งแต่ปี 2532 ปัจจุบันมีกำลังการผลิตประมาณ 420,000 ตันต่อปี โดยมีการผลิตเม็ดพลาสติก PP Specialty Grade เป็นผลิตภัณฑ์หลัก ทั้งนี้ บริษัทประสบความสำเร็จทั้งในด้านปฏิบัติการ การตลาด และมีผลการดำเนินงานที่ดี โดยในปี 2548 เอ็ชเอ็มซี มีกำไรสุทธิ 3,018 ล้านบาท