ฟิทช์คงอันดับเครดิตของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

ข่าวเศรษฐกิจ Monday October 12, 2009 14:41 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--12 ต.ค.--ฟิทช์ เรทติ้งส์ ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศคงอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (International Long-term Foreign Currency Issuer Default Rating) ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. ที่ระดับ ‘BBB’ อันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินในประเทศ (International Long-term Local Currency Issuer Default Rating) ที่ระดับ ‘A-’ อันดับเครดิตสากลระยะสั้นสกุลเงินต่างประเทศ (International Short-term Foreign Currency Issuer Default Rating) ที่ระดับ ‘F3’ อันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวที่ระดับ ‘AAA(tha)’ อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ระดับ ‘F1+(tha)’ และอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิที่ระดับ ‘AAA(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ อันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำของปตท.ในธุรกิจก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในประเทศไทย รวมถึงความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ และการเป็นตัวจักรของรัฐบาลในการขับเคลื่อนนโยบายที่เกี่ยวกับการพัฒนาและความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศ ฟิทช์ให้ความเห็นว่าปตท.น่าจะยังคงเป็นผู้ดำเนินการระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ การจัดหาและการจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติเพียงรายเดียวในประเทศไทย เนื่องจากปตท.มีเครือข่ายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติที่ครอบคลุมพื้นที่การใช้ก๊าซธรรมชาติเพียงรายเดียวในประเทศ และมีสัญญาเช่าระยะยาวในส่วนของท่อส่งก๊าซที่โอนคืนให้กับกระทรวงการคลัง รวมถึงการมีสัญญาการจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติระยะยาวกับผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ทุกรายในประเทศ ปตท.ยังเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทยโดยผ่านการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. สผ. นอกจากนี้ปตท.ยังเป็นผู้จัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในประเทศไทยเกือบทั้งหมด และเป็นผู้จัดจำหน่ายที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุดในธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และธุรกิจน้ำมัน อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงคณะผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจเป็นอย่างดี และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัท ธุรกิจก๊าซธรรมชาติเป็นธุรกิจหลักของปตท.ในการสร้างกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) รวมถึงการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ค่อนข้างคงที่ โดยเป็นผลมาจากสัญญาการจัดจำหน่ายระยะยาวซึ่งมีการกำหนดปริมาณการซื้อขั้นต่ำจากคู่สัญญาในลักษณะ take-or-pay รวมถึงความสามารถในการส่งผ่านต้นทุนการขายให้แก่ลูกค้า และความผันผวนที่น้อยกว่าของราคาก๊าซธรรมชาติเมื่อเทียบกับราคาน้ำมัน ความแข็งแกร่งของอันดับเครดิตของปตท. ถูกลดทอนลงจากปัจจัยเสี่ยงที่บริษัทต้องเผชิญกับความผันผวนที่สูงของราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ แผนการลงทุนขนาดใหญ่ในอนาคตของบริษัท ความเสี่ยงในเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางด้านกฎระเบียบและปัจจัยทางด้านการเมือง รวมถึงความเสี่ยงในด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่ปตท.มีอยู่ในระดับหนึ่ง ราคาน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ปรับตัวลดลงน่าจะส่งผลให้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของปตท.ลดลง และทำให้อัตราส่วนทางการเงินต่างๆที่ใช้ในการพิจารณาอันดับเครดิตอ่อนแอลงในปี 2552 ฟิทช์ยังกล่าวอีกว่าปตท.มีแผนการลงทุนในโครงการต่างๆในระยะ 5 ปีข้างหน้า (ปี 2552 ถึง 2556) รวมมูลค่า 2.3 แสนล้านบาท ในขณะที่ ปตท. สผ. มีแผนการลงทุนในระยะ 5 ปีข้างหน้ารวมมูลค่า 3.4 แสนล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากแผนการลงทุนในระยะ 5 ปีเดิม (ปี 2551 ถึง ปี 2555) ที่ประมาณการไว้เพียง 1.9 แสนล้านบาท อันเป็นผลมาจากการโครงการพัฒนาและผลิตที่เพิ่มขึ้น ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก (Parent and Subsidiary Rating Linkage Methodology) ฟิทช์จัดอันดับเครดิตปตท.โดยเริ่มจากการพิจารณาเครดิตของปตท.ในฐานะบริษัทหนึ่ง (Standalone Rating) แล้วจึงพิจารณาถึงปัจจัยเสริมจากความสัมพันธ์ดังกล่าว (Bottom-up Approach) โดยฟิทช์ได้ให้อันดับเครดิตเพิ่มขึ้นหนึ่งอันดับจากอันดับเครดิต Standalone ของปตท. เพื่อสะท้อนถึงการสนับสนุนของรัฐบาลต่อปตท.ในทางอ้อม (Implicit Support) อย่างไรก็ตามเนื่องจากอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินในประเทศของประเทศไทยปัจจุบันอยู่ในระดับเดียวกับอันดับเครดิต Standalone ของปตท. ดังนั้นการปรับเพิ่มอันดับเครดิตขึ้นหนึ่งอันดับจากการสนับสนุนของรัฐบาลต่อปตท.ในทางอ้อมจึงไม่มีผลในกรณีนี้ อันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศของปตท. ที่ระดับ ‘BBB’ ถูกจำกัดให้เท่ากับอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศของประเทศไทยเนื่องจากการที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในปตท. และการที่ธุรกิจหลักส่วนใหญ่ของปตท. ดำเนินงานอยู่ในประเทศไทย ปตท.และบริษัทย่อยมีผลการดำเนินงานลดลงในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2552 ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ปรับตัวลดลงอย่างมาก โดยบริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่าย และค่าเช่า (EBITDAR) รวม 61,417 ล้านบาท ลดลง 25.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้สถานะทางการเงินของปตท.อ่อนแอลงเล็กน้อย เนื่องจากหนี้สินที่สูงขึ้นและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ลดลงในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2552 อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่าย และค่าเช่า 12 เดือนล่าสุด (Last-twelve-month (LTM) adjusted net debt to EBITDAR) ของบริษัทเพิ่มเป็น 1.8 เท่าในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2552 (จาก 1.0 เท่าในปี 2551) และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงาน 12 เดือนล่าสุด (LTM funds from operations adjusted net leverage) เพิ่มเป็น 2.1 เท่า (จาก 1.1 เท่าในปี 2551) การลงทุนที่สูงอย่างต่อเนื่องประกอบกับแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทที่น่าจะอ่อนตัวลงในปี 2552 ตามสภาพเศรษฐกิจน่าจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่าย (Net debt to EBITDA) ของปตท.ในปี 2552 เพิ่มขึ้นสูงกว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิตามนโยบายทางการเงินของบริษัทที่จะรักษาให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2.0 เท่าของ EBITDA อย่างไรก็ตามฟิทช์มองว่าสถานะทางการเงินและสภาพคล่องของบริษัทน่าจะยังคงแข็งแกร่งอยู่ และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิของบริษัทน่าจะปรับลดลงมาสอดคล้องกับนโยบายทางการเงินของบริษัทในปี 2553 เป็นต้นไป แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าปตท.จะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และสามารถรักษาสถานะทางการเงินให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิต ณ ปัจจุบันของบริษัทได้ตลอดช่วงวัฏจักรของธุรกิจก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน และการคาดการณ์ว่ากระทรวงการคลังจะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในปตท.ต่อไป ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของปตท.ได้แก่การเปลี่ยนแปลงในเรื่องกฎระเบียบ การเปลี่ยนสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติและการปรับค่าผ่านท่อก๊าซที่ทำให้ปตท.เสียประโยชน์ อัตราส่วนหนี้สินที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการเปลี่ยนอันดับเครดิตของประเทศ ติดต่อ เลิศชัย กอเจริญรัตนกุล +662 655 4760, Steve Durose +612 8256 0307, Vincent Milton +662 655 4759

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ