กรุงเทพฯ--30 ต.ค.--วอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส
“ราวกับว่าชาร์ลส์ ดิคเค็นส์เขียนเรื่องราวนี้เพื่อเป็นหนังครับ เพราะมันเต็มไปด้วยรายละเอียด
ทางภาพและเหมาะจะเป็นหนังเหลือเกิน มันเป็นเรื่องราวการเดินทางข้ามเวลาที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ที่เคยถูกเขียนขึ้น และผมก็อยากจะสร้างหนังเรื่องนี้ในแบบที่ผมเชื่อว่ามันถูกจินตนาการเอาไว้โดยตัวดิคเค็นส์เองตั้งแต่แรกครับ”
-โรเบิร์ต เซเมคิส ผู้กำกับ/ผู้อำนวยการสร้าง/มือเขียนบท -
DISNEY’S A CHRISTMAS CAROL เรื่องราวสุดตื่นเต้นที่ได้รับการเนรมิตชีวิตจากฝีมือของผู้กำกับเจ้าของอคาเดมี อวอร์ด โรเบิร์ต เซเมคิส ได้นำเอามนต์เสน่ห์น่าอัศจรรย์ใจจากนิทานคลาสสิกของดิคเค็นส์มาสร้างในรูปแบบภาพยนตร์สามมิติที่น่าตื่นตาตื่นใจ
เอเบนีเซอร์ สครูจ (จิม แคร์รี่ย์) เริ่มต้นวันหยุดช่วงคริสต์มาสด้วยความรู้สึกดูถูกคนอื่นตามปกติ เขาคำรามใส่เสมียนที่ซื่อสัตย์ของเขา (แกรี่ โอลด์แมน) และหลานชายแสนร่าเริงของเขา (โคลิน เฟิร์ธ) สครูจแสดงออกให้ทุกคนรับรู้ว่า เขาไม่ได้อยากจะมีความสุขไปกับเทศกาลวันหยุดนี้ และเขาก็ได้กลับบ้านตามลำพังเช่นเคย ที่บ้านของเขา เขาได้พบกับวิญญาณของเจค็อบ มาร์ลี่ย์ หุ้นส่วนทางธุรกิจผู้ล่วงลับไปแล้วของเขา มาร์ลี่ย์ ผู้ต้องทนทุกข์หลังความตายเพราะความเลวร้ายของตัวเขาเอง อยากจะช่วยไม่ให้สครูจต้องพบเจอชะตากรรมเช่นเดียวกับเขา และบอกกับเขาว่า จะมีวิญญาณสามตนมาเยือนเขา แต่เมื่อวิญญาณคริสต์มาสอดีต วิญญาณคริสต์มาสปัจจุบัน และวิญญาณคริสต์มาสอนาคตที่ยังมาไม่ถึงนำพาเฒ่าสครูจสู่การเดินทางที่เผยถึงความจริงที่เขาไม่อยากรับรู้ เขาก็ต้องเปิดหัวใจตัวเองเพื่อแก้ไขในสิ่งผิดพลาดที่เขาทำตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
วอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส และอิเมจมูฟเวอร์ส ดิจิตอล ภูมิใจเสนอ DISNEY’S A CHRISTMAS CAROL ผลงานสร้างโดยโรเบิร์ต เซเมคิส จากการดัดแปลงบทของเขาจากนิยายคลาสสิกโดยชาร์ลส์ ดิคเค็นส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานเรื่องแรกที่พัฒนาโดยอิเมจมูฟเวอร์ส ดิจิตอล ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยโรเบิร์ต เซเมคิส, สตีฟ สตาร์กีย์และแจ็ค แร็ปเก้ เพื่อพัฒนาภาพยนตร์เพอร์ฟอร์แมนซ์ แคปเจอร์ สามมิติเพื่อวอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์ โดยเฉพาะ DISNEY’S A CHRISTMAS CAROL อำนวยการสร้างโดยสตาร์กีย์, เซเมคิสและแร็ปเก้
นักแสดงชั้นนำของภาพยนตร์เรื่องนี้นำทีมโดยนักแสดงหลายหน้า จิม แคร์รี่ย์ (Yes Man, Horton Hears a Who, Bruce Almighty) ผู้รับบทบาทสำคัญอีกหลายบท เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมแสดงหลายคนของเขา นอกเหนือจากการรับบทเป็นเอเบนีเซอร์ สครูจ ในหลายช่วงอายุทั้งแก่และหนุ่มแล้ว แคร์รี่ย์ยังรับบทวิญญาณคริสต์มาสอดีต วิญญาณคริสต์มาสปัจจุบัน และวิญญาณอนาคตที่ยังมาไม่ถึงอีกด้วย
ผู้ที่ร่วมแสดงกับแคร์รี่ย์ในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยคือกลุ่มนักแสดงพรสวรรค์ที่ประกอบไปด้วย แกรี่ โอลด์แมน (Harry Potter and the Order of the Phoenix) ในบทบ็อบ แครทชิท ลูกจ้างที่ต่ำต้อยของสครูจ, ไทนี ทิม ลูกชายที่ป่วยของเขา และวิญญาณของเจค็อบ มาร์ลี่ย์ หุ้นส่วนธุรกิจผู้ล่วงลับของสครูจ โคลิน เฟิร์ธ (Love Actually, The Accidental Husband, Bridget Jones: The Edge of Reason) รับบทเฟร็ด หลานชายจิตใจงามผู้ร่าเริงของสครูจ โรบิน ไรท์ เพนน์ (State of Play) รับบทเบลล์ ผู้ขโมยหัวใจของสครูจมาเนิ่นนานแล้ว และแฟน น้องสาวผู้ล่วงลับของสครูจ
บ็อบ ฮอสกินส์ หนึ่งในนักแสดงที่โด่งดังที่สุดของอังกฤษ (Who Framed Roger Rabbit?) ได้กลับมาร่วมงานกับเซเมคิสอีกครั้งด้วยการรับบทเฒ่าเฟสซิวิก ผู้ซึ่งสครูจเคยฝึกงานด้วยสมัยเป็นเด็กหนุ่ม และเฒ่าโจ ผู้เปิดร้านขายของมือสอง และเป็นคนซื้อผ้าปูเตียงและผ้าม่านลินินของสครูจ “ผู้ล่วงลับ” แครี่ เอลเวส (Ella Enchanted, The Princess Bride) รับหลายบทบาท ซึ่งรวมถึงดิค วิลคินส์ เพื่อนร่วมห้องเก่าของสครูจในวัยเยาว์อีกด้วย
ทีมงานเบื้องหลังได้แก่ผู้ออกแบบงานสร้าง ดั๊ก เชียง (Beowulf, The Polar Express), ผู้กำกับภาพ โรเบิร์ต เพรสลี่ย์ (Enchanted, Terminator 3: Rise of the Machines, What Lies Beneath), มือลำดับภาพ เจเรไมอาห์ โอ’ดริสคอลล์ (Beowulf, The Polar Express), คอมโพสเซอร์อลัน ซิลเวสทรี (Beowulf, Night at the Museum) และซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ จอร์จ เมอร์ฟี (King Kong, Constantine)
DISNEY’S A CHRISTMAS CAROL ภาพยนตร์โดยวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์สและอิเมจมูฟเวอร์ส ดิจิตอล จะเข้าฉายในระบบ Disney Digital 3D?, RealD 3D และ IMAX? 3D
RealD 3D เป็นระบบความบันเทิงรุ่นใหม่ ที่มีภาพคมชัด กระจ่างใส เหมือนมีชีวิตจนคุณรู้สึกราวกับได้ก้าวไปอยู่ในภาพยนตร์ด้วยตัวเอง RealD 3D เพิ่มระดับความลึกที่จะดึงคุณร่วมตื่นเต้นไปกับแอ็กชัน ไม่ว่าจะเป็นการร่วมผจญภัยไปกับตัวละครตัวโปรดของคุณในโลกใหม่ หรือหลบวัตถุที่ดูเหมือนจะลอยเข้ามาในโรงภาพยนตร์ RealD ได้บุกเบิกเทคโนโลยี 3D ดิจิตอลในปัจจุบัน และเป็นเทคโนโลยีภาพยนตร์ 3D ที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายมากที่สุดของโลกด้วยจอภาพยนตร์กว่า 9,000 แห่งภายใต้สัญญาและเกือบ 4,000 แห่งที่ถูกติดตั้งใน 48 ประเทศ นอกจากนั้นแล้ว แว่นตาสามมิติ RealD 3D ยังแตกต่างจากแว่นตากระดาษยุคเก่าตรงที่มันดูเหมือนแว่นกันแดดจริงๆ สามารถนำมาใช้งานใหม่ได้ ถูกออกแบบให้เหมาะกับคอหนังทุกเพศ ทุกวัย และสวมทับแว่นตาที่ใช้ประจำได้อย่างง่ายดาย (www.RealD.com)
นอกเหนือจากโรงภาพยนตร์ปกติแล้ว DISNEY’S A CHRISTMAS CAROL ยังจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ IMAX? โดยภาพยนตร์เรื่องนี้จะถูกรีมาสเตอร์ใหม่เพื่อให้มีคุณภาพเสียงและภาพคมชัดตามแบบฉบับของ The IMAX Experience? ผ่านทางเทคโนโลยี IMAX DMR? ด้วยภาพที่คมชัด ซาวน์ดิจิตอลที่เคลียร์ชัด และจอภาพขนาดใหญ่ IMAX จึงทำให้เกิดประสบการณ์การชมภาพยนตร์ที่เหมือนจริงที่สุดในโลก
เรื่องราวของดิคเค็นส์
ทีมผู้สร้างถ่ายทอดวิสัยทัศน์ของนักเขียนชื่อดัง
“ทุกคนชื่นชอบเรื่องราวการกลับตัวกลับใจดีๆ ทั้งนั้น คนที่มองเห็นทางสว่าง
คนที่ได้ค้นพบในที่สุดว่าอะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิต
และนี่ก็คือเรื่องราวการกลับตัวกลับใจที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยถูกเขียนขึ้นมา”
-จิม แคร์รี่ย์ ผู้รับบท สครูจ และ วิญญาณคริสต์มาสแห่งอดีต, ปัจจุบัน, และ อนาคตที่ยังมาไม่ถึง-
A Christmas Carol ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นเรื่องราวคริสต์มาสที่ยอดเยี่ยมที่สุดและมีผู้ชมได้ดูเรื่องราวนี้นับล้านๆ คนในช่วงเทศกาลวันหยุดแต่ละปี ได้รับการตีพิมพ์เป็นครั้งแรกโดยตัวชาร์ลส์ ดิคเค็นส์เองในปี 1843 นิยายสั้นเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างทันทีและยาวนาน และกลายเป็นเรื่องราวประจำเทศกาลคริสต์มาสสำหรับคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า มันเป็นเรื่องราวการเดินทางข้ามเวลาเรื่องแรกของโลก และอาจจะเป็นเรื่องผีที่มีคนรักมากที่สุดในโลกด้วย
อย่างไรก็ดี แก่นแท้ของเรื่องราวนี้คือการไถ่บาป “ทุกคนชื่นชอบเรื่องราวการกลับตัวกลับใจดีๆ ทั้งนั้นแหละครับ” จิม แคร์รี่ย์กล่าว “คนที่มองเห็นทางสว่าง คนที่ได้ค้นพบในที่สุดว่าอะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิต และนี่ก็คือเรื่องราวการกลับตัวกลับใจที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยถูกเขียนขึ้นมา”
แน่นอนว่า วิญญาณเหล่านี้คือผู้ที่ช่วยทำให้สครูจจอมขี้เหนียวกลับตัวกลับใจเสียใหม่
- วิญญาณคริสต์มาสแห่งอดีต (จิม แคร์รี่ย์) ปรากฏตัวในรูปลักษณ์ของเปลวไฟวูบวาบ ดิคเค็นส์บรรยายถึงวิญญาณตนนี้ว่า “เป็นแสงที่สว่างไสว เจิดจ้า” วิญญาณคริสต์มาสอดีตได้พาสครูจเดินทางย้อนเวลาไปชมภาพเหตุการณ์ในอดีตของเขา เขามองเห็นตัวเองในวัยหนุ่ม ตอนที่ฝึกงานกับเฟสซิวิก (บ็อบ ฮอสกินส์) ตอนที่เป็นชายหนุ่มสดใสกำลังคุยอยู่กับดิค วิลคินส์ (แครี่ เอลเวส) เพื่อนร่วมงานและตอนที่เป็นชายหนุ่มที่ตกอยู่ในห้วงรักและหมั้นหมายอยู่กับเบลล์ (โรบิน ไรท์ เพนน์) ความทรงจำเหล่านี้ส่งผลต่อสครูจอย่างมาก
- วิญญาณคริสต์มาสแห่งปัจจุบัน (แคร์รี่ย์) ยักษ์ร่างใหญ่ในชุดคลุม ได้มาแสดงให้สครูจได้เห็นว่าชีวิตจริงๆ ในปัจจุบันของเขาเป็นเช่นไร สครูจถูกพาตัวไปยังบ้านของครอบครัวแคร็ทชิท และได้เห็นสภาพอนาถาของลูกจ้างเขา รวมถึงอาการป่วยหนักของไทนี ทิม (แกรี่ โอลด์แมน) ลูกชายตัวน้อยของเขา วิญญาณตนนี้ยังเปิดโอกาสให้สครูจได้เห็นปาร์ตี้คริสต์มาสของหลานชายเขา ซึ่งพวกเขาได้เฝ้าชมเกมคำทาย ที่ชีวิตอันน่าหดหู่ของสครูจเป็นเรื่องตลกชวนหัว
- วิญญาณตนถัดไป ซึ่งอาจเป็นวิญญาณที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดที่สุดคือวิญญาณคริสต์มาสแห่งอนาคตที่ยังมาไม่ถึง (แคร์รี่ย์) วิญญาณที่พาสครูจไปยังอนาคต ที่ซึ่งทั้งคู่ได้รับรู้ถึงการเสียชีวิตเมื่อเร็วๆ นี้ของชายไร้ชื่อคนหนึ่ง นักธุรกิจหลายคนพูดถึงความร่ำรวยของชายผู้นี้ ในขณะที่เฒ่าโจ (ฮอสกินส์) และคุณนายดิลเบอร์ (ฟิออนนูลา แฟลนนิแกน) ได้รื้อผ้าปูที่นอนและผ้าม่านของเขาออกจนเกลี้ยง สครูจเรียกร้องให้วิญญาณคริสต์มาสบอกชื่อของชายผู้นั้น และเขาก็ตกตะลึงเมื่อได้อ่านชื่อของตัวเขาเองบนหลุมศพ ถ้าเพียงแต่เขามีโอกาสอีกครั้งล่ะก็
“เรานำผู้ชายที่ใจร้ายที่สุดในโลกมาทำให้เขาได้รับรู้ถึงความผิดพลาดของวิถีชีวิตของเขา…
และเราก็มีโอกาสได้ร่วมผจญภัยไปกับเขาด้วยครับ”
-โรเบิร์ต เซเมคิส ผู้กำกับ/ผู้อำนวยการสร้าง/มือเขียนบท-
ทีมผู้สร้างรู้สึกว่า ไม่มีภาพยนตร์เรื่องไหนที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ออกมาได้ในแบบที่ดิคเค็นส์เองตั้งใจไว้จริงๆ
“มันราวกับว่าชาร์ลส์ ดิคเค็นส์เขียนเรื่องราวนี้เพื่อเป็นหนังครับ เพราะมันเต็มไปด้วยรายละเอียดทางภาพและเหมาะจะเป็นหนังเหลือเกิน” เซเมคิสกล่าว “มันเป็นเรื่องราวการเดินทางข้ามเวลาที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เคยถูกเขียนขึ้น และผมก็อยากจะสร้างหนังเรื่องนี้ในแบบที่ผมเชื่อว่ามันถูกจินตนาการเอาไว้โดยตัวดิคเค็นส์เองตั้งแต่แรกครับ”
“DISNEY’S A CHRISTMAS CAROL เป็นนิทานคลาสสิก ที่มีการแสดงอันทึ่งและภาพที่ทรงพลังครับ” ผู้อำนวยการสร้างสตีฟ สตาร์กีย์กล่าวเสริม “มันมีพร้อมทุกอย่าง”
เพอร์ฟอร์แมนซ์ แคปเจอร์คือกระบวนการที่จะบันทึกการแสดงของนักแสดงด้วยกล้องคอมพิวเตอร์แบบ 360 องศา และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จะถูกนำฉายในระบบ Disney Digital 3D? เทคโนโลยีนี้เปิดโอกาสให้ทีมผู้สร้างนำเสนอโลกแบบดิคเค็นส์ได้โดยไม่มีขีดจำกัดเชิงศิลป์ และนำพาผู้ชมไปสู่กาลเวลาและสถานที่ที่ก่อนหน้านี้เคยอยู่ไกลเกินเอื้อม
“เทคโนโลยีให้อิสระกับผมในฐานะคนทำหนังครับ” เซเมคิสกล่าว “มันทำให้ผมสามารถแบ่งแยกแง่มุมหนังของการทำหนัง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้กำกับทุกคนพยายามจะควบคุม และผมก็รับรู้ได้ถึงความมหัศจรรย์ของการแสดงจากนักแสดงของผม มันเป็นการผสมผสานที่วิเศษสุดระหว่างการตอบรับความบังเอิญวิเศษสุดที่เกิดขึ้นในตอนที่นักแสดงแสดง และการสามารถใส่ภาษาหนังเข้าไปในหนังได้น่ะครับ”
สตาร์กีย์กล่าวเสริมว่า “ตัวละครในเรื่องราวนี้เป็นคนที่ยิ่งใหญ่ ทั้งวิญญาณหรือแม้แต่ตัวสครูจเองก็พัฒนาขึ้นตามกาลเวลา เราสามารถทำอะไรต่อมิอะไรในภาพยนตร์รูปแบบนี้ในแบบที่คุณไม่สามารถทำได้มาก่อนครับ”
เซเมคิสกล่าวว่า DISNEY’S A CHRISTMAS CAROL เป็นภาพยนตร์ที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีเพอร์ฟอร์แมนซ์ แคปเจอร์ได้ก้าวมาไกลแค่ไหน และมันได้เปิดโอกาสให้ผู้กำกับทำในสิ่งที่แปลกใหม่ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถของนักแสดงได้อย่างไร สำหรับนักแสดงแล้ว มันเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่ง ที่ไม่ต้องมีคอสตูม ไม่ต้องแต่งหน้า และแทบไม่มีฉากเลย แคร์รี่ย์และนักแสดงคนอื่นๆ ต้องรับภาระหนักในการสวมบทเป็นตัวละครต่างๆ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ “หลายคนคิดว่าการทำงานในหนังพวกนี้ก็แค่งานพากย์เสียง” แคร์รี่ย์กล่าว “แต่มันเป็นการแสดงจากนักแสดงล้วนๆ เลยนะครับ”
เซเมคิสกล่าวว่า แม้ว่าเทคโนโลยีจะทำให้ทีมผู้สร้างมีอิสระอย่างเหลือเชื่อในการสร้างฉากและตัวละครที่ไม่เคยปรากฏบนจอเงินมาก่อน แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นเรื่องราวอยู่ดี “เรานำผู้ชายที่ใจร้ายที่สุดในโลกมาทำให้เขาได้รับรู้ถึงความผิดพลาดของวิถีชีวิตของเขา…และเราก็มีโอกาสได้ร่วมผจญภัยไปกับเขาด้วยครับ”
การคัดเลือกนักแสดงสำหรับเรื่องราวแสนคลาสสิก
จิม แคร์รี่ย์ ก้าวมารับบทสครูจ
แม้กระทั่งตอนที่โรเบิร์ต เซเมคิสกำลังเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ ในใจเขาก็มีนักแสดงอยู่เพียงคนเดียวที่เขาอยากให้รับบทสครูจ ซึ่งก็คือจิม แคร์รี่ย์
“จิมไม่ได้เป็นเพียงนักแสดงที่วิเศษสุดเท่านั้น แต่เขายังเป็นกิ้งก่าเปลี่ยนสีด้วยครับ” สตาร์กีย์บอก “เขาสามารถสั่งการร่างกายได้ในแบบที่นักแสดงคนอื่นไม่สามารถทำได้ เขามีความสามารถหลากหลายมาก ผมจินตนาการหนังเรื่องนี้โดยไม่มีเขาไม่ได้หรอกครับ”
เช่นเดียวกับตัวผู้กำกับ เซเมคิสไม่สงสัยเลยว่า พรสวรรค์ของแคร์รี่ย์ในฐานะนักแสดงเจ้าของจินตนาการบรรเจิดและผู้ชื่นชอบการเสี่ยงจะทำให้เขาเหมาะกับบทสครูจที่สุด “ในตอนที่ผมได้สร้างหนังเพอร์ฟอร์แมนซ์ แคปเจอร์เรื่องแรก แล้วรู้ถึงศักยภาพของสิ่งที่ผมสามารถทำได้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงนักแสดงเพอร์ฟอร์แมนซ์ แคปเจอร์ที่ยอดเยี่ยมอย่างจิม แคร์รี่ย์” ผู้กำกับกล่าว “ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอย่างเหลือเชื่อ และเขาก็เก่งในเรื่องการสร้างตัวละคร ซึ่งทำให้เขาสามารถเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกของเขาไปได้อย่างสิ้นเชิง พรสวรรค์ของเขาในฐานะนักแสดงและนักแสดงตลกถูกรวมกันอยู่ในการแสดงของเขาครับ”
ผู้อำนวยการสร้างแร็ปเก้กล่าวเห็นพ้องด้วย “มันมีที่ที่เขาไปในแบบที่คุณไม่คิดไม่ฝันเลยว่ามันจะเป็นไปได้ เขามีความสามารถเชิงกายภาพที่ไร้ขีดจำกัดอย่างพิเศษสุด ลักษณะที่เขาเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นสครูจเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก เขาทุ่มเททุกอย่างและพยายามแสดงออกถึงความเป็นตัวละครตัวนั้นทุกอณู เขาคิดทางเลือกขึ้นมาได้มากมายและทุกทางเลือกก็ล้วนแล้วแต่ยอดเยี่ยมทั้งนั้น เขามีพรสวรรค์ล้นเหลือเลยล่ะครับ”
“สครูจ” แคร์รี่ย์กล่าว “ไม่ใช่คนที่รักชีวิตซักเท่าไหร่ เขาอยากจะใช้ชีวิตตามลำพัง เขาไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องจิตวิญญาณที่อาศัยอยู่ตามภูเขา เขาเป็นคนที่อยากจะทำให้กรงของเขาสะดวกสบายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพราะถ้าเขาก้าวพ้นกรงนี้ไป เขาก็จะถูกผู้คนพบเห็น เขากลัวว่าคนจะรู้ว่าเขาเป็นคนที่โศกเศร้าและหัวใจสลายครับ”
แต่แคร์รี่ย์เชื่อว่าสครูจเป็นอะไรที่มากกว่าคนขี้เหนียวคนหนึ่ง “ไม่มีใครเป็นแค่สิ่งหนึ่งหรอกครับ พวกเราทุกคนก็เช่นกัน และโดยทั่วไปแล้ว ข้างใต้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นก็จะมีความดีงามอยู่ครับ”
“ด้วยความที่วิญญาณทุกตนเป็นอีกส่วนหนึ่งของสครูจ ก็เลยเป็นเรื่องเหมาะสมที่ทุกตนต่างก็มีความเป็นสครูจอยู่ในตัวเอง และเป็นเรื่องเหมาะสมที่จะให้จิมเล่นบทพวกนั้นทั้งหมดด้วยครับ”
-โรเบิร์ต เซเมคิส ผู้กำกับ/ผู้อำนวยการสร้าง/มือเขียนบท-
ไม่เพียงแต่แคร์รี่ย์จะรับบทเฒ่าขี้เหนียวสครูจเท่านั้น แต่ข้อได้เปรียบทางด้านเทคโนโลยีของเรื่องทำให้แคร์รี่ย์สามารถรับบทเป็นสครูจได้ในทุกช่วงอายุ ไม่ว่าจะเป็นตอนอายุเจ็ดขวบ ที่เป็นเด็กโดดเดี่ยว ไร้เพื่อน นั่งอยู่ตามลำพังที่โรงเรียน หรือตอนเป็นชายชรา ร่างงองุ้ม อ่อนแอ เทคโนโลยีนี้ได้บันทึกการแสดงอันเป็นเอกลักษณ์ของแคร์รี่ย์ขณะที่นักแสดงหนุ่มได้แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในช่วงชีวิตของตัวละครตัวนี้ “เขาเป็นชายที่รู้สึกเจ็บปวดครับ” แคร์รี่ย์กล่าว “เขาเป็นคนที่ใครๆ ก็ไม่รัก”
นอกจากนี้ แคร์รี่ย์ยังรับบทเป็นวิญญาณคริสต์มาสแห่งอดีต วิญญาณคริสต์มาสแห่งปัจจุบันและวิญญาณคริสต์มาสแห่งอนาคตที่ยังมาไม่ถึงอีกด้วย “ด้วยความที่วิญญาณทุกตนเป็นอีกส่วนหนึ่งของสครูจ ก็เลยเป็นเรื่องเหมาะสมที่ทุกตนต่างก็มีความเป็นสครูจอยู่ในตัวเอง” เซเมคิสกล่าว “และเป็นเรื่องเหมาะสมที่จะให้จิมเล่นบทพวกนั้นทั้งหมดด้วยครับ”
เซเมคิสได้เลือกนักแสดงคนอื่นๆ อีกหลายคนให้รับบทบาทมากกว่าหนึ่งบท แกรี่ โอลด์แมนรับบท บ็อบ แคร็ทชิท หนุ่มขี้อายผู้มองโลกในแง่ดี และไทนี ทิม ลูกชายที่ป่วยหนักของแคร็ทชิท รวมถึงวิญญาณของมาร์ลี่ย์ด้วย “เราได้เลือกนักแสดงยอดเยี่ยม ผู้เป็นปรมาจารย์ในการปลอมแปลงตัวเองครับ” เซเมคิสกล่าว
“แกรี่ โอลด์แมนเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุคปัจจุบัน และการได้ดูเขามาสวมบทตัวละครเหล่านี้ ที่ต้องอาศัยบุคลิกและประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไปก็เป็นเรื่องที่น่าทึ่งครับ” แร็ปเก้กล่าวเสริม
โคลิน เฟิร์ธ นักแสดงละครเวทีชาวอังกฤษ เป็นหนึ่งในนักแสดงเพียงไม่กี่คนที่ได้แสดงเพียงแค่บทเดียว แต่เขาก็รับบทเป็นตัวละครสำคัญในเรื่อง เฟิร์ธรับบทเฟร็ด หนุ่มร่าเริง ผู้ซึ่งการมองชีวิตในแง่ดีของเขาตรงข้ามกับลุงสครูจเจ้าอารมณ์ของเขาชนิดสุดขั้ว
“เฟร็ดเป็นคนที่ตรงกันข้ามกับสครูจครับ” เฟิร์ธอธิบาย “เขาเป็นตัวเปรียบเทียบ ถ้าสครูจเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายสุดๆ เฟร็ดก็เป็นคนที่มองโลกในแง่ดีสุดๆ ผมคิดว่าเฟร็ดมองชีวิตอย่างเรียบง่ายมากๆ ‘ทำไมเราถึงเป็นเพื่อนกันไม่ได้ล่ะ มันไม่ซับซ้อนซักหน่อย ผมเชิญคุณไปดินเนอร์ ทำไมเราไม่ไปดินเนอร์ด้วยกันล่ะ’ ผมคิดว่าเขาเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณคริสต์มาสโดยแท้ เขาไม่มีจิตคิดร้ายกับใครเลย”
“โคลิน เฟิร์ธเป็นนักแสดงที่มีเสน่ห์ครับ” สตาร์กีย์กล่าว “เขาเป็นหนุ่มอังกฤษที่สมบูรณ์แบบเลยล่ะ”
โรบิน ไรท์ เพนน์ ผู้ร่วมแสดงใน Beowulf ภาพยนตร์เพอร์ฟอร์แมนซ์ แคปเจอร์เรื่องก่อนหน้านี้ของเซเมคิส และภาพยนตร์ฮิตของผู้กำกับเรื่อง Forrest Gump รับบทเบลล์ หญิงสาวสวย ผู้ซึ่งสครูจเลือกที่จะไม่ไล่ตาม และทำให้เขาหันหลังให้กับชีวิตรักและแสงสว่างในชีวิตเขา นอกจากนี้ เพนน์ยังรับบทแฟน น้องสาวของสครูจ ผู้ซึ่งสครูจรักมาก และเขาก็ไม่เคยทำใจกับการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของเธอได้เลย
“โรบินเป็นส่วนหนึ่งของคณะรีเพอร์ทอรีของเราครับ” แร็ปเก้บอก “มันไม่มีบทผู้หญิงบทไหนเลยที่เราไม่ได้คิดถึงเธอก่อน นอกจากนี้ เธอยังมีพรสวรรค์มาก และเธอก็เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวสร้างสรรค์ของเราด้วยครับ”
“ในฐานะเบลล์ เธอเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาที่หล่อหลอมสครูจวัยชราขึ้นมา” แร็ปเก้กล่าวต่อ “เธอเป็นหญิงที่เขารัก เธอเป็นตัวแทนของสิ่งที่อาจจะเป็น และเป็นต้นเหตุของความทุกข์ตรมของสครูจ ชีวิตของเขาคงจะแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง และสำหรับแฟน เราต้องการคนที่จะมาถ่ายทอดถึงความไร้เดียงสาที่งดงามนั้น ความมีชีวิตชีวาที่ค่อนข้างจะไร้เดียงสา และคนคนนั้นคือโรบินครับ”
ทีมผู้สร้างได้เลือก บ็อบ ฮอสกินส์ หนึ่งในนักแสดงที่โด่งดังที่สุดของอังกฤษ ให้มาร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ฮอสกินส์เลิกเรียนตั้งแต่อายุ 15 ปีเพื่อมาเป็นนักแสดง การแสดงที่ทำให้เขาโด่งดังคือบทบาทที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดใน Mona Lisa ในปี 1987 และเขาก็ยังคงสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ชมในภาพยนตร์มากมายเช่น Nixon, aid in Manhattan และ Henderson Presents
“มันมีความหลังที่น่าทึ่งระหว่างบ็อบ เซเมคิสและบ็อบ ฮอสกินส์เพราะหนังเรื่อง Who Framed Roger Rabbit? ครับ” แร็ปเก้กล่าว “บ็อบบอกว่า ‘คนเพียงคนเดียวที่ผมมองเห็นว่าสามารถเป็นเฟสซิวิกได้คือบ็อบ ฮอสกินส์ เขาสามารถเต้นรำได้ และเขาก็มีใบหน้าที่มีเสน่ห์ แล้วบ็อบก็น่าจะเล่นเป็นเฒ่าโจด้วย เขาน่าจะเหมาะกับบทนั้นเหมือนกัน’ น่ะครับ”
แม้ว่าจะผ่านมา 20 ปีแล้วที่เขาไม่ได้ร่วมงานกับเซเมคิส แต่ฮอสกินส์ก็รู้สึกตื่นเต้นที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับผู้กำกับเซเมคิสอีกครั้งหนึ่ง “เหตุผลหลักที่ทำให้ผมรับเล่นหนังเรื่องนี้คือการได้ร่วมงานกับโรเบิร์ต เซเมคิสอีกครั้งหนึ่งครับ” ฮอสกินส์กล่าว “บ็อบเป็นไอน์สไตน์แห่งโลกภาพยนตร์ จินตนาการของเขาเป็นสิ่งที่คุ้มค่ากับการดูชมเสมอ มันน่าทึ่ง ผมชื่นชอบเซเมคิสมาโดยตลอด เขาเพี้ยนเหมือนกับกระต่ายมาร์ชก็จริง แต่ผมก็ชอบเขานะครับ” ฮอสกินส์กล่าวกลั้วหัวเราะ
ผู้ที่แสดงเคียงข้างฮอสกินส์ในบทคุณนายดิลเบอร์คือฟิออนนูลา ฟลานาแกน นักแสดงหญิงชาวไอริชที่ฝึกฝนด้านการแสดงจากโรงละครแอ็บบี้ ผลงานของฟลานาแกนที่มีทั้งภาพยนตร์และละครเวทีได้แก่ Divine Secrets of the Ya Ya Sisterhood, Transamerica และ Waking Ned Divine ทีมผู้สร้างได้ทาบทามฟลานาแกนให้รับบทหญิงทำความสะอาดของสครูจ เธอเป็นหญิงยากจนที่ฉกฉวยโอกาสจากการเสียชีวิตของเจ้านายเธอด้วยการขโมยทรัพย์สินส่วนตัวของเขาและต่อรองราคาข้าวของเหล่านั้นกับเฒ่า“วิธีการเฉลิมฉลองของพวกเขาคือการโอ้อวดสิ่งที่เธอสามารถขโมยมาได้จากบ้านของสครูจค่ะ” ฟลานาแกนกล่าว
แครี่ เอลเวส นักแสดงมากความสามารถร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ในหลายบทบาทที่แตกต่างกันอย่างมาก เขาเป็นทั้งนักไวโอลินเพี้ยนที่เล่นดนตรีในงานเลี้ยงใหญ่ของเฟสซิวิก, ดิค วิลคินส์ เพื่อนร่วมห้องของสครูจในอดีต และนักธุรกิจที่ถูกสครูจขับไล่เมื่อเขามาขอรับบริจาคเพื่อผู้ยากไร้
“แครี่รับบทเป็นตัวละครหลายตัว และเขาก็มีความสามารถที่จะแสดงได้ทุกบทบาทครับ” สตาร์กีย์กล่าว
เอลเวส์มีความผูกพันที่ไม่ธรรมดากับเรื่องราวนี้ เขามีความเกี่ยวข้องจริงๆ กับชายที่ถูกเชื่อว่าเป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวละครสครูจ “จอห์น เมกิด เอลเวส บรรพบุรุษของผม ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขี้เหนียวครับ” เอลเวสกล่าว “เขาเป็นนักการเมืองผู้เปลี่ยนชื่อของตัวเองจากเมกิดมาเป็นเอลเวสเพื่อให้ถูกใจลุงของเขา ท่านเซอร์ฮาร์วี่ย์ เอลเวส ผู้รู้ว่าตัวเองกำลังจะตายโดยไม่มีทายาท และเขาก็มีเงินมากมายก่ายกอง และแผนนั้นก็ได้ผล เขาได้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดของฮาร์วี่ย์ และกลายเป็นคนขี้เหนียวที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ เขาขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่ไม่เคยเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยด้วยครับ”
นักแสดงที่เหลือของเรื่องคือเลสลี่ย์ แมนวิลล์ในบทคุณนายแคร็ทชิท, เลสลี่ย์ เซเมคิสในบทภรรยาของเฟร็ด และพอล แบล็คธอร์นในบทสามีของเบลล์ นักแสดงรุ่นเยาว์หกคน ที่มีอายุระหว่าง 7-17 ปีถูกเลือกให้รับบทตัวละครอื่นๆ ซึ่งรวมถึงเด็กๆ ครอบครัวแคร็ทชิท, ลูกๆ ของเบลล์, เด็กเร่ร่อนและเด็กในคณะคอรัส พวกเขาประกอบไปด้วยเซจ ไรอัน, แซมมี แฮนแร็ตตี้, มอลลี ควินน์, ดาริล ซาบาราและสองพี่น้องไรอันและเรย์มอนด์ โอชัว
เซเมคิสบนเก้าอี้ผู้กำกับ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่องราว
“ผมคิดว่าสิ่งที่ทำให้เขาเป็นผู้กำกับที่พิเศษสุดคือการที่หนังของเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่บล็อกบัสเตอร์เท่านั้น แต่มันยังเป็นหนังที่ผู้คนซาบซึ้งกับมันแม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน พวกมันกลายเป็นหนังเรื่องโปรดของผู้ชม ซึ่งก็เป็นเพราะตัวละครและเรื่องราวครับ”
-โคลิน เฟิร์ธ ผู้รับบท เฟร็ด
ผลงานภาพยนตร์ที่โด่งดังอย่าง Forrest Gump, ไตรภาค Back to the Future, Cast Away และ The Polar Express ทำให้ผู้กำกับโรเบิร์ต เซเมคิส เจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะผู้กำกับผู้เชี่ยวชาญ
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการบอกเล่าเรื่องราวดีๆ
“ผมคิดว่าสิ่งที่ทำให้เขาเป็นผู้กำกับที่พิเศษสุดคือการที่หนังของเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่บล็อกบัสเตอร์เท่านั้น” โคลิน เฟิร์ธกล่าว “แต่มันยังเป็นหนังที่ผู้คนซาบซึ้งกับมันแม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน พวกมันกลายเป็นหนังเรื่องโปรดของผู้ชม มันเป็นเพราะตัวละครและเรื่องราวครับ หนังอย่าง Back to the Future วิเศษสุดในแง่ของสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ก็จริง แต่มันไม่ใช่แค่นั้น คุณอยากจะเห็นว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวละครตอนที่เขาย้อนเวลากลับไป ทุกอย่างถูกคิดคำนวณในระดับของมนุษย์ บ็อบเป็นนักเล่าเรื่องครับ”
สำหรับเซเมคิส กระบวนการเริ่มต้นด้วยการเขียนบทภาพยนตร์ การใช้แหล่งวัตถุดิบชั้นเยี่ยมนี้ทำให้กระบวนการเขียนของเขาส่งผลออกมาเป็นบทภาพยนตร์ที่ผู้ชมสมัยใหม่สามารถเข้าถึงได้แต่ก็เคารพต้นฉบับดั้งเดิมด้วยเช่นกัน
“วัตถุดิบเป็นอะไรที่ดีมากๆ อยู่แล้ว และมันก็ยังอยู่อย่างครบถ้วนครับ” ผู้อำนวยการสร้างแจ็ค แร็ปเก้กล่าว “บ็อบดัดแปลงเรื่องราวของดิคเค็นส์ได้อย่างยอดเยี่ยม มันมีความลึกซึ้งในเรื่องราว ตัวละครและการผจญภัยในแบบที่ไม่มีอะไรเทียบได้จริงๆ”
ผู้ที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ดคนนี้มองว่าเขาเป็นคนที่มีจิตใจเปิดกว้าง ชื่นชอบความแปลกใหม่และยินดีให้ความร่วมมือกับทุกเรื่อง
“เราเคยร่วมงานกันมาก่อนใน Forrest Gump ค่ะ” โรบิน ไรท์ เพนน์พูดถึงผู้กำกับ “ตอนนั้นฉันชอบเขา และตอนนี้ ฉันก็ชอบเขา เขาเป็นเหมือนซานตาคลอส เพราะเขาเป็นคนที่ทำตัวสนุกสนานและเปิดเผยกับนักแสดง เขาจะบอกว่า ‘มาลองกันเถอะ แน่นอนสิ ทำไมไม่ทำล่ะ มาลองกันดีกว่าน่า’ น่ะค่ะ มันเป็นวิธีการทำงานที่เป็นอิสระมาก ทำไมไม่ลองล่ะ ทำไมไม่พลาดล่ะ เพราะอะไรรู้มั้ย เราไม่ต้องใช้มันหรอก เขาเป็นแบบนั้นน่ะค่ะ เขาไม่ได้ยึดติดกับไอเดียต่างๆ เลย”
ผู้ออกแบบงานสร้างดั๊ก เชียง ผู้เคยร่วมงานกับเซเมคิสมาก่อนใน The Polar Express, Monster House และ Beowulf กล่าวเสริมว่า “บ็อบเป็นผู้กำกับที่วิเศษสุดที่ผมได้ร่วมงานด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะเขามักจะผลักดันขอบเขตของการออกแบบออกไปเสมอ และสิ่งที่ผมชื่นชอบก็คือแม้แต่ในมีตติ้งช่วงแรกๆ สิ่งที่เขาบรรยายและสิ่งที่ผมคิดเอาไว้ระหว่างนั้นก็มักจะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวเดียวของสิ่งที่เขาต้องการทำ และนั่นก็คือสิ่งที่ผมชื่นชอบในฐานะดีไซเนอร์ เพราะผมรู้ว่าไม่ว่าเราจะเริ่มต้นด้วยอะไรก็ตามในช่วงสองสามสัปดาห์แรก ผลสำเร็จจะต้องเป็นอะไรยิ่งกว่านั้นสิบเท่า และในฐานะดีไซเนอร์แล้ว สิ่งที่ผมได้จากบ็อบคือความน่าประหลาดใจ และความท้าทายของสิ่งที่คาดไม่ถึงครับ”
“บ็อบ เซเมคิสสร้างความท้าทายให้กับทุกคนที่ร่วมงานกับเขาครับ” สตาร์กีย์กล่าว “เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่วิเศษสุด เขาต้องการการมีส่วนร่วมกับทุกคนที่อยู่รอบด้านเขาจริงๆ และเขาก็ต้องการความเห็นจากทุกคนที่ร่วมงานกับเขาด้วย เขาเป็นคนฉลาดมากๆ และมีความรู้พอๆ กับผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ และเขาก็ท้าทายพวกเขาในศาสตร์ของพวกเขา เขามักจะทดลองใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ และเรื่องราวใหม่ๆ อยู่เสมอ ดังนั้น คุณก็จะได้สิ่งที่ดีที่สุดจากทั้งสองอย่าง คุณจะได้ผลักดันหนังสู่อนาคตและในขณะเดียวกัน ก็ได้บอกเล่าเรื่องราวที่ไม่เคยมีคนเคยได้ดูได้ชมมาก่อนด้วยครับ”
เสียงของเทศกาลคริสต์มาส
ทีมผู้สร้างหันไปหาผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการสำหรับซาวน์แทร็คของเรื่อง
ผู้กำกับโรเบิร์ต เซเมคิสไม่ต้องคิดให้มากความเลยว่าเขาจะเลือกใครมาแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ให้กับ DISNEY’S A CHRISTMAS CAROL คอมโพสเซอร์อลัน ซิลเวสทรีเป็นตัวเลือกแรกของเขา “ผมกับอลันร่วมกันมาตั้ง 25 ปีแล้วนะครับ” เซเมคิสกล่าว
ทั้งคู่เริ่มต้นทำงานร่วมกันในภาพยนตร์โดยเซเมคิสเรื่อง Romancing the Stone ดนตรีประกอบที่ตื่นเต้นของซิลเวสทรีได้ช่วยทำให้แอ็กชันคอเมดีเรื่องนั้นได้รับความนิยมอย่างสูง นอกจากนี้ พวกเขายังได้ร่วมงานกันอีกในภาพยนตร์หลายเรื่อง รวมถึงแฟรนไชส์ Back to the Future, Who Framed Roger Rabbit, Forrest Gump ภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลออสการ์ (ที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม), Contact, What Lies Beneath, Cast Away (ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลแกรมมี อวอร์ดสาขาการประพันธ์ดนตรียอดเยี่ยม) และภาพยนตร์แฟนตาซีสำหรับคริสต์มาสที่น่าตื่นตาตื่นใจ The Polar Express เพลง Believe ที่จอช โกรแบนเป็นคนร้องและซิลเวสทรีร่วมเขียนกับเกลน บัลลาร์ด ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและได้รับรางวัลแกรมมี อวอร์ดสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นอกจากนั้นแล้ว เซเมคิสและซิลเวสทรียังได้ร่วมงานกันในอีพิคเรื่อง Beowulf อีกด้วย
“มันเป็นพรจากสวรรค์อย่างแท้จริงที่หนึ่งในนักร้องเทเนอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเราได้ใช้พรสวรรค์ของเขาในการขับร้องเพลงที่กระตุ้นอารมณ์และทรงพลังเช่นนี้ เรารู้สึกโชคดีอย่างยิ่งครับ”
-แจ็ค แร็ปเก้ ผู้อำนวยการสร้าง
สำหรับ DISNEY’S A CHRISTMAS CAROL ทั้งคู่ได้ใช้กระบวนการร่วมงานกันแบบเดิมกับที่พวกเขาใช้ในภาพยนตร์ทุกเรื่อง “เหมือนเคย” เซเมคิสกล่าว “ผมขอให้อลันทำดนตรีที่ขับเน้นอารมณ์ในฉากต่างๆ ออกมาครับ”
ผู้อำนวยการสร้างแจ็ค แร็ปเก้กล่าวเสริมว่า “ดนตรีเป็นองค์ประกอบสำคัญของหนังทั้งเรื่อง มันเป็นโอกาสสุดท้ายของเราที่จะบอกเล่าเรื่องราว และขับเน้นอารมณ์และความตื่นเต้นครับ”
ดนตรีคลาสสิกของซิลเวสทรีได้รับการบันทึกเสียงโดยวงดนตรีออร์เคสตรา 103 ชิ้นในลอสแองเจลิส “มันเป็นดนตรีที่พลิ้วไหว และทรงพลังครับ” แร็ปเก้กล่าว “มันอ่อนโยนตอนที่ต้องอ่อนโยนและทรงพลังในตอนที่ต้องทรงพลังครับ”
ซิลเวสทรีได้ร่วมงานกับเกลน บัลลาร์ดเพื่อสร้างสรรค์เพลงที่เหมาะสมกับการถ่ายทอดภาพยนตร์เรื่องนี้ God Bless Us Everyone ซึ่งเป็นเพลงใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคำพูดของไทนี ทิมในตอนจบของเรื่อง ถูกขับร้องโดยอังเดร บอชเชลลี เซเมคิสกล่าวว่า “บอชเชลลีได้ยินเพลงวิเศษสุดที่เกลน บัลลาร์ดและอลัน ซิลเวสทรีแต่งขึ้น และเขาก็ตัดสินใจในทันทีที่จะร้องเพลงนี้ ผมคิดว่าเพลงนี้จะต้องกลายเป็นเพลงคริสต์มาสที่คลาสสิกอย่างแน่นอน”
แร็ปเก้กล่าวเสริมว่า “เราได้ยินมาว่าอังเดร บอชเชลลีกำลังทำอัลบัมคริสต์มาสอยู่ และด้วยโชคชะตาดลบันดาลทำให้เขามีเวลาที่จะบันทึกเสียงเพลงที่เหลือเชื่อเพลงนี้ได้ มันเป็นพรจากสวรรค์อย่างแท้จริงที่หนึ่งในนักร้องเทเนอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเราได้ใช้พรสวรรค์ของเขาในการขับร้องเพลงที่กระตุ้นอารมณ์และทรงพลังเช่นนี้ เรารู้สึกโชคดีอย่างยิ่งครับ”
“ดิสนีย์มีความหมายเท่ากับความฝัน และผมก็รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในโปรเจ็กต์นี้ครับ” บอชเชลลีกล่าว “พวกเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือเด็กๆ ต่างก็เติบโตขึ้นมาด้วยการเฝ้ารอวันคริสต์มาส ที่มีตัวละครเหล่านั้น ที่เป็นที่รักของคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า ตัวแทนของความดีงามที่ไม่ลบเลือนหายไปกับกาลเวลา
“การจับคู่กันระหว่างดิคเค็นส์และดิสนีย์เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมและสร้างแรงบันดาลใจครับ” บอชเชลลีกล่าว “หนังเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น และถูกหล่อเลี้ยงด้วยความฝันที่ว่า ไม่นานความชั่วร้ายก็จะถูกกำจัดและคนดีก็จะเป็นฝ่ายมีชัย เรารู้สึกเอ็นดูชายชราขี้เหนียวคนนี้ มันไม่ได้มีทั้งความเกลียดชังหรือความขัดแย้งใดๆ เรื่องราวนี้เตือนให้เรารำลึกได้ว่า มันมีเวลาที่เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองจนกระทั่งถึงตอนสุดท้ายครับ”
บอชเชลลีกล่าวว่า เพลง God Bless Us Everyone ถ่ายทอดจิตวิญญาณของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างแท้จริง “มันเป็นเพลงที่อ่อนหวานและยิ่งใหญ่ ที่มีพลังกระตุ้นเร้าความรู้สึกอย่างน่าประหลาด มันจะเร้าสัมผัสของเราและบอกเราถึงชัยชนะของการให้อภัยและการไถ่บาปครับ”
ไม่เพียงแต่บอชเชลลีจะร้องเพลงนี้เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่เขายังได้ร้องเพลงนี้ในภาษาสเปนและอิตาเลียนด้วย “มันมีภาษามากมาย แต่มีเพียงคริสต์มาสเดียว แค่เพลงเดียว ซึ่งเป็นเพลงจากหัวใจครับ” บอชเชลลีกล่าว “ผมชอบร้องเพลงในภาษาอื่นๆ รวมถึงอิตาเลียน มันทำให้ผมเกิดความรู้สึกของการมีส่วนร่วม การได้ใกล้ชิดกับคนบนโลกใบนี้ คนที่อยากจะแบ่งปันทุกข์สุขด้วยกันน่ะครับ แน่นอนครับ บางครั้งมันก็ต้องอาศัยสมาธิอย่างมากในการสะกดคำบางคำในภาษาอังกฤษ แต่ผมก็พอใจกับผลงานของผมที่ผมมักจะทำมันด้วยความรักและความทุ่มเท เพลงนี้เกิดจากความปรารถนาที่อยากจะทำตัวดีขึ้นเสมอๆ ไม่ใช่เพียงแค่วันเดียวในหนึ่งปีครับ”
วอลท์ ดิสนีย์จะเผยแพร่ซาวน์แทร็คของภาพยนตร์เรื่องนี้ในรูปแบบดิจิตอล ในวันที่ 3 พฤศจิกายน ปี 2009 โดยซาวน์แทร็คของเรื่องจะมีดนตรีประกอบภาพยนตร์ฝีมือซิลเวสทรี 17 เพลงรวมถึงเพลง God Bless Us Everyone ด้วย
เกี่ยวกับนักแสดง
จิม แคร์รี่ย์ (สครูจ, วิญญาณคริสต์มาสอดีต วิญญาณคริสต์มาสปัจจุบัน และวิญญาณคริสต์มาสอนาคตที่ยังมาไม่ถึง) แสดงประกบยวน แม็คเกรเกอร์ในเรื่อง I Love You Phillip Morris คอเมดีตลกร้ายที่เขียนบทโดยและเป็นผลงานการกำกับเรื่องแรกโดยเกลนน์ ฟิคาร์รา และจอห์น เรคัว ทีมงานเขียนบทเบื้องหลัง Bad Santa ภาพยนตร์ที่อ้างอิงจากเรื่องจริงเรื่องนี้ ซึ่งสร้างขึ้นจากหนังสือโดย สตีฟ แม็ควิคเกอร์ นักข่าวอาชญากรรมของหนังสือพิมพ์ ฮูสตัน โครนิเคิล นำแสดงโดยแคร์รี่ย์ในบทสตีเวน รัสเซล ชายมีครอบครัวผู้ซึ่งการกระทำของเขาส่งผลให้เขาต้องเข้ารับโทษตามระบบศาลยุติธรรมเท็กซัส ในคุก เขาตกหลุมรักเพื่อนร่วมห้องขัง (แม็คเกรเกอร์) ผู้ซึ่งท้ายที่สุดก็ถูกปล่อยตัว และทำให้รัสเซลหนีออกจากคุกเท็กซัสถึงสี่ครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้จะลงโรงในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2010
ล่าสุด แคร์รี่ย์ได้แสดงในภาพยนตร์คอเมดีฮิตของวอร์เนอร์ บรอส.เรื่อง Yes Man ที่กำกับโดยเพย์ตัน รี้ด ในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ที่สร้างขึ้นจากอนุทินโดยแดนนี วอลเลซ นักเขียนชาวอังกฤษ แคร์รี่ย์รับบทชายผู้ตัดสินใจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองด้วยการตอบว่าใช่กับทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิตเขา ภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมแสดงโดยโซอี้ เดสชาแนลและแบรดลี่ย์ คูเปอร์
ในปี 2008 แคร์รี่ย์พากย์เสียงช้างฮอร์ตันในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์สุดฮิต Horton Hears a Who! ภาพยนตร์ซีจีอนิเมชันจากทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ที่สร้างขึ้นจากหนังสือคลาสสิกโดยดร.ซุส
ในปี 2007 แคร์รี่ย์แสดงประกบเวอร์จิเนีย แมดเซนในทริลเลอร์จิตวิทยานิวไลน์เรื่อง The Number 23 ที่กำกับโดยโจล ชูมัคเกอร์ ในปี 2005 แคร์รี่ย์ได้แสดงประกบที ลีโอนีในภาพยนตร์คอเมดีจากโคลัมเบีย พิคเจอร์ส/โซนี ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง Fun with Dick and Jane ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยดีน พาริซ็อท (Galaxy Quest) และอำนวยการสร้างโดยไบรอัน เกรเซอร์ ในปี 2004 เขาได้นำแสดงในภาพยนตร์พาราเมาท์ พิคเจอร์สเรื่อง Lemony Snicket’s A Series of Unfortunate Events ที่สร้างขึ้นจากซีรีส์วรรณกรรมเยาวชนโดยแดเนียล แฮนด์เลอร์ และภาพยนตร์ดรามาชื่อดังจากโฟกัส ฟีเจอร์สเรื่อง Eternal Sunshine of the Spotless Mind
ตลอดอายุการทำงานของเขา แครี่ เอลเวส (ดิค วิลคินส์, นักไวโอลินเพี้ยน, นักธุรกิจ#1, สุภาพบุรุษร่างท้วม#1, ชายยากจน#2) มีผลงานการแสดงที่ยอดเยี่ยมและหลากหลายมาโดยตลอด เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง A Little Murder ที่เขาแสดงประกบเทอร์เรนซ์ โฮเวิร์ดและ Flying Lessons ที่เขาแสดงประกบคริสติน ลาห์ติและฮัล โฮลบรู๊ค ก่อนหน้านั้น เขาได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์โดยสตีเวน สปีลเบิร์กเรื่อง Tintin และภาพยนตร์อินดีเรื่อง Shadows ประกบวิลเลียม เฮิร์ท
เอลเวสได้เปิดตัวในโลกภาพยนตร์ด้วยผลงานโดยมาเร็ค คานีฟสก้าเรื่อง Another Country ที่สร้างขึ้นจากบทละครรางวัล และหลังจากนั้น เขาก็ได้รับบทนำในดรามาอิงประวัติศาสตร์ชื่อดังเรื่อง Lady Jane ที่เขาแสดงประกบเฮเลนา บอนแฮม คาร์เตอร์ หลังจากนั้น เขาก็ได้สร้างความน่าจดจำด้วยการรับบทเวสท์ลีย์ในภาพยนตร์เทพนิยายคลาสสิกโดยร็อบ ไรเนอร์เรื่อง The Princess Bride ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของแฟนๆ ทั่วโลก ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ได้แก่ ทริลเลอร์จิตวิทยาเรื่อง Saw, อีพิคสงครามที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง Glory, Bram Stoker’s Dracula (ที่กำกับโดยฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา), ภาพยนตร์โดยเมล บรูคส์เรื่อง Robin Hood: Men in Tights, Twister, Liar, Liar, Kiss the Girls, Shadow of the Vampire และภาพยนตร์โดยแกร์รี่ มาร์แชลเรื่อง Georgia Rule ที่เขาแสดงประกบเจน ฟอนดา
ด้านจอแก้ว เอลเวสได้เป็นดารารับเชิญในเอพิโซดลุ้นระทึกของซีรีส์ Law & Order: SVU ในบทของทนายความแก๊งอันธพาล ผู้ซึ่งครอบครัวของเขาถูกทำร้ายอย่างโหดเหี้ยม นอกเหนือจากนั้น เขายังได้รับบทพระสันตปาปาในวัยหนุ่มในภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางซีบีเอสเรื่อง Pope John Paul II ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ มินิซีรีส์ที่ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำเรื่อง From the Earth to the Moon, The Riverman, Uprising และการรับบทประจำเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการเอฟบีไอ แบรด โฟลล์เมอร์ในซีซันสุดท้ายของซีรีส์ The X-Files
เอลเวสเกิดและเติบโตในกรุงลอนดอนก่อนที่จะย้ายไปอยู่อเมริกาในช่วงวัยรุ่น เขาเข้าศึกษาในนิวยอร์กก่อนจะไปศึกษาต่อที่แอ็กเตอร์ส สตูดิโอและลี สตาร์สเบิร์ก อินสติติวท์ เอลเวสเริ่มต้นอาชีพนักแสดงในอังกฤษ บ้านเกิดเมืองนอนของเขา หลังจากนั้น เขาก็กลับนิวยอร์กก่อนที่จะย้ายไปใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิสในที่สุด
โคลิน เฟิร์ธ (เฟร็ด) นักแสดงละครเวทีคลาสสิกชาวอังกฤษ เป็นผู้ที่คร่ำหวอดในวงการบันเทิงที่มีผลงานทั้งภาพยนตร์ โทรทัศน์และละครเวทีตลอดช่วงระยะเวลาสามทศวรรษ ความสามารถหลากหลายของเขาปรากฏทั้งในดรามาและคอเมดี และเขาก็ได้รับทั้งเสียงวิจารณ์ชื่นชมและรางวัลต่างๆ มากมาย รวมถึงการได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลจากสมาพันธ์นักแสดง รางวัลเอ็มมีและรางวัลบาฟตาอีกด้วย
หลังจากนี้ เฟิร์ธจะได้นำแสดงในภาพยนตร์เรื่อง A Single Man ที่สร้างขึ้นจากนิยายชื่อดังโดยคริสโตเฟอร์ อิชเชอร์วู้ด ทอม ฟอร์ดเปิดตัวผลงานการการกำกับเรื่องแรกของเขาด้วยภาพยนตร์ที่นำแสดงโดยเฟิร์ธ ในบทของชายที่ครุ่นคิดถึงวันสุดท้ายของเขาบนโลกใบนี้ นักแสดงที่ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนั้นได้แก่จูลีแอนน์ มัวร์, จินนิเฟอร์ กู๊ดวินและแมทธิว กู๊ด เมื่อเร็วๆ นี้ เฟิร์ธเพิ่งได้รับรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์เวนิสปี 2009 ภาพยนตร์เรื่อง A Single Man จะถูกจัดจำหน่ายโดยวีนสไตน์ คัมปะนี ในวันที่ 11 ธันวาคม ปี 2009
Genova ที่กำกับโดยไมเคิล วินเทอร์บอททอมและนำแสดงโดยเฟิร์ธและแคทเธอรีน คีนเนอร์ เป็นทริลเลอร์ตึงเครียดที่เรื่องราววนเวียนอยู่กับเด็กสาวชาวอเมริกันสองคนและพ่อชาวอังกฤษของพวกเธอที่ย้ายไปอิตาลีหลังจากที่แม่ของพวกเธอเสียชีวิต Genova เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโตปี 2008 เทศกาลภาพยนตร์ลอนดอนและเทศกาลภาพยนตร์ซานเซบาสเตียน ที่ซึ่งไมเคิล วินเทอร์บอททอมได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม Genova เข้าฉายในเกาะอังกฤษ เมื่อเดือนเมษายนปี 2009 และจะถูกจัดจำหน่ายในอเมริกาโดยธิงค์ฟิล์ม
ในปี 2008 เฟิร์ธได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ฮิตที่สร้างจากมิวสิคัล ABBA ของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สเรื่อง Mamma Mia! โดยนักแสดงที่ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แก่เมอริล สตรีพ, เพียร์ซ บรอสแนน, สเตลแลน สการ์สการ์ดและอแมนดา เซย์เฟรนด์ Mamma Mia! ทำรายได้กว่าห้าร้อยล้านเหรียญทั่วโลกและกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลของเกาะอังกฤษไปแล้ว ในปีเดียวกันนั้น เฟิร์ธได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Then She Found Me ซึ่งเขียนบทและกำกับโดยเฮเลน ฮันท์ นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์จากโซนี คลาสสิกส์เรื่อง And When Did You Last See Your Father และใน Easy Virtue ที่สร้างขึ้นจากบทละครของโนเอล โคเวิร์ด และกำกับโดยสตีแฟน เอลเลียต
เฟิร์ธเป็นผู้ให้การสนับสนุนอ็อกซ์แฟม อินเตอร์เนชันแนล ซึ่งเป็นองค์กรที่มีวัตถุประสงค์ในการต่อสู้กับความยากจนและความอยุติธรรมทั่วโลก ในปี 2008 เขาได้รับการยกย่องจากเดอะ ฮอลลีวูด รีพอร์ตเตอร์ให้เป็น “นักสังคมสงเคราะห์แห่งปี” ในปี 2006 เฟิร์ธได้รับการโหวตให้เป็น “นักรณรงค์ชาวยุโรปยอดเยี่ยมแห่งปี” โดยสหภาพยุโรป
นอกจากผลงานภาพยนตร์มากมายตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี แกรี่ โอลด์แมน (บ็อบ แคร็ทชิท, มาร์ลี่ย์วัยหนุ่ม, วิญญาณมาร์ลี่ย์, ไทนี ทิม) ยังเป็นที่รู้จักของผู้คนหลายล้านคนจากบทซิเรียส แบล็ค (พ่อทูนหัวของแฮร์รี่ พ็อตเตอร์), สารวัตรจิม กอร์ดอน (คู่หูในการต่อสู้อาชญากรรมของแบทแมน), แดร็คคูลา, บีโธเฟน, ลี ฮาร์วีย์ ออสวัลด์, โจ ออร์ตัน, ซิด วิเชียสและผู้ก่อการร้ายที่ยึดเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วันของแฮร์ริสัน ฟอร์ด นอกจากนี้ เขายังนำแสดงในภาพยนตร์โดยลุค เบซงเรื่อง The Professional และ The Fifth Element และรับบทดร.แซ็คคารี สมิธในภาพยนตร์เรื่อง Lost in Space
โอลด์แมน ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักแสดงผู้บุกเบิกในยุคของเขา และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ได้แสดงในภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จเป็นจำนวนมากกว่านักแสดงคนไหนๆ ตลอดระยะเวลา 18 ปีที่ผ่านมา และเขายังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ที่ติดอันดับท็อปเท็นของการทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์มากกว่าหนึ่งเรื่องอีกด้วย
อาชีพนักแสดงของโอลด์แมนเริ่มต้นขึ้นในปี 1979 และจำกัดอยู่เพียงละครเวทีเท่านั้น ระหว่างปี 1985-1989 เขาได้แสดงที่รอยัล คอร์ทในกรุงลอนดอน ภาพยนตร์บีบีซีเรื่องแรกๆ ของเขาได้แก่ภาพยนตร์โดยไมค์ ลีห์เรื่อง Meantime และ The Firm โดยอลัน คลาร์ก ผู้ล่วงลับ ผลงานภาพยนตร์หลังจากนั้นของเขาได้แก่ Sid and Nancy, Prick Up Your Ears ที่กำกับโดยสตีเฟน เฟรียส์, Rosencrantz and Gildenstern are Dead ที่กำกับโดยทอม สต็อพเพิร์ด, State of Grace, JFK ที่กำกับโดยโอลิเวอร์ สโตน, Bram Stoker’s Dracula ที่กำกับโดยฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา, Romeo is Bleeding, True Romance ที่กำกับโดยโทนี สก็อตต์, The Professional, Murder in the First, Immortal Beloved และ The Scarlet Letter ที่กำกับโดยโรแลนด์ จอฟฟ์
ในปี 1995 เขาและผู้จัดการ/คู่หูในการอำนวยการสร้าง ดักกลาส เออร์เบินสกี้ ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทโปรดักชันขึ้น โดยบริษัทแห่งนี้ได้อำนวยการสร้างผลงานการกำกับเรื่องแรกของโอลด์แมนเรื่อง Nil By Mouth ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับ 9 จาก 17 รางวัลใหญ่ ที่มันได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล และได้รับเลือกให้เป็นภาพยนตร์เปิดสายการประกวดหลักในงานครบรอบ 50 ปี เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ซึ่งเคธี เบิร์ค ได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม นอกจากนี้ โอดล์แมนยังได้รับรางวัลผู้กำกับแชนแนลโฟร์อันทรงเกียรติจากงานเทศกาลภาพยนตร์เอดินเบิร์กห์ และรางวัลบริติช อคาเดมี อวอร์ด (ร่วมกับดักกลาส เออร์เบินสกี้) สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และรางวัลบาฟตา สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมอีกด้วย
ในระยะเวลา 18 ปีที่ผ่านมา โอลด์แมนได้แสดงในภาพยนตร์เก้าเรื่องที่เปิดตัวที่อันดับหนึ่งของบ็อกซ์ออฟฟิศ และภาพยนตร์ที่เขาได้ร่วมแสดงนั้นก็ทำรายได้รวมกันเป็นหลายพันล้านเหรียญ
บ็อบ ฮอสกินส์ (เฟสซิวิก, เฒ่าโจ) หนึ่งในนักแสดงที่โด่งดังที่สุดของอังกฤษ ได้ประสบความสำเร็จในทั้งสองฟากฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก โดยเขามีผลงานในภาพยนตร์อังกฤษและอเมริกันอย่างสม่ำเสมอ ผลงานที่โด่งดังที่สุดของเขาได้แก่ Who Framed Roger Rabbit?, Cotton Club, Mermaids, Nixon, Maid in Manhattan และ Mrs. Henderson Presents
ฮอสกินส์เกิดในเบรี เซนต์ เอ็ดมอนด์, ซัฟฟอล์ค เขาเลิกเรียนเมื่ออายุ 15 ปีด้วยความใฝ่ฝันจะเป็นนักแสดง เขาทำงานเล็กๆ น้อยๆ หาเลี้ยงชีพ (รวมถึงการเป็นคนกินไฟในสวนสัตว์ด้วย) ก่อนที่จะได้งานประจำเป็นนักแสดงละครเวทีและละครโทรทัศน์อังกฤษ ผู้ชมอเมริกันสังเกตเห็นเขาเป็นครั้งแรกจากบทนำในมินิซีรีส์อังกฤษของเดนนิส พ็อตเตอร์เรื่อง Pennies from Heaven ฮอสกินส์ได้เปิดตัวในโลกภาพยนตร์ด้วยผลงานโดยจอห์น ไบรัมเรื่อง Inserts ในปี 1975 แต่ผลงานที่ทำให้เขาโด่งดังคือภาพยนตร์โดยนีล จอร์แดนเรื่อง Mona Lisa (1987) ภาพยนตร์เรื่องนั้นทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและได้รับรางวัลบาฟตา รางวัลลูกโลกทองคำ รางวัลจากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์และรางวัลจากสมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอสแองเจลิส สมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอนดอน สมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์นิวยอร์กและสมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติ
ล่าสุด ฮอสกินส์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมและรางวัลบริติช อินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากการแสดงประกบจูดี้ เดนช์ในภาพยนตร์เรื่อง Mrs. Henderson Presents
นอกจากนี้ ฮอสกินส์ยังได้นำแสดงในบทผู้นำเผด็จการแห่งศตวรรษที่ 20 สองคนในมินิซีรีส์เรื่อง Noriega: God’s Favorite และ Mussolini: Decline and Fall of Il Duce และบทวินสตัน เชอร์ชิล ในภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางซีบีเอสเรื่อง World War II: When Lions Roared อีกด้วย
เขาได้กำกับตัวเองในภาพยนตร์เรื่อง Rainbow และเขียนบท กำกับและนำแสดงในภาพยนตร์เรื่อง The Raggedy Rawney นอกจากนี้ เขายังได้อำนวยการสร้างและนำแสดงในภาพยนตร์ปี 1996 เรื่อง Secret Agent ที่สร้างขึ้นจากนิยายโดยโจเซฟ คอนราดอีกด้วย
ผลงานภาพยนตร์ส่วนหนึ่งของเขาได้แก่ The Long Good Friday, Brazil, A Prayer for the Dying, The Lonely Passion of Judith Hearne, Shattered, Hook, The Inner Circle, Michael, 24 7: Twenty Four Seven, Cousin Bette, Felicia’s Journey, Enemy at the Gates, The Last Orders, Vanity Fair, Beyond the Sea, Stay, Elizabeth Rex และ Unleashed
โรบิน ไรท์ เพนน์ (เบลล์, แฟน) เปิดตัวในโลกภาพยนตร์ด้วยผลงานคัลท์คลาสสิกโดยร็อบ ไรเนอร์เรื่อง The Princess Bride และนับตั้งแต่นั้นมา เธอก็กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกภาพยนตร์
หลังจากนี้ ไรท์ เพนน์จะได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง The Private Lives of Pippa Lee ประกบจูลีแอนน์ มัวร์, อลัน อาร์กิน, คีอานู รีฟส์และเบลค ไลฟ์ลี ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินปี 2009 และจะลงโรงในอเมริกาในเดือนพฤศจิกายน ปี 2009
ไรท์ เพนน์ได้รับการยกย่องจากการแสดงยอดเยี่ยมของเธอตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เมื่อเร็วๆ นี้ เธอได้รับรางวัลเกียรติยศจากงานเทศกาลโดวิลล์ครั้งที่ 35 การได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสองครั้งแรกของเธอ ซึ่งก็คือรางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลสมาพันธ์นักแสดง สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม เกิดขึ้นในปี 1995 จากการแสดงอันน่าจดจำในบทเจนนีในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของโรเบิร์ต เซเมคิสเรื่อง Forrest Gump ไรท์ เพนน์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์นักแสดงเป็นครั้งที่สองในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในภาพยนตร์โดยนิค คาสซาเวทส์เรื่อง She’s So Lovely และได้รับการเสนอชื่อเป็นครั้งที่สามในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์หรือมินิซีรีส์ ในภาพยนตร์โดยเฟร็ด เชพพิซีเรื่อง Empire Falls เธอได้รับการเสนอชื่อชิงสามรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต จากการแสดงของเธอในภาพยนตร์โดยเอริน ดิ๊กแนมเรื่อง Loved, ภาพยนตร์โดยโรดริโก การ์เซียเรื่อง Nine Lives และภาพยนตร์โดยเจฟ สแตนซ์เลอร์เรื่อง Sorry, Haters นอกเหนือจากนั้น ไรท์ เพนน์ยังได้นำแสดงและรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างในภาพยนตร์โดยเด็บราห์ แคมป์ไมเออร์เรื่อง Virgin ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต สาขาภาพยนตร์เปิดตัวยอดเยี่ยม หรือรางวัลจอห์น คาสซาเวทส์ อวอร์ด
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ภาพยนตร์โดยแบร์รี่ เลวินสันเรื่อง What Just Happened และภาพยนตร์โดยเด็บราห์ แคมป์ไมเออร์เรื่อง Hounddog ซึ่งตัวไรท์ เพนน์เองรับหน้าที่ควบคุมงานสร้าง, ภาพยนตร์โดยเควิน แม็คโดนัลด์เรื่อง State of Play, ภาพยนตร์โดยแอนโธนี มิงเกลลาเรื่อง Breaking and Entering, ภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต เซเมคิสเรื่อง Beowulf, ภาพยนตร์โดยคีธ กอร์ดอนเรื่อง The Singing Detective, ภาพยนตร์โดยปีเตอร์ คอสมินสกี้เรื่อง White Oleander, ภาพยนตร์โดยแอนโธนี ดราซานเรื่อง Hurlyburly, ภาพยนตร์โดยฌอน เพนน์เรื่อง The Pledge, ภาพยนตร์โดยหลุยส์ แมนโดกิเรื่อง Message in a Bottle, ภาพยนตร์โดยเอ็ม. ไนท์ ชยามาลานเรื่อง Unbreakable, ภาพยนตร์โดยเพน เดนแชมเรื่อง Moll Flanders, ภาพยนตร์โดยแบร์รี่ เลวินสันเรื่อง Toys และ Room 10 ให้กับซีรีส์รีล วีเมน ฟิล์มของนิตยสารกลาเมอร์
ฟิออนนูลา ฟลานาแกน (คุณนายดิลเบอร์) เป็นนักแสดงละครเวทีและภาพยนตร์ที่เคยได้รับรางวัลมาแล้ว ล่าสุด เธอได้ร่วมแสดงกับจิม แคร์รี่ย์ในภาพยนตร์คอเมดีฮิตเรื่อง Yes Man ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของฟลานาแกนที่จะลงโรงเร็วๆ นี้ได้แก่ The Irishman ที่ร่วมแสดงโดยวัล คิลเมอร์และคริสโตเฟอร์และ Coming and Going ที่ร่วมแสดงโดยรีส ดาร์บี้
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของฟลานาแกนได้แก่ Transamerica ที่ทำให้เธอได้รับรางวัลไอริช ฟิล์ม แอนด์ เทเลวิชัน อคาเดมี อวอร์ด (ไอเอฟทีเอ) สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม, Four Brothers, The Others ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลโกลเดน แซทเทิร์น อวอร์ด, The Divine Secrets of the Ya-Ya Sisterhood, Waking Ned Devine ที่ทำให้เธอได้ร่วมรับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์นักแสดง, Some Mother’s Son, Mad at the Moon และ Ulysses นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงในภาพยนตร์ขนาดสั้นที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง In the Region of Ice อีกด้วย
ฟลานาแกน นักแสดงหญิงชาวดับลิน ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองจากบทบาทจอแก้วด้วยเช่นกัน โดยเธอได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดจากการแสดงของเธอในมินิซีรีส์ดังเรื่อง Rich Man, Poor Man และได้รับการเสอนชื่อชิงรางวัลในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากซีรีส์ How the West Was Won นอกจากนี้ เธอยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลไอเอฟทีเอจากผลงานของเธอในซีรีส์ภาษาไอริชเรื่อง Paddywhackery และในซีรีส์ที่ได้รับรางวัลพีบอดี้เรื่อง Brotherhood ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลแซทเทิลไลท์ อวอร์ดจากสถาบันสื่อมวลชนต่างประเทศ นอกจากนี้ ฟลานาแกนยังได้แสดงในซีรีส์ To Have & to Hold และมีบทประจำในซีรีส์ยอดนิยมเรื่อง Lost
การแสดงเดี่ยวของเธอในละครเรื่อง James Joyce’s Women ทำให้เธอได้รับรางวัลจากสมาพันธ์นักวิจารณ์ลอสแองเจลิส สมาพันธ์นักวิจารณ์ซานฟรานซิสโกและรางวัลดรามาล็อก นอกจากนี้ เธอยังได้เขียนบท ดัดแปลงและอำนวยการสร้างบทละครเรื่องหนึ่ง โดยภายหลัง เธอก็ได้อำนวยการสร้างและนำแสดงในภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากบทละครเรื่องนั้น นอกเหนือจากนั้น เธอยังได้แสดงละครบรอดเวย์หลายเรื่อง เช่นการรับบทมอลลี บลูมในละครเรื่อง Ulysses in Nighttown ที่สร้างขึ้นจากนิยายเรื่องยาวของจอยซ์ และทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนี อวอร์ด ฟลานาแกนได้รับปริญญาดุษฎีกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติไอร์แลนด์ที่กัลเวย์จากคุณูปการที่เธอมีต่อโลกศิลปกรรม
เกี่ยวกับทีมผู้สร้าง
โรเบิร์ต เซเมคิส (ผู้กำกับ, ผู้อำนวยการสร้าง, มือเขียนบท) ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด รางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับแห่งอเมริกาสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง Forrest Gump ของเขา รางวัลมากมายที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับยังได้แก่รางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (ทอม แฮงค์) และสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เซเมคิสได้ร่วมงานกับแฮงค์อีกครั้งหนึ่งในดรามาร่วมสมัยเรื่อง Cast Away ซึ่งการถ่ายทำถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน และงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง What Lies Beneath เซเมคิสและแฮงค์รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างในภาพยนตร์เรื่อง Cast Away ร่วมกับสตีฟ สตาร์กีย์และแจ็ค แร็ปเก้
เมื่อเร็วๆ นี้ เซเมคิส, สตาร์กีย์และแร็ปเก้ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนบริษัทอิเมจมูฟเวอร์ส เพิ่งก่อตั้งบริษัทอิเมจมูฟเวอร์ส ดิจิตอล เพื่อสร้างภาพยนตร์เพอร์ฟอร์แมนซ์ แคปเจอร์ให้กับวอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์ โดยเฉพาะ โดยบริษัทแห่งนี้จะพัฒนาเทคโนโลยีที่พวกเขาได้บุกเบิกในภาพยนตร์ที่เซเมคิสกำกับมาแล้วเช่น The Polar Express และ Beowulf รวมไปถึงภาพยนตร์ที่กำกับโดยกิล คีแนนเรื่อง Monster House อีกด้วย
สมัยที่เขาเริ่มทำงานใหม่ๆ เซเมคิสได้ร่วมเขียนบท (กับบ็อบ เกล) และกำกับภาพยนตร์เรื่อง Back to the Future ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดประจำปี 1985 ซึ่งส่งให้เซเมคิสได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม จากนั้น เขาก็ได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Back to the Future, Part II และ Part III ซึ่งทำให้เกิดเป็นแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดเรื่องหนึ่ง
นอกเหนือจากนั้น เขายังได้กำกับและอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Contact ที่นำแสดงโดยโจดี ฟอสเตอร์ และสร้างขึ้นจากนิยายเบสต์เซลเลอร์ของคาร์ล ซากาน และคอเมดีเรื่อง Death Becomes Her ที่นำแสดงโดยเมอริล สตรีพ, โกลดี ฮอว์นและบรูซ วิลลิส เขายังได้กำกับภาพยนตร์ที่ทำรายได้ถล่มทลายในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง Who Framed Roger Rabbit ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ผสมผสานไลฟ์แอ็กชันและอนิเมชันเข้าด้วยกันได้อย่างเฉียบคม จากนั้น เขาก็ได้กำกับภาพยนตร์โรแมนติกผจญภัยเรื่อง Romancing the Stone ที่นำแสดงโดยไมเคิล ดักกลาสและแคธลีน เทิร์นเนอร์และยังได้ร่วมเขียนบท (กับเกล) และกำกับคอเมดีเรื่อง Used Cars และ I Wanna Hold Your Hand อีกด้วย
นอกจากนี้ เซเมคิสยังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง House on Haunted Hill และควบคุมงานสร้างภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น The Frighteners, The Public Eye และ Trespass ซึ่งเขาร่วมเขียนบทกับเกลด้วย ก่อนหน้านี้ เขาและเกลได้เขียนบทเรื่อง 1941 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการร่วมงานระหว่างเซเมคิสและสตีเวน สปีลเบิร์ก
ในด้านจอแก้ว เซเมคิสได้กำกับโปรเจ็กต์หลายชิ้น ซึ่งรวมถึงสารคดีขนาดยาวทางโชว์ไทม์เรื่อง The 20th Century: The Pursuit of Happiness ซึ่งเผยเรื่องราวผลกระทบของยาเสพติดและเหล้าที่มีต่อสังคมศตวรรษที่ 20 ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่หลายๆ เอพิโซดในซีรีส์ Amazing Stories ของสปีลเบิร์กและ Tales of the Crypt ทางเอชบีโอ
ในปี 1998 เซเมคิส, สตีฟ สตาร์กีย์และแจ็ค แร็ปเก้ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ในชื่อ อิเมจมูฟเวอร์ส โดย What Lies Beneath เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่เปิดตัวภายใต้ชื่ออิเมจมูฟเวอร์ส ตามมาด้วย Cast Away ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งนักวิจารณ์และผู้ชมอย่างล้นหลามเมื่อลงโรงในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2000 และ Matchstick Men
ในเดือนมีนาคม ปี 2001 ยูเอสซี สคูล ออฟ ซีเนมา-เทเลวิชัน ได้เฉลิมฉลองการเปิดตัวโรเบิร์ต เซเมคิส เซ็นเตอร์ ฟอร์ ดิจิตอล อาร์ต สถาบันศิลปะแห่งนี้เป็นศูนย์การฝึกดิจิตอลเต็มรูปแบบแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศ และเป็นสถานที่รวมอุปกรณ์ที่ใช้ในการถ่ายทำและหลังการถ่ายทำ ทั้งยังมีเวที ห้องฉายภาพยนตร์ขนาด 50 ที่นั่ง และสถานีโทรทัศน์ที่บริหารงานโดยนักเรียนของยูเอสซีในชื่อโทรจัน วิชัน
ในปี 2004 เซเมคิสได้อำนวยการสร้างและกำกับภาพยนตร์โมชัน แคปเจอร์เรื่อง The Polar Express ที่นำแสดงโดยทอม แฮงค์ ล่าสุด เขาได้สร้างภาพยนตร์ที่สร้างจากชีวิตจริงเรื่อง The Prize Winner of Defiance, Ohio ที่นำแสดงโดยจูลีแอนน์ มัวร์และวู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน นอกเหนือจากนั้น เขายังรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างในภาพยนตร์เรื่อง Monster House และคอเมดีที่นำแสดงโดยควีน ลาติฟาห์เรื่อง Last Holiday อีกด้วย
เซเมคิสได้อำนวยการสร้างและกำกับภาพยนตร์โมชัน แคปเจอร์เรื่องที่สองของเขา Beowulf ซึ่งอำนวยการสร้างโดยแร็ปเก้และสตาร์กีย์ด้วยเช่นกัน ภาพยนตร์เรื่องนั้น ซึ่งนำแสดงโดยแอนโธนี ฮ็อปกินส์, แองเจลินา โจลีและเรย์ วินสโตน สร้างขึ้นจากหนึ่งในวรรณคดีแองโกล-แซ็กซอนอายุเก่าแก่ที่สุดเท่าที่หลงเหลืออยู่ ซึ่งถูกเขียนขึ้นในช่วงประมาณค.ศ. 100
สตีฟ สตาร์กีย์ (ผู้อำนวยการสร้าง) ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดในฐานะผู้อำนวยการสร้างคนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง Forrest Gump ที่ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่กำกับโดยโรเบิร์ต เซเมคิสและนำแสดงโดยทอม แฮงค์ กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล และกวาดรางวัลออสการ์มาได้ถึงหกรางวัล ซึ่งรวมถึงสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมและนักแสดงยอดเยี่ยม และสามรางวัลลูกโลกทองคำ รางวัลสูงสุดจากสมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติในปี 1994 สองรางวัลพีเพิล ชอยส์ อวอร์ดส์ รางวัลโกลเดน ลอเรลจากสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างและการได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
สตาร์กีย์ร่วมกับเซเมคิสและแจ็ค แร็ปเก้ ก่อตั้งบริษัทอิเมจมูฟเวอร์ส ดิจิตอล ซึ่งเป็นส่วนขยายของบริษัทอิเมจมูฟเวอร์สของพวกเขาที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1998 โดยบริษัทแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเพื่อสร้างภาพยนตร์เพอร์ฟอร์แมนซ์ แคปเจอร์ให้กับวอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์ ด้วยเทคโนโลยีที่พวกเขาได้บุกเบิกในภาพยนตร์ที่กำกับโดยเซเมคิสเรื่อง The Polar Express และ Beowulf และภาพยนตร์ที่กำกับโดยกิล คีแนนเรื่อง Monster House ซึ่งสตาร์กีย์รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างทุกเรื่อง
ผลงานในฐานะผู้อำนวยการสร้างที่อิเมจมูฟเวอร์สของสตาร์กีย์กับโรเบิร์ต เซเมคิสได้แก่ดรามาอีพิคเรื่อง Cast Away และทริลเลอร์จิตวิทยาเรื่อง What Lies Beneath ที่นำแสดงโดยแฮร์ริสัน ฟอร์ดและมิเชล ไฟเฟอร์ สตาร์กีย์ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Prize Winner of Defiance, Ohio ที่กำกับโดยเจน แอนเดอร์สันและนำแสดงโดยจูลีแอนน์ มัวร์ และรับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างในภาพยนตร์เรื่อง Matchstick Men ที่กำกับโดยริดลีย์ สก็อตต์และนำแสดงโดยนิโคลัส เคจ
การร่วมงานกันระหว่างสตาร์กีย์และเซเมคิสเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1986 ที่เขารับหน้าที่ผู้ช่วยอำนวยการสร้างในภาพยนตร์เรื่อง Who Framed Roger Rabbit จากนั้น เขาก็ได้ทำงานในลักษณะเดียวกันนี้อีกในภาคที่สองและสามของไตรภาค Back to the Future การร่วมงานกันของทั้งคู่ยังคงยาวนานมาถึงตอนที่ทั้งคู่อำนวยการสร้างภาพยนตร์ตลกมืดเรื่อง Death Becomes Her ตามมาด้วย Forrest Gump และ Contact นอกจากนี้ สตาร์กีย์ยังได้ร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์คอเมดีโปกฮาเรื่อง Noises Off และอำนวยการสร้างสารคดีขนาดยาวของโชว์ไทม์เรื่อง The Pursuit of Happiness ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของการติดยาและติดเหล้า สารคดีเรื่องนี้ก็กำกับและอำนวยการสร้างบริหารโดยโรเบิร์ต เซเมคิสเช่นเคย
ในช่วงเริ่มแรก เขาได้ทำงานกับจอร์จ ลูคัสในลูคัสฟิล์ม ที่ซึ่งเขาเป็นผู้ช่วยลำดับภาพในภาพยนตร์เรื่อง The Empire Strikes Back และ Return of the Jedi หลังจากนั้น เขาก็ได้ลำดับภาพภาพยนตร์สารคดีให้กับแอมบลิน เอ็นเตอร์เทนเมนต์ของสตีเวน สปีลเบิร์ก เป็นผู้ช่วยอำนวยการสร้างให้ซีรีส์แอนโธโลจีเรื่อง Amazing Stories ของสปีลเบิร์ก และเป็นผู้ควบคุมงานสร้างซีรีส์ปี 1993 ที่แพร่ภาพทางซีบีเอสเรื่อง Johnny Bago สตาร์กีย์รับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างในภาพยนตร์ปี 2006 เรื่อง Last Holiday ที่นำแสดงโดยควีน ลาติฟาห์และกำกับโดยเวย์น หวัง
เส้นทางของแจ็ค แร็ปเก้ (ผู้อำนวยการสร้าง) สู่ตำแหน่งประธานบริษัทอิเมจมูฟเวอร์ส ดิจิตอลเริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนภาพยนตร์เอ็นวายยู และย้ายไปลอสแองเจลิสในปี 1975 เพื่อทำงานในห้องพัสดุที่วิลเลียม มอร์ริส เอเยนซี เพียงสี่ปีให้หลัง เขาก็ได้เข้าทำงานที่ครีเอทีฟ อาร์ติส เอเยนซี (ซีเอเอ) ที่ซึ่งเขาได้ผลักดันตัวเองให้กลายเป็นหนึ่งในเอเยนต์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในฮอลลีวูดตลอดช่วงระยะเวลา 17 ปีหลังจากนั้น
ในช่วงเวลาเจ็ดปีที่เขาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการร่วมแผนกภาพยนตร์ของซีเอเอ แร็ปเก้ได้เป็นตัวแทนของลูกค้าที่มีชื่อเสียงมากมายเช่นเจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์, ริดลีย์ สก็อตต์, ไมเคิล แมนน์, ฮาโรลด์ รามิส, ไมเคิล เบย์, เทอร์รี่ กิลเลียม, บ็อบ เกล, โบ โกลด์แมน, สตีฟ โคลฟส์, โฮเวิร์ด แฟรงคลิน, สก็อตต์ แฟรงค์, โรเบิร์ต คาเมน, จอห์น ฮิวจ์, โจล ชูมัคเกอร์, มาร์ตี เบรสต์, คริส โคลัมบัส, เอซรา แซ็คส์และหุ้นส่วนนสองคนจากอิเมจิน เอนเตอร์เทนเมนต์ รอน โฮเวิร์ดและไบรอัน เกรเซอร์ ด้วยความที่เขามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างบริษัทโปรดักชันของลูกค้าเขา เขาจึงใช้เวลาไม่นานเลยในการจะสร้างบริษัทซักแห่งขึ้นมากับโรเบิร์ต เซเมคิส ซึ่งเป็นลูกค้าคนหนึ่งของเขา
ในปี 1998 แร็ปเก้ได้ออกจากบริษัทซีอีเอเพื่อมาก่อตั้งอิเมจมูฟเวอร์สกับเซเมคิสและคู่หูในการอำนวยการสร้างของเขา สตีฟ สตาร์กีย์ ภาพยนตร์เรื่องแรกของบริษัทแห่งนี้ ซึ่งผลิตภาพยนตร์เป็นหลักคือ Cast Away ที่กำกับโดยเซเมคิสและนำแสดงโดย ทอม แฮงค์ จากนั้น แร็ปเก้และหุ้นส่วนของเขาก็ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ฮิตมากมายรวมถึงทริลเลอร์ที่กำกับโดยเซเมคิสเรื่อง What Lies Beneath ที่นำแสดงโดยแฮร์ริสัน ฟอร์ดและมิเชล ไฟเฟอร์, Matchstick Men ที่กำกับโดยริดลีย์ สก็อตต์และนำแสดงโดยนิโคลัส เคจ, The Prize Winner of Defiance, Ohio ที่นำแสดงโดยจูลีแอนน์ มัวร์และวู้ดดี้ ฮาร์เรลสันและ Last Holiday ที่นำแสดงโดยควีน ลาติฟาห์
หลังจากที่เซเมคิสได้ใช้เทคโนโลยีแปลกใหม่ ที่เรียกว่าเพอร์ฟอร์แมนซ์ แคปเจอร์ในภาพยนตร์ปี 2004 เรื่อง The Polar Express และแร็ปเก้และหุ้นส่วนของเขาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์อีกสองเรื่องที่ใช้เทคนิคเดียวกันนี้ คือภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ปี 2006 เรื่อง Monster House และภาพยนตร์ที่กำกับโดยเซเมคิสเรื่อง Beowulf เซเมคิส, สตาร์กีย์และแร็ปเก้ก็ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทอิเมจมูฟเวอร์ส ดิจิตอล ซึ่งเป็นสตูดิโอแห่งแรกที่สร้างขึ้นเพื่อเพอร์ฟอร์แมนซ์ แคปเจอร์เท่านั้น
ดั๊ก เชียง (ผู้ออกแบบงานสร้าง) ศิลปิน นักเขียนและผู้ออกแบบงานสร้าง เจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด เริ่มต้นการทำงานจากการเป็นอนิเมเตอร์สต็อปโมชันในซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง Pee-wee’s Playhouse หลังจากที่สำเร็จการศึกษาด้านภาพยนตร์จากยูซีแอลเอ ไม่นานนัก เขาก็ได้ผลักดันตัวเองกลายเป็นผู้กำกับโฆษณาเจ้าของรางวัลคลีโอ อวอร์ด และเป็นดีไซเนอร์ให้กับริธึม แอนด์ ฮิวส์, ดิจิตอล โปรดักชันส์และโรเบิร์ต อาเบล แอนด์ แอสโซซิเอทส์ ที่อินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค ที่ซึ่งเขาได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายครีเอทีฟในปี 1993 เขาก็ได้ทำหน้าที่ผู้กำกับศิลป์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์หลายเรื่องเช่น Terminator 2, Ghost, The Doors, The Mask และภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต เซเมคิสเรื่อง Forrest Gump และ Death Becomes Her (ซึ่งทำให้เชียงได้รับรางวัลออสการ์และรางวัลบริติช อคาเดมี อวอร์ดครั้งที่สอง) ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมงานกันอันยาวนานของทั้งคู่
ในปี 1995 เชียงได้ย้ายไปทำงานกับลูคัลฟิล์ม ลิมิตเต็ด เพื่อทำงานเป็นผู้กำกับด้านดีไซน์ในสองในสามพรีเควล Star Wars ก่อนที่จะก่อตั้งไอซ์บลิงค์ สตูดิโอส์ สตูดิโอออกแบบภาพยนตร์ที่ตั้งอยู่ในมาริน เคาน์ตี้ของเขา ที่ซึ่งเขาได้สานสายสัมพันธ์กับเซเมคิสและความมุ่งมั่นของพวกเขาที่มีต่อภาพยนตร์เพอร์ฟอร์แมนซ์แคปเจอร์ต่อไป ระหว่างปี 2002-2007 เขาได้รับหน้าที่ผู้ออกแบบงานสร้างให้กับภาพยนตร์ที่กำกับโดยเซเมคิสเรื่อง The Polar Express และ Beowulf และเป็นผู้ออกแบบในภาพยนตร์เรื่อง Monster House ที่อำนวยการสร้างโดยเซเมคิส
ในฐานะผู้กำกับและผู้สร้างหนังอินดี้ เชียงได้รับรางวัลมากมาย ซึ่งรวมถึงรางวัลที่หนึ่งจากโฟกัส อวอร์ดจากภาพยนตร์เรื่อง Mental Block ของเขา และภาพยนตร์ทีสเซอร์ที่เขาสร้างให้กับ Robota ที่สร้างขึ้นจากหนังสือที่เขาร่วมเขียนและสร้างสรรค์กับออร์สัน สก็อตต์ การ์ดได้รับรางวัลปรีซ์ ดู เรนดู อวอร์ดจากงานเทศกาลภาพยนตร์อิเมจินา 2003 และรางวัลภาพยนตร์โฆษณา/โฆษณายอดเยี่ยมในงานเทศกาลแอนเนซี อนิเมชันปี 2003
ภาพเขียนของเชียงได้ถูกจัดแสดงในงานแสดงภาพทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์บรูคลิน, พิพิธภัณฑ์ฟิลด์ในชิคาโกและพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเกียวโตและโตเกียว และเขาก็เพิ่งมีหนังสือใหม่ตีพิมพ์ออกมาเมื่อปี 2008 ชื่อเรื่องว่า Mechanika: Creating the Art of Science Fiction with Doug Chiang ซึ่งเขาได้ถ่ายทอดเทคนิคดั้งเดิมและเทคนิคดิจิตอลของตัวเองลงไปในนั้น
ด้วยเหตุนี้เอง ในปี 2007 เมื่อโรเบิร์ต เซเมคิสตัดสินใจอย่างบ้าบิ่นที่จะก่อตั้ง อิเมจมูฟเวอร์ส ดิจิตอล, แอลแอลซี ซึ่งเป็นสตูดิโอเพอร์ฟอร์แมนซ์ แคปเจอร์ ขึ้นมาร่วมกับดิสนีย์ สตูดิโอส์ เชียงจึงได้รับเลือกให้บริหารงานบริษัทแห่งนี้ ปัจจุบัน เขาดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารของบริษัท
โรเบิร์ต เพรสลี่ย์ (ผู้กำกับภาพ) ทำหน้าที่ผู้กำกับภาพในภาพยนตร์โดยเซเมคิสเรื่อง Beowulf และ The Polar Express ร่วมกับดอน เบอร์เกสส์, เอ.เอส.ซี. โดยก่อนหน้านี้ เพรสลี่ย์ได้ร่วมงานกับเซเมคิสในตำแหน่งผู้ควบคุมกล้องและผู้ควบคุมสเตดดิแคมในภาพยนตร์เรื่อง Cast Away และ What Lies Beneath
ล่าสุด ผลงานของเพรสลี่ย์ปรากฏในเทพนิยายร่วมสมัยของดิสนีย์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง Enchanted ผลงานของเขาประกอบไปด้วยภาพยนตร์ชื่อดังหลายเรื่องเช่น Terminator 3: Rise of the Machines, The General’s Daughter, Die Hard: With a Vengeance และ The 13th Warrior ให้กับผู้กำกับจอห์น แม็คเทียร์แนน, อีพิคโดยไมเคิล เบย์เรื่อง Pearl Harbor และภาพยนตร์โดยโจล ชูมัคเกอร์เรื่อง A Time to Kill
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ ภาพยนตร์โดยรอน โฮเวิร์ดเรื่อง EdTv, Radio, When a Stranger
Calls, Breakdown, Hard Rain, Disney’s The Kid และ The Rookie
เจเรไมอาห์ โอ’ ดริสคอลล์ (มือลำดับภาพ) ก่อนหน้านี้ เขาเคยร่วมงานกับเซเมคิสมาแล้วด้วยการเป็นมือลำดับภาพให้กับภาพยนตร์เรื่อง Beowulf และ The Polar Express และเขายังรับหน้าที่ผู้ช่วยลำดับภาพในภาพยนตร์เรื่อง Cast Away มาก่อนด้วย
โอ’ ดริสคอลล์ทำงานเป็นผู้ช่วยให้กับอาร์เธอร์ ชมิดท์ในภาพยนตร์อีกสี่เรื่องของเซเมคิส เริ่มจาก Death Becomes Her ตามมาด้วย Forrest Gump, Contact และ What Lies Beneath
ตลอดระยะเวลาสามสิบปีที่เขาเป็นคอมโพสเซอร์เพลงประกอบภาพยนตร์ อลัน ซิลเวสทรี (คอมโพสเซอร์) ได้สร้างความแปลกใหม่ด้วยสกอร์ที่น่าตื่นเต้นและพลิ้วไหวของเขา ซึ่งทำให้เขาได้รับเสียงชื่นชมจากฮอลลีวูดและคอภาพยนตร์ทั่วโลก
ซิลเวสทรีเกิดที่แมนฮัตตันในปี 1950 เขารู้สึกสนใจดนตรีตั้งแต่เด็กๆ เขาเริ่มต้นจากการเป็นมือกลอง แต่ไม่นานนัก เขาก็เริ่มสนใจบาสซูน คลาริเน็ท แซ็กโซโฟนและกีตาร์ หลังจากที่เขาได้เขียนดนตรีเองและก่อตั้งวงดนตรีขึ้นมาหลายวงในช่วงระหว่างที่เขาเรียนอยู่ เขาก็ได้เข้าศึกษาที่เบิร์คลี คอลเลจ ออฟ มิวสิค ในบอสตัน ที่ซึ่งเขาได้ศึกษาในสาขาการประพันธ์
หลังจากที่จบจากเบิร์คลี ซิลเวสทรีก็ได้ออกทัวร์กับเวย์น คอชรันและซี.ซี. ไรเดอร์ส ในฐานะมือกีตาร์ในวงดนตรียอดนิยมของคอชรัน อลันได้ออกทัวร์ทั่วอเมริกา ความรักในดนตรีทำให้เขาย้ายไปฮอลลีวูด และผลที่ได้ก็คือเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาในปี 1972 ด้วย The Doberman Gang
เขาได้แต่งเพลงประกอบภาพยนตร์เล็กๆ หลายเรื่องในระหว่างนี้ ก่อนที่จะสร้างชื่อเสียงในฐานะนักแต่งเพลงประกอบซีรีส์โทรทัศน์ ระหว่างซีซันที่สองของซีรีส์ฮิตเรื่อง CHiPs ระหว่างสี่ปีที่ทำงานในซีรีส์นั้น พรสวรรค์ของซิลเวสทรีในการรังสรรค์ท่วงทำนองที่ครึกครื้น โลดแล่นที่ช่วยเพิ่มสีสันให้กับการไล่ล่าทางมอเตอร์ไซค์ของเหล่าตำรวจ ผู้ลำดับดนตรีในซีรีส์นั้นประทับใจกับพรสวรรค์ของเขา จึงได้แนะนำเขาให้กับผู้กำกับภาพยนตร์หนุ่มพรสวรรค์คนหนึ่ง
ผู้กำกับคนนั้นก็คือโรเบิร์ต เซเมคิส และดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่ซิลเวสทรีแต่งให้กับภาพยนตร์เรื่อง Romancing the Stone ก็มีส่วนช่วยให้ภาพยนตร์แอ็กชัน คอเมดีเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างน่าประหลาด ทั้งผู้กำกับและคอมโพสเซอร์ของเรื่องยังได้ร่วมงานกันในภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอีกหลายเรื่องเช่น แฟรนไชส์ Back to the Future, Who Framed Roger Rabbit, Forrest Gump ภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลออสการ์ (ที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม), Contact, What Lies Beneath, Cast Away (ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลแกรมมี อวอร์ดสาขาการประพันธ์ดนตรียอดเยี่ยม) และภาพยนตร์แฟนตาซีสำหรับคริสต์มาสที่น่าตื่นตาตื่นใจ The Polar Express เพลง Believe ที่จอช โกรแบนเป็นคนร้องและซิลเวสทรีร่วมเขียนกับเกลน บัลลาร์ด ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและได้รับรางวัลแกรมมี อวอร์ดสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผลงานล่าสุดที่เซเมคิสและซิลเวสทรีได้ร่วมงานกันคืออีพิคเรื่อง Beowulf
ในช่วงระยะเวลาหลายปีและด้วยผลงานดนตรีประกอบภาพยนตร์กว่าร้อยเรื่อง ซิลเวสทรีได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองด้วยผลงานหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญตื่นเต้น (Van Helsing, Predator, The Abyss) ไปจนถึงเวสเทิร์น (Young Guns 2, The Quick and the Dead), แฟนตาซีสำหรับเด็ก (Stuart Little, The Parent Trap, Lilo and Stitch), คอเมดีสุดฮา (Father of the Bride, What Women Want, Fools Rush In และ Night at the Museum) และดรามาแสนอบอุ่น (The Perez Family และ Two Soldiers ที่ได้รับรางวัลออสการ์) แต่ไม่ว่าจะเป็นเพลงออร์เคสตราแอ็กชันหรือท่วงทำนองที่อ่อนโยน ผลงานของเขาก็จะมีเอกลักษณ์ในด้านท่วงทำนองหรือธีมที่ชัดเจนเสมอ
ครอบครัวซิลเวสทรี ซึ่งอาศัยอยู่ที่คาร์เมล ไฮแลนด์ เพิ่งมีกิจการใหม่เป็นซิลเวสทรี ไวน์ยาร์ด ไวน์ชาร์ดอนเนย์, ปินัวต์ นัวร์และไซราห์ของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าผลไม้ที่ได้รับการบ่มเพาะด้วยความรักเองก็มีท่วงทำนองของตัวเองเช่นกัน
อังเดร บอชเชลลี (นักร้อง ผู้ร้องเพลง God Bless Us Everyone) มักถูกคนพูดถึงว่าเป็นตำนาน ตำนานซึ่งเริ่มต้นโด่งดังในเทศกาลซานรีโมปี 1994 ในช่วงระยะเวลา 15 ปีแรกของการเป็นนักร้อง ความสำเร็จยิ่งใหญ่ของบอชเชลลีถูกพิสูจน์ได้ด้วยยอดขายแผ่นเสียง 65 ล้านก็อปปี้
“ผมไม่คิดว่าคนเราจะตัดสินใจที่จะมาเป็นนักร้องได้หรอกครับ มันเป็นสิ่งที่ปฏิกิริยาของคนรอบด้านคุณตัดสินใจแทนคุณมากกว่า” อังเดร บอชเชลลีโชคดีที่มีพรสวรรค์สองอย่าง ซึ่งพรสวรรค์ทั้งสองอย่างนั้นก็พิเศษสุดเสียด้วย พรสวรรค์อย่างแรกของเขาคือน้ำเสียงของเขา ที่ทั้งนุ่มนวลและมีพลัง เสียงของเขาสามารถร้องได้ทั้งเบลคานโต้ เพลงศักดิ์สิทธิ์ไปจนถึงเพลงป๊อป ส่วนพรสวรรค์ที่สองอาจเป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจ การที่เขาตาบอดได้ช่วยเพิ่มความอ่อนไหวที่ทำให้เขาเข้าใจเนื้อร้องและมีมุมมองเกี่ยวกับโทนเสียงและความรู้สึกที่แตกต่างกันได้ชัดเจนขึ้น
บอชเชลลี เป็นชาวทัสคานเหมือนปุชชีนีและมัสคานี เขาเกิดในวันที่ 22 กันยายน ปี 1958 ในครอบครัวชาวนาในลาจาทิโก้ ท่ามกลางไร่องุ่นในชนบทเมืองปิซา เขาเล่นเปียโนตอนอายุ 6 ขวบและเริ่มทดลองเล่นฟลุ้ทและแซ็กโซโฟน แต่เสียงของเขาก็กลายเป็นเครื่องดนตรีสำคัญของเขา ด้วยการเป็นนักร้องเสียงเทเนอร์ “ที่ทั้งทันสมัยแต่ก็เป็นไปตามแบบฉบับ” (อย่างที่เขาชอบพูดถึงตัวเอง) ในปี 1970 เขาประสบความสำเร็จครั้งแรกในการประกวดด้วยการร้องเพลง O Sole Mio หลังจากที่ศึกษากับลูเซียโน เบททรารินีหลายปี บอชเชลลีก็ได้พบกับฟรังโก้ คอเรลลี และบอชเชลลีก็ได้เล่นดนตรีในท้องถิ่นและศึกษาทางด้านกฎหมายเพื่อหาเงินมาเรียน
หลังจากที่ถูกค้นพบโดยคาเทอรินา คัสเซลลีและสังกัด “ชูการ์” ของเธอ บอชเชลลีก็เริ่มมีแฟนๆ ติดตามเพลงป๊อปของเขา เขาได้รับโอกาสเปิดตัวบนเวทีโอเปราในปี 1994 ด้วยละครเรื่อง Macbeth ของเวอร์ดี้ (บทแม็คดัฟฟ์) ที่มีเคาดิโอ เดสเดรีเป็นวาทยากร ในช่วงคริสต์มาส เขาได้รับคำเชิญให้ร้องเพลง Adeste Fideles ให้เซนต์ ปีเตอร์ ต่อหน้าพระสันตะปาปา
เพลงปี 1996 ของเขา Con Te Partir? (ที่ภายหลังเขาร่วมร้องเพลงคู่กับซาราห์ ไบรท์แมนในชื่อเพลง Time to Say Goodbye) แพร่หลายไปทั่วโลก อัลบัม Romanza ทำลายสถิติยอดขาย ในเยอรมนี เพลงดูเอ็ตเพลงนี้กลายเป็นซิงเกิลที่ทำยอดขายสูงสุดตลอดกาล ที่ทอร์เร เดล ลาโก ในช่วงซัมเมอร์ปี 1997 บอชเชลลีได้ร้องเพลงอารีอาจากโอเปราเรื่อง Madame Butterfly, Tosca และ La Fille du Regiment ในปี 1998 เขาได้เปิดตัวในบทโรดอลโฟ แสดงประกบแดเนียลา เดสซีใน La Boheme โดยปุชชีนีในคาเลียรี ในปีเดียวกันนั้นเอง เขาก็เริ่มต้นทำงานร่วมกับซูบิน เมห์ตา ในปี 1999 บอชเชลลีได้เปิดตัวในอารีนา ออฟ เวโรนา และเดินทางไปอเมริกา เขาได้ปล่อยอัลบัมในชื่อ Sogno ออกมา ซึ่งอัลบัมนั้นก็มีเพลงดูเอ็ตที่เขาร่วมร้องกับซีลิน ดีออนที่ชื่อ The Prayer อยู่ด้วย เพลงนี้ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ คอนเสิร์ตของเขาได้รับการควบคุมโดยวาทยากรชื่อดังจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นลอริน มาเซล, เซจิ โอซาวา, วาเลร เกอร์เกฟ, ซูบิน เมห์ตา, มยุน วุน ชุง
ในเดือนมกราคม ปี 2001 บอชเชลีได้เปิดตัวบนเวทีในเวโรนาด้วยการแสดงใน L’Amico Fritz โดยปิเอโตร มัสคานี ในปลายปีนั้น นายกเทศมนตรีรูดอล์ฟ กุยเลียนีได้เชิญเขาให้ร้องเพลง Ave Maria ที่กราวน์ ซีโร เพื่อเหยื่อในเหตุการณ์ 9/11 ในซัมเมอร์ปี 2002 บอชเชลลีได้รับบทพิงเกอร์ตันใน Madame Butterfly ที่ทอร์เร เดล ลาโก้ หลังจากอัลบัมป๊อปที่ประสบความสำเร็จและการได้รับรางวัลต่างๆ จากทั่วโลก บอชเชลลีก็หวนคืนสู่เวทีโอเปราในปี 2004
อัลบัมคลาสสิกชุดแรกของบอชเชลลีวางแผงในปี 1997 ในชื่อ Viaggio Italiano มันเป็นโปรเจ็กต์ที่พัฒนาขึ้นโดยคาเทอรินา คัสเซลลี ชูการ์ร่วมกับคณะออร์เคสตรามอสโคว์ เรดิโอ ซิมโฟนี อัลบัมชุดนี้มีตั้งแต่เพลงของปุชชีนีไปถึงชูเบิร์ต จากเวอร์ดี้ ไปถึงโดนิเซ็ตติ ในปี 1998 เขาได้ปล่อยอัลบัม Aria - The Opera ที่เขาร่วมงานกับคณะออร์เคสตราแม็กกิโอ ฟิออเรนติโน ที่ควบคุมดนตรีโดยมาเอสโทร โนเซดะ ในปี 2000 แผ่นซีดีที่เขาร่วมงานกับคณะออร์เคสตราและคอรัสซานตา เซซิเลีย และควบคุมดนตรีโดยมยุง วุน ชุง กลายเป็นอัลบัมคลาสสิกที่ขายดีที่สุดโดยศิลปินเดี่ยว
ภายใต้การควบคุมดนตรีโดยมาเอสโทรเมห์ตา ในปี 2000 เขาได้ปล่อยอัลบัม Verdi ออกมา โดยในอัลบัมชุดนี้ บอชเชลลีได้ร้องเพลงที่เป็นมาสเตอร์พีซจากนักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่จากบุสเซโตผู้นี้ ในปี 2001 เขาได้บันทึกเสียงอัลบัม Requiem กับนักแสดงชั้นยอด โดยมีวาเลรี เกอร์เกฟ เป็นผู้ควบคุมดนตรี ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2002 บอชเชลลีได้ร่วมงานกับลอริน มาเซล เพื่อทำอัลบัม Sentimento ซึ่งรวมดนตรีจากนักแต่งเพลงชั้นเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นทอสที, เดนซาและแกสทัลฟอน และเรียบเรียงเสียงโดยตัวมาเซล ที่เล่นไวโอลินในอัลบัมนี้ด้วย บอชเชลลีได้รับรางวัล คลาสสิคัล บริท อวอร์ด ในปี 2003 เขาได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัล และได้รับทั้งรางวัลอัลบัมยอดเยี่ยมแห่งปี และอัลบัมคลาสสิกที่ทำยอดขายได้สูงสุดแห่งปี ในเดือนพฤษภาคม ปี 2003 บอชเชลลีได้ร้องเพลงในบท มาริโอ ในการบันทึกเสียงเพลงโอเปราเรื่อง Tosca ภายใต้การควบคุมดนตรีของซูบิน เมห์ตา ในฤดูใบไม้ผลิ ปี 2004 อัลบัมของเขาได้ถูกปล่อยออกมาและอัลบัมชุดนั้นก็มีเพลงจากโอเปราเรื่อง Il Trovatore ที่บันทึกเสียงที่โรงละครเบลนีนีในคาตาเนีย ในปี 2001 ที่ซึ่งบอชเชลลีได้แสดงร่วมกับเวโรนิกา วิลลาโรเอล, คาร์โล กุยฟีและคาร์โล โคลอมบารา
ในฤดูใบไม้ผลิปี 2005 บอชเชลลีได้ปล่อยอัลบัมโอเปราจากเรื่อง Werther ออกมา ในปี 2006 เขามีผลงานเป็นโอเปราเรื่อง Pagliacci โดยลีออนคาวัลโลและ Cavalleria Rusticana โดยมัสคานี ซึ่งทั้งสองเรื่องควบคุมดนตรีโดยมาเอสโทร เมอร์คิวริโอ
ผลงานล่าสุดของบอชเชลลีได้แก่ Andrea Chenier โดยจิออร์ดาโนและ Carmen โดยบิเซ็ท ที่ควบคุมดนตรีโดยมาเอสโทรชุง สำหรับคอนเสิร์ตคลาสสิกของเขา บอชเชลลีได้แสดงในเวียนนา โอเปรา เฮาส์ ในปี 2008 อัลบัมใหม่ของบอชเชลลีในชื่อ Incanto ประสบความสำเร็จอย่างสูง และเขาก็ได้ปรากฏตัวที่โรม โอเปรา เธียเตอร์ เพื่อขับร้องเพลงในโอเปราเรื่อง Carmen และในปาดัวและ Messia di Gloria โดยปุชชีนี ตามด้วย Petite Messe Solenelle ที่ควบคุมดนตรีโดยพลาซิโด โดมิงโกในอเมริกา