กรุงเทพฯ--21 ต.ค.--พม.
พม. จับมือภาคีเครือข่าย จัดงานวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ และวันอาสาสมัครไทย ประจำปี 2552 เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จย่า พร้อมสนับสนุนสังคมไทยก้าวสู่ยุคปฏิรูปสวัสดิการสังคม
นายอิสสระ สมชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานเปิดงานวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ และวันอาสาสมัครไทย ประจำปี 2552 พร้อมมอบประกาศเกียรติคุณอาสาสมัครดีเด่นแห่งชาติ โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และชุมชนจัดขึ้น เพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณและพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ด้านสวัสดิการสังคม สังคมสงเคราะห์ และการพัฒนาสังคม ด้วยความวิริยะอุตสาหะ เสียสละ รวมทั้งเพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานด้านสวัสดิการสังคม สังคมสงเคราะห์ และการพัฒนาสังคม ตลอดจนอาสาสมัครได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อพัฒนาการดำเนินงานการป้องกันแก้ไขปัญหาและพัฒนาสังคม
นายอิสสระ สมชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า สถานการณ์ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยได้ส่งผลกระทบต่อสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน ที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งรัดการดำเนินงานด้านสวัสดิการในหลายเรื่อง อาทิ เรื่องการศึกษาขั้นพื้นฐานฟรี 15 ปี ครอบคลุมเด็ก 12 ล้านคน การจ่ายเบี้ยยังชีพให้ผู้สูงอายุทุกคนที่ลงทะเบียน จำนวน 3.5 ล้านคน การจ่ายค่าจัดการศพให้แก่ผู้สูงอายุ มีแผนที่จะจ่ายเบี้ยความพิการให้แก่คนพิการทุกคนที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ การเพิ่มรายจ่ายต่อหัวให้แก่ประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพ 2,400 บาทต่อคนต่อปี การจ่ายค่าตอบแทนรายเดือนให้แก่ อสม. 600 บาทต่อเดือน และการพิจารณาแนวทางการสมทบกองทุนสวัสดิการชุมชนซึ่งภาคประชาชนได้เริ่มทำมาก่อนแล้วโดยเสนอให้รัฐบาลให้การสนับสนุนในรูปแบบเงินสมทบจากรัฐบาลกลางและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้กองทุนมีหลักประกันในการดูแลสวัสดิการของสมาชิก ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้ขอแปรญัตติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 เพื่อสมทบกองทุนสวัสดิการชุมชน จำนวน 727.3 ล้านบาท เป็นต้น
นายอิสสระ กล่าวต่อว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2552 รับทราบเรื่องการกระจายรายได้ด้วยการสร้างสังคมสวัสดิการ โดยกำหนดให้การสร้างสังคมสวัสดิการเป็นวาระแห่งชาติ รวมทั้งการสร้างสังคมสวัสดิการจากภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคมใน 3 รูปแบบ คือ การจัดสวัสดิการโดยรัฐ การจัดสวัสดิการโดยภาคธุรกิจ และการจัดสวัสดิการโดยชุมชน ตามที่กระทรวงและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันนำเสนอ นอกจากนี้ จากการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2552 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้มีการปฏิรูประบบสวัสดิการสังคมไทย โดยมุ่งการสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมสวัสดิการ การพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมไทยเพื่อตอบสนองการเป็นสังคมสวัสดิการ และการสร้างหลักประกันทางสังคมให้แก่ประชาชนและการเป็นรัฐสวัสดิการในอนาคต 4 เรื่องหลัก ได้แก่ การพัฒนาระบบบริการทางสังคม การพัฒนาระบบการประกันสังคม การพัฒนาระบบการช่วยเหลือทางสังคม และการพัฒนาระบบกาส่งเสริมสนับสนุน รวมทั้งให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านการจัดสวัสดิการโดยรัฐและการลงทุนเพื่อส่งเสริมให้องค์การเอกชน องค์กรชุมชน องค์กรธุรกิจ อาสาสมัคร และประชาชนทั่วไปได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการสังคมได้อย่างเต็มที่ ซึ่งกระทรวงฯ ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ จะได้เร่งดำเนินการรวบรวมข้อมูลเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
“การปฏิรูประบบสวัสดิการสังคมไทยจะเป็นการสร้างหลักประกันในการดำรงชีวิตของคนไทย เป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในงานสวัสดิการสังคม ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สอง นำมาซึ่งการลดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจน ก่อให้เกิดสวัสดิภาพและสร้างความผาสุกให้แก่ประชาชนได้เป็นอย่างดี และจะทำให้งานสวัสดิการสังคมของประเทศไทยก้าวทันประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค กระทรวง พร้อมให้ความร่วมมือ ส่งเสริม สนับสนุนการดำเนินงานของภาคส่วนต่างๆ ผ่านทางกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ กองทุนคุ้มครองเด็ก กองทุนผู้สูงอายุ กองทุนป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และกองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม เป็นต้น เพื่อนำสังคมไทยก้าวสู่ ยุคของการปฏิรูประบบสวัสดิการสังคมไทย ที่ก่อให้เกิดการสร้างหลักประกันในการดำรงชีวิตที่ดีของประชาชนตลอดไป” นายอิสสระ กล่าว