กรุงเทพฯ--20 ต.ค.--คอมมูนิเคชั่น แอนด์ มอร์
กุมารแพทย์โรคระบบทางเดินหายใจ เตือนพ่อแม่เตรียมพร้อมรับมือโรคปอดบวมที่มีแนวโน้มระบาดหนักในช่วงปลายฝนต้นหนาวนี้ ย้ำต้องระวังการติดเชื้อซ้ำเติมจากไข้หวัดใหญ่ อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้นจนเสียชีวิตได้ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที โดยเฉพาะเชื้อที่เป็นสาเหตุสำคัญแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ เช่น เชื้อนิวโมคอคคัสชนิดรุนแรง นอกจากจะทำให้เกิดโรคปอดบวมในเด็กแล้วยังเป็นสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และโรคติดเชื้อในกระแสเลือดและหูอักเสบได้ แนะนำทำร่างกายลูกน้อยให้อบอุ่นอยู่เสมอจะช่วยป้องกันการเกิดไข้หวัดเบื้องต้นได้
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าโรคปอดบวมเป็นสาเหตุการตายของเด็กทั่วโลกกว่าปีละ 2 ล้านคน หรือทุกๆ 15 วินาทีจะมีเด็กตาย 1 คน ซึ่งมากกว่าโรคเอดส์ โรคท้องร่วงรุนแรง โรคหัด และโรคมาลาเรีย ดังนั้นองค์กรพันธมิตรวันปอดบวมโลก (World Pneumonia Day Coalition) ที่เกิดจากการร่วมมือกันขององค์กรสุขภาพชั้นนำทั่วโลกกว่า 50 องค์กร จึงกำหนดให้วันที่ 2 พฤศจิกายน 2552 เป็น “วันปอดบวมโลก” ครั้งแรก เพื่อกระตุ้นให้ทุกคนร่วมมือกันลดอุบัติการณ์การเสียชีวิตจากโรคปอดบวม ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขเองก็ได้ออกประกาศเตือนประชาชนให้ระวังโรคปอดบวมในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง พร้อมเน้นย้ำให้โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด เพิ่มการเฝ้าระวังโรคปอดบวมเป็นพิเศษ เนื่องจากโรคนี้เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตของเด็กดังกล่าวข้างต้น
ศ.เกียรติคุณ นพ.ธีรชัย ฉันทโรจน์ศิริ ประธานชมรมโรคระบบหายใจและเวชบำบัดวิกฤตในเด็ก แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าจากที่องค์กรสุขภาพระดับโลก และระดับประเทศได้ให้ความสำคัญ และได้ออกประกาศเตือนประชาชนเกี่ยวกับโรคปอดบวมระบาดในช่วงปลายฝนต้นหนาวจนถึงฤดูหนาวนี้ เพราะเป็นฤดูที่โรคระบบทางเดินหายใจระบาดหนัก เนื่องจากอากาศชื้นจะเอื้ออำนวยให้เชื้อโรคต่างๆ มีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น โดยเฉพาะโรคปอดบวม ซึ่งเป็นโรคที่เด็กเล็กเป็นกันมาก ที่สำคัญพบว่าโรคปอดบวมเป็นโรคแทรกซ้อนที่สำคัญ จากเด็กที่ได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่ซึ่งจะส่งผลให้อาการทวีความรุนแรงมากขึ้นหลายเท่า จนอาจจะทำให้เสียชีวิตได้ โดยทั่วไปโรคปอดบวมส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส หรือเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัสชนิดรุนแรง (โรคไอพีดี) โดยที่เชื้อ นิวโมคอคคัส หรือ สเตรปโตคอคคัส นิวโมเนียอี นอกจากจะก่อให้เกิดปอดบวมรุนแรง หรือปอดอักเสบแล้ว ยังมีคุณสมบัติที่สามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ที่ทำให้เกิดโรคติดเชื้อรุนแรง เช่นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคติดเชื้อในกระแสเลือดและหูอักเสบ เป็นต้น และถ้าเกิดกับเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ขวบ หรือในเด็กเล็กที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องก็จะมีอาการรุนแรงมากขึ้นได้
โดยทั่วไปเชื้อนิวโมคอคคัส สามารถพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอของคนทั่วไป โดยเฉพาะในเด็กเล็กจะมีความชุกของเชื้อในโพรงจมูกสูงกว่าในผู้ใหญ่ และสามารถแพร่กระจายสู่คนอื่นโดยผ่านละอองฝอยของน้ำมูก หรือเสมหะ เวลาไอจาม หรือฝ่ามือที่สัมผัสกับสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายฝนต้นหนาว หรือหน้าหนาว ซึ่งอากาศเย็นทำให้เชื้อสามารถแพร่กระจายในอากาศได้ดี ในที่ๆ เด็กอยู่รวมกันหนาแน่น เช่นในสถานเลี้ยงเด็กกลางวัน (Day Care) เด็กที่อยู่ในชุมชนแออัด เด็กที่เป็นโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคปอด โรคเบาหวาน และโรคเลือดซิกเคิลเซลล์ และในกลุ่มเด็กที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น ผู้ที่ตัดม้ามออก หรือม้ามทำงานไม่ปกติ ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ก็จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น เป็นต้น
ในกรณีเด็กเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคปอดบวมนั้น พ่อแม่ควรเฝ้าระวังและป้องกันอย่างใกล้ชิด ด้วยการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและดูแลสุขภาพของลูกให้แข็งแรง หากลูกไม่สบายต้องสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เพราะเด็กเล็กยังไม่สามารถบอกกล่าวอาการเจ็บป่วยได้ด้วยตนเอง และบางครั้งมีโอกาสมีปอดบวมแทรกซ้อนได้ อาการสำคัญที่ต้องสังเกตคือ ไข้ ไอมาก หายใจเร็วกว่าปกติ หอบ หรือหายใจลำบากจนซี่โครงบุ๋ม ซึ่งอาการดังกล่าวเป็นสัญญาณเตือนว่าลูกอาจเป็นปอดบวม ควรรีบพาไปพบแพทย์
นอกจากนี้ยังสามารถป้องกันได้ง่ายๆ โดย ทำร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ ล้างมือบ่อยๆ ปิดปาก ปิดจมูกทุกครั้งที่ไอจาม และที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับทารก เช่น เด็กเล็กควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพื่อให้มีภูมิต้านทานจากแม่ส่งผ่านไปลูกทางน้ำนม นอกจากนี้ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคต่างๆหลายชนิด รวมถึงวัคซีนป้องกันโรคไอพีดี ซึ่งเป็นอีกวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรคติดเชื้อทางระบบหายใจ ซึ่งเด็กๆ ในหลายประเทศได้รับการฉีดแล้ว ส่วนในประเทศไทยพ่อแม่และผู้ปกครองอาจต้องปรึกษากุมารแพทย์เพื่อพิจารณาถึงความจำเป็นในการให้วัคซีนดังกล่าวแก่ลูกหลาน” ศ.เกียรติคุณ นพ.ธีรชัย ฉันทโรจน์ศิริ กล่าวทิ้งท้าย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
บุษบา / พิธิมา
โทร. 0-2718-3800 ต่อ 133 / 138