กรุงเทพฯ--13 ต.ค.--อิมเมจ อิมแพค
Asia At War ตอน Philippine Resistance: Refusal to Surrender ออกอากาศวันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2552 เวลา 21.00 น. ทางช่อง HISTORY (TrueVisions A23 และ D48)
ในวันที่ 9 เมษายน ปีค.ศ.1942 กองทัพสหรัฐฯ ยังยืนหยัดอยู่ในที่มั่นสุดท้ายต่อญี่ปุ่นผู้รุกรานในแหลม บาตานของฟิลิปปินส์ สถานการณ์ตอนนั้นสิ้นหวัง ขาดแคลนทั้งอาหารและกระสุน กองทัพสหรัฐฯ กำลังตกอยู่ในฐานะหมิ่นเหม่ต่อความพ่ายแพ้ ผู้อยู่ท่ามกลางกองกำลังตั้งรับในวันนั้นคือริชาร์ด ซาคาคิดะ ชาวญี่ปุ่น-อเมริกัน รุ่นแรกและล่ามให้กับพลเอกดักลาส แมคอาร์เธอร์ เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านั้นริชาร์ดถูกส่งมายังกรุงมะนิลาในภารกิจลับสุดยอด เขาเดินทางด้วยนามแฝงจากบ้านในฮาวายในฐานะกลาสีเรือบรรทุกทหารของกองทัพบกสหรัฐฯ มาพำนักอาศัยอยู่ท่ามกลางชุมชนชาวญี่ปุ่นในกรุงมะนิลาเพื่อคอยกำจัดสายลับจากกองทัพญี่ปุ่น
ซาคาคิดะได้งานในโรงแรมที่บริหารโดยชาวญี่ปุ่น เป็นหน้าฉากอันแนบเนียนเพื่อตรวจสอบพาสปอร์ตของบรรดาแขกชาวญี่ปุ่นที่เข้าเมืองมา แต่การโจมตีฐานทัพเพิร์ลฮาร์เบอร์ทำให้ต้องยกเลิกภารกิจนี้ รัฐบาลสหรัฐฯออกคำสั่งให้ชาวญี่ปุ่นทุกคนมารายงานตัวเพื่อกักบริเวณ ถ้าซาคาคิดะไม่ยอมตามก็ต้องเปิดเผยตัว แต่ไม่กี่วันก่อนญี่ปุ่นรุกเข้าสู่มนิลาฝ่ายอเมริกันได้ฉกตัวซาคาคิดะจากที่คุมขังในวันคริสต์มาสอีฟ ขณะที่กรุงมนิลากำลังถูกถล่มระเบิดอยู่นั้นเขาถูกจับยัดขบวนรถไฟมุ่งสู่แหลมบาตาน เพื่อมารับหน้าที่ล่ามส่วนตัวให้กับพลเอกแมคอาร์เธอร์
เขาถูกส่งออกไปลาดตระเวน ได้สอบปากคำเชลยสงครามมากมาย ซาคาคิดะทำหน้าที่ถึงในแนวหน้าเพื่อรวบรวมเอกสารและบันทึกส่วนตัวจากศพทหารญี่ปุ่นเพื่อหาข่าว แต่ในวันที่ 9เมษายน ปีค.ศ. 1942 บาตานก็ล่ม ทหารอเมริกัน 76,000 นาย และทหารชาวฟิลิปปินส์ถูกจับเป็นเชลยและถูกบังคับให้เดินแถวให้ตาย หนึ่งในจำนวนนั้นคือซาคาคิดะ ซึ่งทหารสารวัตรของกองทัพญี่ปุ่นหรือเค็มไปไตได้คาดว่าจะล้วงความลับได้มากจากซาคาคิดะ เขาถูกทารุณกรรมอย่างโหดเหี้ยมอยู่นานเป็นปี ซาคาคิดะยืนยันว่าเขาถูกกองทัพสหรัฐฯบังคับให้ทำงานให้อย่างหนักแน่น จนทำให้นายพันเอกผู้หนึ่งรับเขาเป็นล่าม ซาคาคิดะจึงพบช่องทางอันง่ายดายในการเข้าถึงเอกสารสำคัญมากมายแต่ไร้หนทางส่งความลับนี้ให้ฝ่ายอเมริกัน
แต่ในวันหนึ่งภรรยาของผู้นำฝ่ายต่อต้านชาวฟิลิปปินส์ที่ถูกขุมขัง ได้เดินเข้ามายังห้องทำงานของซาคาคิดะเพื่อขอใบอนุญาตเข้าเยี่ยม เขาจึงเผยตัวตนที่แท้จริงต่อเธอและเริ่มแผนการ ด้วยความช่วยเหลือจากฝ่ายต่อต้านชาวฟิลิปปินส์ ทั้งคู่ได้วางแผนเพื่อปลดปล่อยนักโทษกองโจรทั้ง 500 คนจากคุก ในปีค.ศ.1943 ซาคาคิดะเข้าร่วมกับฝ่ายต่อต้านรบด้วยในป่าทึบซึ่งในที่สุดก็ได้พบกับกองกำลังของสหรัฐฯ แต่มันยากสำหรับซาคาคิดะที่จะทำให้ทหารกลุ่มนี้เชื่อว่าเขาเองก็เป็นอเมริกัน จนในที่สุดต้องปรนเปรอให้ทั้งอาหารและเบียร์