กรุงเทพฯ--22 ต.ค.--ก.ล.ต.
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า “ตั้งแต่ปรากฏข่าวลือในวันที่ 14 ตุลาคม 2552 ซึ่งเป็นผลให้ดัชนีหลักทรัพย์ลดลงอย่างรุนแรงในระหว่างวันที่ 14 และ 15 ตุลาคม 2552 ก.ล.ต. มิได้ นิ่งนอนใจ ได้มีการตรวจสอบและติดตามภาวการณ์ซื้อขายหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนของการแพร่ข่าวลือ ก.ล.ต. ได้ประสานงานในทันทีกับผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสันติบาล
เพื่อตรวจสอบหาต้นตอของข่าวลือ
สำหรับในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดปกติในการซื้อขายหลักทรัพย์ ก.ล.ต. ได้ตรวจสอบข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์ที่อาจได้ประโยชน์จากการปล่อยข่าวลือ โดยพิจารณาจากข้อมูลนักลงทุนรายใหญ่ รวมทั้งที่มีการส่งคำสั่งจากต่างประเทศที่มีปริมาณการซื้อขายหุ้นมาก รวมถึงข้อมูลการขาย short และการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในทิศทางที่จะได้ประโยชน์ในช่วงเวลาดังกล่าว ผลจากการตรวจสอบเบื้องต้น
พบบัญชีของนักลงทุนไทยรายใหญ่และบัญชีของนักลงทุนต่างประเทศบางรายที่อาจได้ประโยชน์จากการปล่อยข่าวดังกล่าว ซึ่งเป็นบัญชีที่มีการขาย short จำนวนมากอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นส่วนใหญ่ และได้มีการซื้อสุทธิในช่วงที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงจากช่วงก่อนหน้า จึงมีประเด็นสงสัยว่าพฤติกรรมการซื้อขายในบัญชีดังกล่าวจะได้ประโยชน์จากข่าวลือ
ซึ่ง ก.ล.ต. จะได้ทำการตรวจสอบในเชิงลึกตามขั้นตอนต่อไป สำหรับในส่วนของนักลงทุนต่างประเทศ ก.ล.ต. จะต้องดำเนินการขอข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากบริษัทหลักทรัพย์ไทย รวมทั้งขอความร่วมมือจากหน่วยงานกำกับดูแลและบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศเพื่อขอข้อมูลเพื่อประกอบการตรวจสอบในเชิงลึกด้วย
ทั้งนี้ หากปรากฏข้อเท็จจริงว่า บัญชีเหล่านั้นมีความเชื่อมโยงกับผู้ปล่อยข่าว ก็อาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 240 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ที่กำหนดห้ามมิให้ผู้ใดแพร่ข่าวอันเป็นความเท็จให้เลื่องลือจนอาจทำให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าหลักทรัพย์ใดจะมีราคาสูงขึ้นหรือลดลง และโดยที่การตรวจสอบหาต้นตอการปล่อยข่าวจำเป็นต้องตรวจสอบในเชิงลึก ประกอบกับความผิดตามมาตรา 240 เป็นความผิดท้ายบัญชีตาม พ.ร.บ. สอบสวนคดีพิเศษด้วย ก.ล.ต. จึงได้ส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการสืบเสาะหาผู้แพร่ข่าวลือ ก.ล.ต. ได้ร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับกองบัญชาการตำรวจสันติบาล ซึ่งมีเครือข่ายในการประสานข้อมูลกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและกระทรวงการต่างประเทศด้วย เพื่อตรวจสอบหาข้อมูล
ในเชิงลึกขนานไปด้วย”