กรุงเทพฯ--27 ต.ค.--บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย
บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ยกระดับและสร้างภาพลักษณ์ใหม่เพื่อการสร้างแบรนด์ด้วยการนำกลยุทธ์เอนเตอร์เทนเม้นท์ มาร์เก็ตติ้ง (Entertainment Marketing) มาใช้อย่างเต็มรูปแบบเพื่อตอกย้ำแนวคิดในการเป็นผู้นำในธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนอย่างครบวงจร นับเป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรมบริษัทหลักทรัพย์ที่นำกลยุทธ์มูฟวี่มาร์เก็ตติ้ง (Movie Marketing) มาสร้างสีสันเชิงการตลาดโดยเล่นกับไลฟ์สไตล์ของนักลงทุน ผนึกพันธมิตรค่ายหนังยักษ์จัดกิจกรรมสุดยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์ 5 เรื่องส่งท้ายปี ‘52
นายประสงค์ รุ่งสมัยทอง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานกลยุทธ์องค์กร บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KS เปิดเผยว่า “ตั้งแต่ต้นปี’52ที่ผ่านมาบริษัทฯได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการบริษัทหลักทรัพย์ โดยผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจด้วยการชูกลยุทธ์เอนเตอร์เทนเม้นท์ มาร์เก็ตติ้ง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของวงการฯที่มีการใช้กลยุทธ์นี้อย่างจริงจังและครบวงจรอย่างที่สุด โดยเริ่มด้วยการทำมูฟวี่มาร์เก็ตติ้งเพื่อเป็นการสร้างสีสัน(Marketing Gimmick), กระตุ้นการซื้อขายหลักทรัพย์(Sales Promotion), กิจกรรมพิเศษเพื่อคืนกำไรให้กับลูกค้า(Retention Program) หรือแม้แต่การสร้างลูกค้าใหม่(Acquisition Campaign) เริ่มจากภาพยนตร์เรื่อง X-MEN ORINGNS : WOLVERINE เป็นโครงการแรกและได้รับความสำเร็จเป็นอย่างสูง มีลูกค้าตอบรับเข้าร่วมโครงการมากกว่า 1,000 รายภายหลังจากเริ่มโครงการได้เพียง 1 วันเท่านั้น หรือเรื่อง Ice Age3 ที่ทำเป็น Acquisition Campaign ก็สามารถสร้างฐานลูกค้าใหม่ให้กับบริษัทฯได้มากกว่า 400 คน ในช่วงเวลาประมาณ 3 สัปดาห์ ซึ่งผลจากการตอบรับที่ดีเยี่ยมนี้ชี้ให้เห็นว่าความบันเทิง โดยเฉพาะภาพยนตร์เป็นกิจกรรมที่นักลงทุนของเรานิยมชมชอบเป็นอย่างมาก” ทั้งนี้ นายประสงค์มองว่าการที่บริษัทฯใช้กลยุทธ์การตลาดเชิงรุกด้านเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ มาร์เก็ตติ้ง โดยมุ่งเน้นที่จะตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์ของลูกค้านั้นเป็นรูปแบบหนึ่งของการทำ ไลฟ์สไตล์ มาร์เก็ตติ้ง(Lifestyle Marketing) ที่เป็นหน้าที่ของนักการตลาดในยุคนี้ที่จะต้องสนใจรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าในทุกๆด้าน ไม่ใช่สนใจแต่เฉพาะเรื่องการซื้อ-ขายแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว การที่บริษัทฯอาศัยจุดแข็งในการสร้างกิจกรรมทางการลาดร่วมกับพันธมิตรที่เป็นค่ายหนังระดับยักษ์ใหญ่ทั้งหลายนั้น ยังจะเป็นอีกหนทางหนึ่งในการสร้างการรับรู้, การจดจำ และความรู้สึกที่ดีในแบรนด์ของ KS ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
“ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เราได้จัดทำมูฟวี่มาร์เก็ตติ้งร่วมกับค่ายภาพยนตร์ไปแล้วทั้งสิ้น 9 เรื่อง และภาพยนตร์ที่จะทำแคมเปญร่วมกันใน 2 เดือนสุดท้ายส่งท้ายปี‘52 จะมีภาพยนตร์ทั้งไทยและเทศที่คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ถล่มทลายให้กับ Box Office ทั้งเมืองไทยและต่างประเทศอีกประมาณ 5 เรื่องด้วยกัน อาทิ 2 เรื่องจากค่ายวอร์เนอร์ฯ คือ เรื่องนินจา แอสแซสซิน (Ninja Assassin) และ เรื่องเชอล๊อคโฮม (Sherlock Holmes) ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่คอหนังบ้านเรารอคอย, ภาพยนตร์โปรเจคระดับยักษ์คับโลกจากค่าย เทวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ ที่มีกำหนดลงโรงธันวาคมนี้ เรื่องAVATER ผลงานการกำกับของ เจมส์ คาเมรอน(ผู้กำกับไททานิค) และภาพยนตร์ไทยอีก 2 เรื่องจาก 2 ค่ายคือ เรื่อง32 ธันวา ที่มีดาราระดับแม่เหล็กอย่าง แดน วรเวช, โหน่ง ชะชะช่า และน้องสายป่าน ผลงานของผู้กำกับ100ล้าน ยอร์ช ฤกษ์ชัย จากค่าย M39 ซึ่งเรื่องนี้เราจะทำกิจกรรมทั้งที่กรุงเทพฯและที่เชียงใหม่โดยไปเริ่มกันที่งาน Money Expo ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 — 8 พฤศจิกายน 52 นี้ และภาพยนตร์ไทยอีกเรื่องคือ เรื่องปาย อิน เลิฟ (Pai in Love) จากค่ายเมกกะบ๊อกซ์(Megabox) ซึ่งเรื่องนี้นอกจากจะพาลูกค้าไปชมภาพยนตร์รอบพิเศษก่อนฉายจริงแล้ว ผู้โชคดี 2 คู่ที่จะได้ร่วมเดินทางตามรอยภาพยนตร์เรื่อง ปาย อินเลิฟ ไปพร้อมกับผู้กำกับและเหล่านักแสดง ถึง อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน เป็นเวลา 3วัน 2คืน อีกด้วย” นายประสงค์กล่าว
“ถือว่าเราเป็นบริษัทหลักทรัพย์รายแรกที่เข้ามาเล่นเรื่องของมูฟวี่ มาร์เก็ตติ้ง และทำแคมเปญทางการตลาดอย่างเต็มรูปแบบที่สุดในตลาดฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นปฐมบทของการทำ CRM ที่จะเริ่มต้นอย่างครบสูตรตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสู่การเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นที่จะมีขึ้นในเวลาอันใกล้นี้อีกด้วย โดยหลังจากนี้ก็จะเห็นรูปแบบของ Entertainment Marketing ในอีกหลากหลายรูปแบบมากกว่าด้านของภาพยนตร์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดนตรี, กีฬา, คอนเสิร์ตจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งเรื่องท่องเที่ยว ช้อปปิ้ง อาหารการกิน ฯลฯ เพื่อตอบโจทย์ของการสร้างแบรนด์ของ KS ให้มีความแตกต่างอย่างชัดเจนในธุรกิจที่ว่ากันว่าหาความแตกต่างไม่ได้ เป็นการสร้าง Brand experience ให้กับลูกค้าภายใต้คอนเซ็ปต์ “KS..more” ที่มีสโลแกนว่า “อีกหนึ่งอภิสิทธิ์ที่เหนือกว่า เฉพาะลูกค้าหลักทรัพย์กสิกรไทย” เพื่อจะนำไปสู่การเป็นบริษัทหลักทรัพย์อันดับ 1 ใน 3(Top 3) ให้ได้ภายในปี 2554ที่จะถึงนี้” นายประสงค์กล่าวทิ้งท้าย