กรุงเทพฯ--14 ต.ค.--พีอาร์ แอนด์ แอสโซซิเอส
ห้าสมาคมวิชาชีพที่สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจและเศรษฐกิจภาคเอกชน ส่งสัญญาณ คาดไทยเข้มแข็งฟื้นเศรษฐกิจ แต่หลายฝ่ายต้องร่วมออกแรง ขณะที่มีทั้งปัจจัยหนุนและต้านหลายส่วน
แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 เป็นการลงทุนครั้งประวัติศาสตร์ ที่เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะบ่งชี้ว่า ประเทศไทยจะเดินหน้าอย่างเข้มแข็งต่อไปในอนาคตได้หรือไม่ แผนดังกล่าวเป็นโครงการขนาดใหญ่ของประเทศ ด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินมหาศาล เกี่ยวข้องเกือบทุกภาคส่วนของประเทศ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน จนถึงระดับชุมชนรากหญ้า ที่สำคัญก็คือ เป็นที่คาดหวังว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพียงแต่ต้องมีความต่อเนื่อง โปร่งใสไม่สะดุดขาดตอน แต่ที่ผ่านมาการวางกรอบระยะยาว มักมีปัญหา อุปสรรคกลางคันมากมาย แม้จะมีหลักการที่ดี ก็ต้องการแนวทางปฏิบัติที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันด้วย
5 นายกสมาคมวิชาชีพธุรกิจ อันประกอบด้วยนางสาววิริยา วรกิตติคุณ นายกสมาคมวิจัยการตลาดแห่งประเทศไทย นายสมบุญ ประสิทธิ์จูตระกูล นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ดร.พจน์ ใจชาญสุขกิจ นายกสมาคมนักประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย นายวิทวัส ชัยปาณี นายกสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย และพญ.นลินี ไพบูลย์ นายกสมาคมการขายตรงไทย สะท้อนความคิดเห็นต่อโครงการไทยเข้มแข็งอย่างน่าสนใจ
5 สมาคมวิชาชีพ เห็นพ้องต้องกันว่า แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555
เป็นโครงการที่มีแนวคิดที่ดี มีความกล้าที่จะทำให้เกิดหลายสิ่งหลายอย่าง น่าจะสร้างปัจจัยสำคัญเข้าไปช่วยสภาวะเศรษฐกิจได้จริงโดยเฉพาะในระยะสั้นขณะที่ระยะยาวต้องรอดูผลงานความต่อเนื่อง
กระตุ้นตลาดให้คึกคัก กระตุ้นผู้บริโภคให้ตื่นตัว สภาพคล่องหมุนเวีัยน
ครีเอทีฟ อีโคโนมี ต้องสร้างการแข่งขัน เน้นสร้างมูลค่าเพิ่ม
ทุกภาคส่วนต้องเข้าไปเป็นเจ้าของโครงการร่วม ไม่ใช่มีบทบาทเพียงแค่คนดู หรือให้แต่ข้อคิดเห็นอยู่ด้านนอก
สื่อสารเป็น ชัดเจนด้วยเรื่องราว และตอบโจทย์ให้ประชาชนรู้ ต้องรายงานข้อมูลตลอดเวลา วัดผลได้
ต้องระมัดระวังในการใช้จ่ายเงินงบประมาณดังกล่าวด้วยความโปร่งใส ชัดเจน
ยันไทยเข้มแข็งดันเศรษฐกิจไทย
ในขณะที่สถานการณ์ในอนาคตมีความไม่แน่นอนสูง เพราะขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกประกอบกับความไม่แน่นอนทางทางการเมืองในประเทศ ดังนั้น รัฐบาลในฐานะที่ผู้ขับเคลื่อนจำเป็นต้องประเมินความเสี่ยง และหาแนวทางกับการรับมือจากปัจจัยสำคัญที่ไม่อาจควบคุมได้ มิฉะนั้นการเดินหน้าของโครงการและผลกระทบจะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้นเท่านั้น
นางสาววิริยา วรกิตติคุณ นายกสมาคมวิจัยการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ถ้าเศรษฐกิจมีการพื้นตัวได้เร็วมากขึ้นจะส่งผลดีต่อการประกอบธุรกิจของกิจการ เนื่องจากในปัจจุบันบริษัทต่างๆ ก็ชะลอการลงทุน เพื่อรอดูสถานการณ์หรือป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับกิจการ ดังนั้น ถ้าเศรษฐกิจมีการ ฟื้นตัวและส่งผลให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจที่จะนำเงินมาลงทุน ก็จะช่วยกระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมเกิดการลงทุนมากขึ้น ก่อให้เกิดการสร้างรายได้ขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดการหมุนเวียนของแหล่งเงินทุนมากขึ้น”
ดร.พจน์ ใจชาญสุขกิจ นายกสมาคมนักประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ได้ให้ทัศนะว่า “การกระจายของเม็ดเงินในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา ด้วยแผนการกระจายผ่านโครงการทั้งจากการสนับสนุนด้านแหล่งทุนทั้งจากภาครัฐ สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ด้วยการขยาย ต่อยอดตั้งแต่เศรษฐกิจในระดับมหภาค ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ SME จนถึงระดับชุมชน ในมุมของผู้ประกอบการ นับเป็นโอกาสที่สำคัญอีกช่วงหนึ่ง ขณะที่ผู้ประกอบการจะต้องมีการปรับตัวและจัดทรัพยากรในองค์กรให้เหมาะสม สำหรับธุรกิจทางด้านประชาสัมพันธ์มีความเกี่ยวโยงต่อสภาพทางเศรษฐกิจสูง ด้วยการสร้างบรรยากาศ ความเชื่อมั่น กระตุ้นการบริโภค การลงทุน ที่ส่งผลต่อตลาดในภาพรวม และการสื่อความเนื้อหาต่างๆ ไปยังประชาชนที่ปัจจุบันมีการปรับตัวทั้งรูปแบบการทำงาน วิธีการ ช่องทางสื่อสารที่คลอบคลุมและหลากหลายมากยิ่งขึ้น ที่ผ่านมาทั้งภาครัฐและเอกชนต่างชะลอในการใช้งบประมาณ ทั้งรอความชัดเจนและปัจจัยทางการเมือง”
พญ.นลินี ไพบูลย์ นายกสมาคมการขายตรงไทย ถึงแม้ยังมองไม่เห็นภาพชัดเจนในรูปธรรมของภาคปฏิบัติ หากกระตุ้นกำลังซื้อได้จริง สมาคมการขายตรงไทย ในฐานะผู้การจายสินค้าในกลุ่มอุปโภคบริโภคก็คงได้รับผลดีจากความมีชีวิตชีวา กำลังใจ และกำลังซื้อของผู้บริโภค แต่หากเม็ดเงินไปอยู่ผิดที่ผิดทาง ไม่โปร่งใส หรือไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ดังที่หวังก็คงทำให้กำลังซื้อลดไปอีก
การอัดฉีดงบประมาณจากรัฐบาลเข้าระบบเศรษฐกิจย่อมเป็นสิ่งดีต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอยู่แล้ว การดำเนินการตามแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ จะเป็นความหวังที่จะช่วยให้เศรษฐกิจของไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ผลจากการกระตุ้นเศรษฐกิจจะส่งผลให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆได้ในระยะยาวที่รัฐบาลมั่นใจว่าได้เดินมาถูกทางแล้ว การจ้างงานเป็นสัญญาณที่ดี การลงทุนระหว่างปี 2552-2555 คาดว่าจะช่วยสร้างงานเพิ่มขึ้นได้กว่า 1.6-2 ล้านคน ก่อให้เกิดการบริโภค หากเป็นไปได้จริง ย่อมช่วย ให้ธุรกิจทั้งภาคส่วนหมุนได้ทั้งระบบ
กระตุ้นตลาดให้คึกคัก ผู้บริโภคตื่นตัว สภาพคล่องหมุนเวีัยน
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้นตัวและพุ่งขึ้นตลอด 4 เดือน (มิ.ย.-ก.ย.) ที่ผ่านมา รวมทั้งตั้งแต่ไตรมาส 4 เป็นต้นมา ได้มีแคมเปญทางการสื่อสารและการตลาด กิจกรรมทั้งด้านธุรกิจและสังคมที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับภาพรวมของหลายอุตสาหกรรมที่เป็นการบริโภคในประเทศที่มีแนวโน้มสูงขึ้น เพียงแต่ต้องเพิ่มกำลังซื้อ และการตลาดจากภายนอกประเทศด้วย โดยเฉพาะด้านธุรกิจบริการ การท่องเที่ยว สินค้าทางการเกษตร การส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ
ประชาชนผู้บริโภค และผู้ประกอบการได้ประโยชน์จากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งอย่างถ้วนหน้าทั้งระบบ นายสมบุญ ประสิทธิ์จูตระกูล นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย มั่นใจว่า “มาตรการนี้ได้กระตุ้นให้กลไกทางตลาดได้เกิดการตื่นตัวมากกว่าครึ่งปีที่ผ่านมา ขับเคลื่อนให้มีแรงซื้อมากขึ้น เกิดการจับจ่ายใช้สอย ตั้งแต่ระดับรากหญ้าจนถึงระดับประเทศ เกิดการหมุนเวียนสภาพคล่องในระบบธุรกิจ นอกจากนี้ รัฐบาลต้องเร่งสร้างโอกาสนั่นคือการส่งเสริม สนับสนุน กำกับดูแล สร้างบรรยากาศให้ผู้ประกอบการมีความเข้มแข็ง สร้างโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเข้ามารองรับ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ชุมชนและสังคม ให้เกิดแรงขับเคลื่อนที่เป็นระบบในทางเดียวกัน”
ขณะเดียวกันสิ่งที่ควรระวังก็คือ โลกในขณะนี้ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งด้านเทคโนโลยี แหล่งทุน กฎกติกา นโบายต่างๆ รวมถึงพฤติกรรมการบริโภค ที่จะส่งผลให้การดำเนินงานมีความยุ่งยากและซับซ้อน ปัจจัยด้านการเมืองและธุรกิจที่มาจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อแผนปฏิบัติการดังกล่าวทั้งในระยะสั้นและระยะยาว นับเป็นความเสี่ยงสิ่งที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญด้วย
ครีเอทีฟ อีโคโนมี ต้องสร้างการแข่งขัน เน้นสร้างมูลค่าเพิ่ม
“โครงการสาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมภูิมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อเพิ่มศักยภาพของการแข่งขัน ท่ามการเปลี่ยนแปลงและวิกฤติที่เกิดขึ้นรอบด้านนั้น ผู้ประกอบการทั้งขนาดใหญ่และเอสเอ็มอีของไทย ต้องเลือกวางตำแหน่งหรือโพซิชั่นของธุรกิจและทางตลาดให้ถูกต้อง สร้างแบรนด์เฉพาะตนเพื่อการแข่งกับตลาดโลก และต้องใช้ประโยชน์ให้มากจากโครงการครีเอทีฟ อีโคโนมี ที่รัฐบาลผลักดันอย่างเต็มที่ ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะจะสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ และสร้างเครือข่ายที่สำคัญในการส่งเสริมให้คนไทยทั้งประเทศได้เรียนรู้ที่จะสร้างสรรค์ผลงานและจดเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของตนเองและลูกหลาน” นายสมบุญ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ให้ข้อคิดเพิ่มเติม
นายวิทวัส ชัยปาณี นายกสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย อธิบายถึงผลในเชิงบวกต่อภาคเอกชน ว่า “ในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจโฆษณา อุตสาหกรรมนี้คงได้รายได้การโฆษณา บางโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทางด้านรายได้โดยตรงต่อสมาชิกของสมาคมฯ นอกจากนี้ในโครงการที่มีผลระยะยาว เช่นในส่วนของ Creative Economy ทุกคนคงมีความคาดหวังว่ารัฐบาลจะมีงบประมาณมาสนับสนุนวงการโฆษณาไทยโดยตรง เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรในวงการ ประโยชน์โดยตรงจากการจ้างงานจำนวนมากทันที ทั้งโครงการลงทุนขนาดกลาง/เล็ก/ใหญ่ ประโยชน์ในแง่ความสะดวกสบาย และคุณภาพชีวิต เมื่อโครงการต่างๆ แล้วเสร็จ ทั้งด้านคมนาคม ชลประทาน และสุขอนามัยประโยชน์ในแง่ความรู้และเพิ่มพูนศักยภาพในการแข่งขันกับตลาดต่างประเทศจาก Creative Economy”
นายวิทวัส กล่าวเสริมว่า “ทั้งห้าสมาคม ยินดีที่จะเข้าไปร่วมระดมสมองในส่วนที่เราเชี่ยวชาญ และเป็นวิชาชีพของพวกเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วน Creative Economy ที่จะช่วยผลักดันให้เกิดพลัง “ความคิดสร้างสรรค์” ในหมู่คนไทยมากขึ้น อย่างที่เห็นจากวงการโฆษณาไทย เป็นผู้ที่ทำเรื่องนี้สำเร็จเป็นตัวอย่างแล้ว จนได้รับยกย่องจากทั่วโลก”
เน้นเดินหน้าได้ ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือ ภาครัฐ ภาคเอกชนไม่คัดค้านกันเอง
นางสาววิริยา วรกิตติคุณ นายกสมาคมวิจัยการตลาดแห่งประเทศไทย ย้ำว่า “ทุกคนควรเข้าไปมีส่วนร่วมในโครงการ “แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555” ซึ่งเป็นการลงทุนครั้งประวัติศาสตร์นี้ การให้เราให้ความสนใจติดตามโครงการ พูดถึง ถกเถียง แสดงความคิดเห็น ถือเป็นการสร้างเครือข่ายการตรวจสอบที่ยอดเยี่ยมจากภาคประชาชน ถือเป็นการร่วมวิจัย เพราะสิ่งถกเถียงสามารถจะนำมากำกับให้โครงการที่ใช้เงินจำนวนมากนี้ ดำเนินไปอย่างระมััดระวังขึ้น กระตุ้นผู้ดำเนินโครงการให้คำนึงถึงผลลัพธ์มากกว่าแค่การประกาศอย่างฉาบฉวย และที่สำคัญคือการสร้างความโปร่งใสให้กับสังคมโดยรวม”
“การสำรวจความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เป็นการดึงให้กลุ่มนั้นๆ เข้ามาเป็นผู้เล่นไปในตัวด้วย ไม่ใช่มีบทบาทแค่คนดูเท่านั้น การศึกษาวิจัยจะต้องทำอย่างเป็นระบบ มีหลักเกณฑ์ชัดเจน เพื่อนำมาเป็นตัวตรวจสอบและชี้วัดความสำเร็จของโครงการ ยินดีที่ได้ยินว่า ภาครัฐมีการแต่งตั้งให้กลุ่มบุคคลภายนอกมาทำหน้าที่ผู้ตรวจสอบตลอดโครงการ การติดตามโครงการอย่างใกล้ชิด รวมถึงมีการประเมินแต่ละโครงการย่อยๆ ว่าเป็นไปตามเจตนารมย์ที่กำหนดไว้หรือไม่ เป็นสิ่งจำเป็นมาก สมาคมวิจัยการตลาดแห่งประเทศไทยสามารถเข้าร่วมเป็นกลไกส่วนหนึ่งในการประเมินติดตามโครงการว่าเป็นไปตามแผนงานหรือไม่ ซึ่งสมาคมวิจัยฯจะมีเครื่องมือทางการวิจัยในการตรวจประเมินได้ชัดเจน”
สื่อสารเป็น ชัดเจนด้วยเรื่องราว และตอบโจทย์ให้ประชาชนรู้
ดร.พจน์ กูรูด้านการสื่อสาร ให้ข้อเตือนเพิ่มเติมว่า รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับการสื่อสารและทำความเข้าใจกับการประชาสัมพันธ์ในทิศทางที่ถูกต้องมากขึ้น มีการจัดงบประมาณ ใช้วิธีการประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสมและคุ้มค่า ด้วยการสร้างเครือข่าย มีการต่อยอด ที่ผ่านมาทิศทางสื่อสารของแผนปฏิบัติการจะเน้นเรื่องการสร้างความรับรู้ ความเข้าใจ ให้รายละเอียด การจัดกิจกรรมเปิดตัว การมีสื่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ผ่านช่องทางสื่อหลายแขนง ทั้งที่ในภาพรวมของแผน และจากหน่วยงานเจ้าของเรื่องที่ได้อธิบายผ่านสื่อมวลชนและสื่อสาธารณะ จำเป็นต้องมีศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลที่เป็นทั้งการใช้ข้อมูล รับข้อมูล ช่องทางการตรวจสอบ สนองตอบได้ทั้งในระดับประเทศสู่นานาชาติ เครือข่ายองค์กรธุรกิจ ภาคสังคมจนถึงชุมชน ด้วยระบบการสื่อสารเชิงรุกที่รวดเร็วและเข้มข้นขึ้น
ในส่วนแรกทำไปแล้วได้ดี เช่น การมี Website www.TKK2555.com เพื่อเป็นการบอกถึงระยะ พัฒนาการ การเบิกจ่ายงบประมาณ ความคืบหน้าของโครงการต่างๆ แต่ควรเพิ่มช่องทางการรับและแลกข้อมูลกับประชาชนให้มากขึ้น การรายงานอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ การชี้แจงด้วยการอธิบายแทนการตอบโต้สำหรับความเห็นต่าง การสร้างระบบของการรายงานข้อมูลที่มีทิศทางที่ชัดเจน โดยใช้ระบบของการจัดการสื่อสารผ่านเครื่องมือทางการสื่อสารที่มีอยู่อย่างมากมาย
สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของการสื่อสารของการสื่อสารนอกเหนือจากการสร้างความเข้าใจและการรับรู้ก็คือ การสื่อสารแบบสองทาง กระตุ้นให้มีการตอบกลับ แผนการสื่อสารแบบเน้นการเข้าถึง มีส่วนร่วมมากกว่าการโฆษณาชวนเชื่อ เนื้อหาที่แสดงออกมามีความเกี่ยวข้อง ใช้แผนงานการจัดการสื่อสารที่ชัดเจน ตรงเป้า มีเอกภาพ
จุดอ่อนเงินก้อนใหญ่ เรื่องโปร่งใสสำคัญที่สุด และพิสูจน์ได้
ใช้จ่ายเงินงบประมาณต้องโปร่งใส ชัดเจน คือ สิ่งเร่งด่วนที่รัฐบาลควรจะทำในขณะนี้ เกี่ยวกับแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง คือความมุ่งมั่นที่เดินหน้าอย่างระมัดระวัง และป้องกันปัญหาการคอร์รัปชั่น โดยมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการใช้เงินงบประมาณดังกล่าว และนำเสนอผลลัพธ์ของการใช้เงินงบประมาณสู่สาธารณชน การปฏิบัติการที่รวดเร็ว ต้องควบคู่ไปกับการให้รายละเอียดและข้อมูลที่เป็นจริงเป็นระยะให้ทราบความเคลื่อนไหวทุกขั้นตอน ต้องแสดงความจริงใจให้กับภาคประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง
จากการตื่นตัวอย่างไม่เคยมีมาของทุกภาคส่วนต่อการก้าวไปของโครงการต่างๆ ภายใต้แผนปฏิบัิิิติการไทยเข้มแข็ง โดยเฉพาะเรื่องการตรวจสอบการใช้งบประมาณเพื่อต้องการเห็นความโปร่งใสก่อนที่เิริ่มใช้เม็ดเงิน ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ดีต่อพฤติกรรมของคนไทยที่มักจะอยู่นิ่งๆ รอให้เกิดเรื่องก่อนแล้วค่อยทักท้วงหรือโวยวาย สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้จะเป็นฐานสำคัญของการสร้้างความน่าเชื่อถือให้กับประเทศไทยในระยะยาว
พญ.นลินี ไพบูลย์ นายกสมาคมขายตรงไทย กล่าวปิดท้ายว่า โครงการเหล่านี้ใช้งบประมาณสูงมากจริงๆ จนผลที่กลับมาจะคุ้มค่าหรือไม่ยังเป็นประเด็นที่ต้องขบคิด และสิ่งที่อาจเกิดคำถามในใจของทุกคนก็คือเรื่องความโปร่งใสที่พิสูจน์ได้ จะพิสูจน์อย่างไร หากต้องพิสูจน์ย้อนหลังก็คงสายเกินไป บางทีต้องหาวิธีคิดที่จะสร้างประสิทธิผลโดยใช้เงินลงทุนไม่มากบ้างก็ดี มีหลายวิธีที่จะช่วยผู้ประกอบการ และส่งผลให้มีการสร้างงาน สร้างอาชีพได้โดยไม่ต้องใช้เงิน การใช้เงินมากๆ กระจายเป็นร้อยโครงการมีความเสี่ยงสูง เป็นห่วงที่สุดก็คือฝีมือของรัฐบาลในการติดตามงานให้บรรลุวัตถุประสงค์
กล่าวโดยรวมโครงการนี้มีแนวคิดที่ดี ซึ่งหากกระบวนการดำเนินงานของโครงการต่างๆ สัมฤทธิ์ผลตามจุดมุ่งหมายก็จะทำให้เครื่องยนต์ทั้งสี่เครื่อง ได้แก่ การใช้จ่ายของภาครัฐ การใช้จ่ายของภาคประชาชน การท่องเที่ยว และการส่งออก สามารถตื่นตัวและกลับมาทำงานได้ปกติ อันจะส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นจากผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และทำให้ประเทศไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ภาครัฐต้องผลักดันให้กระบวนการของโครงการต่างๆ เป็นรูปธรรม มีการประชาสัมพันธ์ให้มีความเข้าใจเพื่อความร่วมมือร่วมกันทั้งจากภาครัฐและเอกชน และต้องสามารถตรวจสอบ มีความโปร่งใสด้วย
เรียกว่า คราวนี้รัฐบาลงานเข้าแน่นอน เพราะมีกลุ่มต่างๆ แสดงการตรวจสอบในทุกมุมอย่างละเอียดเข้าไปในทุกเรื่องที่อาจจะก่อให้เกิดการทุจริต แต่ในขั้นตอนถัดไป จะทำอย่างไรให้ผู้เล่นเหล่านี้ แทนที่จะยืนเชียร์หรือตะโกนอยู่นอกบ้านเท่่านั้น ให้ผู้ทักท้วงกระโดดเข้าเป็นหน่วยหนึ่งของวงในช่วยผลักดันและขับเคลื่อนโครงการเหล่านี้ให้มีผลที่ดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
สุมาลี ติณวัฒน์
โทรศัพท์ 0-2651 8989 ต่อ 336
โทรสาร 0-2651 9649-50