“เขาชนไก่” จากนักร้องวัยรุ่น สู่บทบาทโปรดิวเซอร์สาว กับย่างก้าวที่เหนื่อย ลำบาก และยากไปอีกขั้น แต่เต็มไปด้วยความภูมิใจของ นิหน่า สุฐิตา เรืองรองหิรัญญา

ข่าวทั่วไป Wednesday October 11, 2006 16:01 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--11 ต.ค.--สหมงคลฟิล์ม
เข้าสู่วงการตั้งแต่อายุ 17 ปีเป็นที่รู้จักในฐานะนักร้องสาววัยรุ่นจากค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ด้วยความไฮเปอร์และเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของผู้ใหญ่หลายต่อหลายคนจนเข้าตาผู้จัดและผู้กำกับละครโทรทัศน์ระดับแถวหน้าของบ้านเรา จึงได้ฉายแววฝีไม้ลายมือทางด้านการแสดงหลายต่อหลายเรื่อง
จนกระทั่งปี 2004 ก็ได้ร่วมกับเพื่อนๆในสาขาภาพยนตร์และภาพถ่าย คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำโปรเจ็คต์ถ่ายทำภาพยนตร์โดยใช้ฟิล์ม 16mm. ส่งอาจารย์ก่อนเรียนจบ โดยได้รับโอกาสจากปรัชญา ปิ่นแก้ว และเสี่ยเจียงสมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ค่ายหนังยักษ์ใหญ่อย่างสหมงคลฟิล์มสนับสนุนผลักดันจากหนังที่ถ่ายทำเพื่อส่งอาจารย์กลายมาเป็นภาพยนตร์เพื่อฉายในโรงภายพนตร์เรื่อง “กั๊กกะกาวน์” เส้นทางชีวิตของนักร้องสาวจึงเปลี่ยนสถานะมาเป็นโปรดิวเซอร์สาวอย่างเต็มตัวนับจากนั้นเป็นต้นมา และตอนนี้เธอและเพื่อนๆบางส่วนที่เคยร่วมงานกันมาก่อนหน้าพร้อมแล้วกับ “เขาชนไก่” ภาพยนตร์ไทยในเส้นทางของคนทำหนังอาชีพที่อยากให้ทุกคนได้สัมผัสกัน
Q.คนส่วนใหญ่เขาอยากเป็นผู้กำกับกัน ทำไมนิหน่าถึงอยากเป็นโปรดิวเซอร์
A. การทำงานทุกอย่าง ใจต้องมาก่อน ไม่ใช่ไม่เคยมีคนถามนะว่า ทำไมอยากเป็นโปรดิวเซอร์ ทำไมไม่เป็นผู้กำกับ เราก็ได้แต่บอกว่า ไม่รู้ แค่รู้สึกว่า เราต้องรู้จักตัวเองก่อนว่าอยากทำอะไร จริงๆโยนอะไรมาก็คงทำได้แหละ เพราะไม่ใช่เด็กเก่งนะคะ นิหน่าไม่ใช่คนเก่งเลย แต่แค่พยายาม เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็ก ตอนเรียนหนังสือ ต้องพยายามอ่านหนังสือตลอด ถึงจะสอบได้ ถ้าไม่อ่าน ถ้าประมาทก็ร่วงเหมือนกันไม่เคยได้คะแนนมาง่ายๆแบบไม่ต้องอ่านก็ทำได้นี่ไม่เคยเกิดขึ้น เนี่ยถึงบอกว่า ไม่ใช่คนเก่งเลยที่ทำอะไรได้หลายๆอย่างในทุกวันนี้ แต่มันเป็นความฮึดสู้ของเรามากกว่า เวลาทำงานถึงพยายามมี goal ของตัวเองก่อนว่า เราต้องการอะไร มันไม่ใช่แค่ค่าจ้างหรอก แต่มันคือผลลัพธ์ของงานที่ออกมาดีที่สุด เท่าที่เราจะได้พยายามทำมันให้ดีแล้วแค่นั้นเอง
Q. ถ้างั้นไหนบอกซิว่าเป็น “โปรดิวเซอร์” ต้องทำอะไรบ้าง
A. จริงๆแล้วเรายังเด็ก ยังอ่อนประสบการณ์ คำว่าโปรดิวเซอร์ มันใหญ่มากหน้าที่เขาต้องทำให้หนังถ่ายทำและเสร็จไปได้ด้วยดี จะให้ดีกว่านั้น หนังนั้นต้องเป็นหนังที่ดีด้วย นั่นมันทำให้เรายิ่งต้องดิ้นรน ต้องทำ ต้องฝึกให้ได้มากที่สุด คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้หรอกว่า ไอ้คำว่าโปรดิวเซอร์เนี่ยมันทำอะไร จริงๆแล้วมันทำทุกอย่าง ทำให้หนังสำเร็จลงได้ ถ้าเราไม่สามารถมองหาใครที่ไว้ใจได้แล้ว หรือทุกคนยุ่งกันหมดเราก็ต้องลงมือทำเอง ไม่ว่าหน้าที่นั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ตั้งแต่จัดหาสวัสดิการนักเสดง ประสานงาน ทุกอย่าง ถ้ามันมีรูโหว่ เราต้องอุดรูโหว่นั้นให้ได้ ถ้ามัวแต่มาคิดว่า ไม่ใช่หน้าที่ฉัน ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องทำ นั่นไม่ใช่ละ เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ แต่นี่มันคือหนัง หนังของคุณ ที่คุณทุ่มเทสร้างมันมา อะไรที่เป็นปัญหา และถ้าไม่มีใครออกมาแก้ เราต้องแก้ให้ได้
Q.นั่นก็จริงนะซิที่ว่า “โปรดิวเซอร์” สไตล์นิหน่านี่คือทำสากกะเบือยันเรือรบ
A. มันอาจจะผิดก็ได้นะที่คิดอย่างนี้ คือจริงๆตามหลัก โปรดิวเซอร์อาจจะทำแค่สั่งงาน แล้วให้คนอื่นรันงานต่อ แต่สำหรับนิหน่า นิหน่าว่า มันต้องรู้นะ ต้องให้เข้าใจในงานทุกฝ่าย แล้วเราถึงจะสั่ง จะบอกเขาให้ทำอย่างที่เราคิดได้ ที่นี้งานมันไม่ได้อยู่ในกองถ่ายอย่างเดียว เราจะเหนื่อยตอน pre-pro กับ post ช่วงเขาถ่ายกันนี่ วิ่งเล่นสบายเลย แต่มีบ้างกับปัญหาหน้ากองที่ต้องแก้ ซึ่งก็ว่ากันไป แก้กันไปตามนั้น การเป็นโปรดิวเซอร์ไม่ใช่นั่งบนหอคอยสั่งงาน แต่คุณต้องเข้าใจทุกกระบวนการทำงาน การทำหนัง ไม่ใช่แค่ถ่ายจบแล้วจบ มันต้องมีการตลาด การนำเสนอสู่สายตาผู้ชม มันต้องมีการติดต่อประสานงานแต่ละฝ่าย
การได้บอกน้องๆนักแสดงเด็กๆที่ยังใหม่ว่าเราต้องโตเป็นนักแสดงที่เคารพในอาชีพของตัวเองยังไง ทุกสิ่งอย่างที่นิหน่าเคยได้เรียนรู้มา นิหน่าเอามันทั้งหมดทุ่มลงในงานภาพยนตร์หมดเลย และค่อยๆเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ผิดบ้างถูกบ้าง ก็ว่ากันไป
Q.การเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงตั้งแต่ยังเอ๊าะๆใสๆวัยรุ่น มีส่วนช่วยในวันที่เราจับงานใหญ่ไหม
A. จริงๆ นิหน่าก็ยังเอ๊าะนะ เอ๊ะยังไง คือตั้งแต่นิหน่าเข้าวงการมา จากการเป็นนักร้อง ทำให้เราได้เรียนรู้การทำโปรโมชั่น เพราะดันไปได้ใกล้ชิดกับทีมงานตั้งแต่เด็กๆ แล้วพอมาเล่นละคร เราได้เห็นความสำคัญของการทำงานเป็นทีม การวางโปรดักชั่น ตารางการถ่ายทำ มารยาทที่เราต้องปฏิบัติต่อกันและกัน และได้เรียนรู้การแสดงที่ถูกต้อง การเป็นนักแสดงที่ดี ต้องรับผิดชอบต่องานยังไง พอมาทำพิธีกร มันได้เรียนรู้ว่า การจะนำเสนอสิ่งที่อยู่ในรายการให้น่าสนใจ ตรงกลุ่มเป้าหมาย ต้องทำยังไง ทุกอย่างที่ได้เจอ นิหน่าเอามันมาใช้ในการทำหนังหมดเลย
Q.จากหนังสเกลมหาลัยอย่าง “กั๊กกะกาวน์” มาถึงงานช้างอย่าง “เขาชนไก่” นิหน่าคิดว่าในฐานะโปรดิวเซอร์เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง
A.นิหน่ายอมรับว่าอารมณ์ร้อน มาทำหนังเรื่องนี้ บางครั้งต้องใจเย็น และต้องเข้มแข็งมากกว่าเดิมเยอะมาก แรงกดดันมันมีสูง การทำงานก็ยากขึ้น เราต้องเป็นผู้ใหญ่ ต้องทำความเข้าใจกับทุกปัญหาที่เข้ามาให้ได้ มีคนเคยบอกว่า เป็น producer ต้อง tough ~ คือไงดีละ คำว่า tough มันแปลได้หลายอย่าง เช่น เข้มแข็ง -โหด หรือว่า เป็นคนกระด้าง อะไรประมาณนั้น มันแล้วแต่ความหมายที่จะแปลไง แต่ที่แน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นความหมายไหน ก็บอกได้เลยว่านิหน่าไม่ใช่คน tough เลย แต่เป็นคนอ่อนแอทางจิตใจมาก งอแง ขี้น้อยใจ แต่พอมายืนในงานนี้ เราต้องเปลี่ยนเลยนะ ไม่ได้เลย เพื่อนร้องไห้เพื่อนท้อเราต้องไม่ท้อแต่ถ้าเพื่อนเข้มแข็งเมื่อนั้นแหละนิหน่าจะฉวยโอกาสท้อบ้าง
Q.ฟังๆดูการเป็นโปรดิวเซอร์ไม่น่าจะเป็นเรื่องง่าย หรือใครก็ทำได้ ทำไมไม่เลือกงานที่มันสบายๆไม่ต้องรับผิดชอบขนาดนี้
A. เคยคิดนะพี่ เราทำงานอื่นง่ายกว่าอีก ไม่ต้องเหนื่อยด้วย มาทำหนังทำไม แต่แล้วมันมีคำตอบสวนขึ้นมาในใจเลยว่า ก็เพราะรัก อยากทำมันให้ดี ถึงได้ยังพยายามอยู่ในทุกวันนี้ไง แค่รักหนังเท่านั้นเองที่ทำให้เราต้องผ่านมันไปให้ได้ เราต้องลากมันไปจนเสร็จ และมันต้องสำเร็จ ต้องเชื่อในทุกย่างก้าวที่เราเดิน นั่นสำคัญมาก
Q. อายุก็ยังน้อยไม่คิดไปเรียนต่อเหรอ
A.ทุกวันนี้มีแต่คนถามว่า จะไปเรียนต่อเมืองนอกไหม เคยคิดค่ะ อยากไปนะ แต่ต้องมองว่า เราไปเรียนสองปี เราจะได้อะไรกลับมา และถ้าอยู่ทำงาน เอาประสบการณ์ที่นี่ จะได้อะไรกลับมา แล้วมองให้ดีดีว่า ในประเทศไทย เรามีระบบที่ต่างจากเมืองนอกยังไง เราจะเอาความรู้มาปรับกับระบบที่บ้านเราได้ไหม จริงๆมองว่ามันยากนะ เลยอยากที่จะพยายามหา workshop หรือ คอร์สเรียนสั้นๆ ตามประเทศต่างๆ เพื่อเราจะได้เรียนรู้ระบบของเขา และเอามันมาปรับให้เข้ากับเรา ไม่ว่าจะเป็นแบบทางฝั่งยุโรป ที่ค่อนข้างเป็นแบบ หาทุนมาทำกันมากกว่าจะเป็นแบบ studio เหมือนทางฝั่งอเมริกา นิหน่ามองว่าถ้าเรามีโอกาสไปเก็บเกี่ยวความรู้ทั้งสองฟาก มันจะมีประโยชน์กับเรามากกว่า และมันกว้างกว่าด้วย
Q.ฟังๆดูแล้วก็ไม่ทิ้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานโปรดิวเซอร์ที่เราทำอยู่ แสดงว่าสนใจในงานภาพยนตร์จริงๆ
A. อยากพยายามทำให้ดีที่สุดน่ะค่ะ อยากเห็นหนังไทยมีคุณภาพในแบบคนไทย เหมือนที่เกาหลีเขาหาเอกลักษณ์ของเขาเจอกันแล้ว ญี่ปุ่นหนังเขาก็กำลังเริ่มจะมา หนังไทยเราเองก็มีที่น่าภูมิใจสู่สายตาชาวโลกแล้ว เลยอยากทำมันให้ดี ให้ดีกว่านี้ มันอาจจะไม่สำเร็จในรุ่นนิหน่า แต่เชื่อว่ามันต้องสำเร็จในไม่ช้านี้ เชื่อว่าคนทำหนังไทย ไม่ได้แพ้ใครเลย
นิหน่าบอกตัวเองทุกวัน สักวันเราจะต้องเปิดโลกภาพยนตร์ไทยให้กว้างกว่านี้ ให้ไกลกว่านี้ ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับผู้ชมด้วย บางทีคนดูหนังไทย ในตลาดกว้างๆ ยังดูหนังเหมือนๆเดิม มันเลยวนเวียนไม่ไปไหน แต่เชื่อว่าสักวัน มันต้องดีขึ้น ไม่รู้สิ มันแค่เชื่อน่ะ อาจจะเป็นไปไม่ได้ในมุมมองของคนอื่น แต่ไม่เป็นไรหรอก นิหน่าต้องเชื่อไว้ก่อน ไม่งั้นเราจะไม่มีวันที่จะไปถึงจุดหมายที่เราหวังไว้หรอกค่ะ ถ้าเราไม่เชื่อในสิ่งที่เราคิดก่อน
Q.เห็นบอกว่ากำลังจะไปร่วมเวิร์คช็อพเกี่ยวกับการเป็นโปรดิวเซอร์ด้วย
A. ค่ะล่าสุด ก็ได้เลือกให้เข้า workshop ที่ชื่อ “Produire Au Sud” ของฝรั่งเศส ที่มาร่วมจัดในงาน Bangkok World Film Festival 2006 ที่กรุงเทพฯ ช่วงเดือนตุลาคมนี้ เขาจะเลือกจากคนที่ส่ง โปรเจคท์หนังยาว จากประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้ส่งไปแล้วจะเลือกมา 7 เรื่อง จากประเทศในกลุ่มที่ว่าเนี่ย เพื่อไปเข้า workshop กับคนทำหนังที่เขาจะมาสอนให้เราได้เรียนรู้เรื่องการทำงานหนัง โดยเฉพาะเรื่องของโปรดิวเซอร์ เช่นหาทุน การขายหนังให้ต่างประเทศ การทำ co-production ฯลฯ และวันสุดท้ายเราจะต้องเสนอขายงานหนังที่เป็นโปรเจ็คท์ของเราต่อหน้ากรรมการของเขาจากนั้นเขาจะคัดโปรเจ็คท์ที่นำเสนอได้ดีที่สุดเพื่อไปฝรั่งเศสในช่วงต้นปีหน้า
จริงๆโปรเจ็คท์โชคดีได้ร่วมงานกับคนเก่งๆ เพราะรุ่นพี่ที่คณะ เขาเก่งเรื่องทำหนังมาก เขามาชวนเลยลองส่งกันดู แล้วก็ได้เลือก ก็คิดว่าอย่างน้อยได้เรียนรู้การนำเสนองาน การร่วมทุน ได้รู้แนวทางการขายโปรเจ็คท์หนังในอีกแบบหนึ่ง
แค่พอรู้ว่าได้เลือกให้เข้า workshop ในกรุงเทพฯ ก็ดีใจแล้ว อย่างน้อยเราจะได้เรียนรู้จากคนที่มีประสบการณ์ที่ทำงานมานาน ในสายงานภาพยนตร์ ทั้งในยุโรปและใน Hollywood แล้วเรื่องจะได้ไปต่อที่ฝรั่งเศสหรือไม่ อันนี้ก็คงจะพยายามทำให้ดีที่สุดล่ะค่ะ
Q.ย้อนกลับมาที่โปรเจ็คต์ “เขาชนไก่” ตัวเราเป็นผู้หญิงแต่ทำไมเลือกทำหนังรด.ที่เกี่ยวกับผู้ชาย
A. คือจริงๆ โลกของภาพยนตร์มันไม่มีจำกัดผู้หญิงผู้ชายหรอกค่ะ ตอนที่เพื่อนมานั่งเล่าเรื่องเขาชนไก่ เราก็แบบ เออใช่ ตอนนั้นเขาไปทำอะไรกันน่ะ อยากรู้ แล้วพอได้ฟังเพื่อนเล่าแล้วมันแบบ เออ น่าสนุก มันเหมือนตอนเราไปเข้าค่าย ม.3 ลูกเสือ เนตรนารีเลยนะ แต่เห็นเขาว่าโหดกว่าเยอะ สนุกกว่ามาก คือมันเหมือนโลกที่ผู้หญิงไม่ค่อยได้รู้ แต่ถ้าผู้ชายส่วนใหญ่ที่เขาเคยไปเขาจะแบบ โอ้ย เล่าได้สามวันไม่จบ คือมันเป็นเรื่องของมิตรภาพและความทรงจำน่ะค่ะ
Q.ถ้างั้นช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าเขาชนไก่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร
A. นิหน่าว่า หนังเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องของเพื่อน ที่มีฉากเป็นเขาชนไก่ และสิ่งที่ความเป็นเพื่อนสอนเรา ว่าเราจะได้อะไรจากการที่เรามีเพื่อนดีๆบ้าง เพราะอย่างนี้ นิหน่าถึงรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องที่กว้างมากๆนะ คนทุกคนต้องมีเพื่อน และมีความทรงจำ เพราะฉะนั้น มันไม่ใช่หนังที่ว่าด้วยเรื่องที่เข้าใจยากเลยล่ะ เลยอยากทำ เพราะอยากให้คนที่ไม่เคยรู้ได้รู้ว่ามันสนุกยังไง และคนที่เคยผ่านมันมาแล้วได้คิดถึงเรื่องของตัวเองบ้าง
Q. ฝากบอกอะไรเกี่ยวกับ “เขาชนไก่”
A. ก็ นิหน่าว่าทุกคนนะคะ มันมีช่วงเวลาที่สวยงามของชีวิต ในวันนั้นก็คือวันที่เราได้อยู่กับเพื่อน มันเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่เราหลับตานึกก็มีความสุขน่ะ ตอนทำหนังเรื่องนี้ ตลอดเวลานิหน่าได้แต่คิดว่า จริงๆเราได้ทำหนังเพื่อเติมเต็มความสุขในใจให้คนดู เรื่องเขาชนไก่ก็เหมือนกัน มันมีทุกรสชาติในหนังเรื่องนี้ เหมือนตอนครั้งก่อนๆที่เราเคยหัวเราะ เคยเสียใจ เคยเกเรกับเพื่อน ที่สำคัญคือ มันได้ตอบคำถามบางอย่างให้สังคมนะ นิหน่าเพิ่งได้รู้ความสำคัญของนักศึกษาวิชาทหารเหมือนกันก็ตอนทำหนังเรื่องนี้แหละ การเรียน ร.ด มันมีค่ามากกว่าที่ใครๆคิด มันน่าภูมิใจน่ะค่ะ ไม่ใช่แค่เรียนให้ไม่ต้องเกณฑ์ทหารเฉยๆ ยังไงก็ฝากหนังเรื่องนี้ด้วยแล้วกัน บางทีมันอาจมีเรื่องของคุณอยู่ในหนังเรื่องนี้ก็ได้ ขอให้มันทำให้คุณยิ้ม และก็อิ่มใจไปกับหนังได้ไม่มากก็น้อยนะคะ
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ