กรุงเทพฯ--2 พ.ย.--MMM Digital
นินจาเป็นเรื่องราวแห่งตำนาน นิทานพื้นบ้านเกี่ยวกับพวกมือสังหารมฤตยูลึกลับเหล่านี้สืบสาวย้อนกลับไปได้ถึงระบบศักดินาของญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 15 จนถึงยุคสงครามกลางเมืองและกฎแห่งบูชิโด พวกเขาเป็นฝ่ายตรงข้ามของบรรดาซามูไรผู้ทรงเกียรติและศักดิ์ศรี ดังนั้นตำนานเกี่ยวกับเหล่านักรบผู้โดดเดี่ยวจึงทวีความน่ากลัว และกลายมาเป็นองค์ประกอบที่ยากจะลบเลือนในหนังสือและภาพยนตร์ หนึ่งในบรรดาวายร้ายยอดนิยมที่น่าเกรงขาม
วันนี้ หลังจากที่ซ่อนตัวในเงามืดมาเป็นเวลาเกือบทศวรรษ นินจาหวนคืนมาในหนังแอ็คชั่นระทึกขวัญเรื่องล่าสุด Ninja Assassin กำกับการแสดงโดยเจมส์ แมคทีค ซึ่งก่อนหน้านี้เคยกำกับฯ ผลงานเรื่องดังที่ดัดแปลงจากนิยายกราฟฟิคเรื่อง V For Vendetta
การถ่ายทำอย่างเต็มรูปแบบของภาพยนตร์คือที่ Babelsberg Studios ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมืองเบอร์ลิน นับแต่การเปิดใช้เมื่อปี 1911 Babelsberg ถูกใช้เป็นโลเคชั่นสำหรับภาพยนตร์ชื่อดังและเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมจำนวนมากมายหลายเรื่อง — ตั้งแต่หนังของฟริทซ์ ลอง เรื่อง Metropolis ไปจนถึงเรื่อง Nosferatu ล่าสุด Babelsberg ได้หลายเป็นเมกกะแห่งยุโรปให้กับบรรดาผู้สร้างภาพยนตร์ และยังเป็นทั้งสตูดิโอหลักในผลงานกำกับฯ เรื่องแรกของแมคทีค ในเรื่อง V For Vendetta และหนังของพี่น้องวาโชสกี้ เรื่อง Speed Racer ซึ่งเขาได้รับหน้าที่เป็นผู้กำกับฯ ยูนิตที่สอง
เมื่อมาถึงที่ Babelsberg สิ่งแรกที่สะดุดตาก็คือความแตกต่างจากสตูดิโอซาวน์ดสเตจชื่อดังขนาดยักษ์ที่อื่นๆ ในฮอลลีวู้ด เราอาจขับผ่านมันไปเฉยๆ โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเลยที่หมายไปแล้ว มันประกอบไปด้วยซาวน์ดสเตจ 16 หลังในพื้นที่กว่า 270,000 ตร.ฟุต ซึ่งนับได้ว่าเป็นสตูดิโอขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป
“มันเป็นสถานที่ยอดเยี่ยม พนักงานทุกคนก็ทำงานดีมาก” แมคทีคให้ความเห็น “เบอร์ลินเป็นเมืองที่เหมาะจะมาอยู่ หนังส่วนหนึ่งเดินเรื่องในเบอร์ลิน และในรูปแบบเดียวกับที่หนังนัวร์ในอดีตเคยใช้เมืองนี้เป็นตัวละคร ผมสนใจที่จะทำแบบเดียวกันที่นี่ในเบอร์ลิน เรามีฉากแอ็คชั่นใหญ่รอบอนุสาวรีย์แห่งชัยชนะ เบอร์ลินจึงมีบทบาทตลอดเรื่อง”
ผู้กำกับฯ ได้รวมพลังอีกครั้งกับบรรดาผู้ที่เคยร่วมงานกันมานาน พี่น้องวาโชสกี้และโจเอล ซิลเวอร์ ซึ่งอำนวยการสร้างเรื่อง Ninja Assassin ร่วมกับแกรนท์ ฮิลล์ แมคทีคได้เรียนรู้งานตั้งแต่อายุยังน้อยด้วยการรับตำแหน่งเป็นผู้กำกับฯยูนิตที่สองในภาพยนตร์ไตรภาคที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง Matrix การกำกับฯ หนังเรื่องแรกของเขาคือผลงานดัดแปลงจากหนังสือการ์ตูนเรื่อง V For Vendetta เป็นอีกครั้งที่เขาทำงานกับพี่น้องวาโชสกี้ เรื่อง Ninja Assassin ซึ่งเขียนขึ้นโดยแมทธิว แซนด์ และเจ ไมเคิล สแตรคซิงสกี้ นับเป็นการร่วมงานครั้งที่ 6 ของพวกเขา
“หลังจากเรื่อง V For Vendetta ผมสนใจที่จะทำงานหนังแอ็คชั่นใหญ่ๆ” แมคทีคกล่าว “ผมกับพวกผู้ออกแบบท่าการต่อสู้จะทำงานกันนานมากสำหรับทั้งเรื่อง V และ Matrix เพราะอยากทำให้เป็นการยกระดับหนังแต่ในขณะเดียวกันก็ยังเล่าถึงเรื่องราวยิ่งใหญ่ด้วย”
แรงดึงดูดที่สุดของผู้กำกับฯ คือความเป็นไปได้ที่จะถ่ายทอดเรื่องราวลึกลับของตำนานนินจาและแอ็คชั่นในเรื่องราวยิ่งใหญ่ ฉากจริงๆ กับตัวละคร และฉากร่วมสมัยที่ดูน่ากลัว “เราทุกคนรู้จักตำนานพื้นบ้านของนินจาเป็นอย่างดี” ผู้กำกับฯ เล่า “พวกนินจาเป็นตัวละครที่แฝงอยู่ในเงามืด ซึ่งมักจะโผล่ออกมาจากความมืดเสมอๆ โดยทั่วไปจะถูกเลี้ยงดูจากการเป็นเด็กกำพร้า พวกเขาเกี่ยวข้องกับพวกซามูไรได้อย่างไร พวกเขาย้อนเวลากลับไปเป็นร้อยๆ ปีได้อย่างไร นั่นเป็นเหมือนกรอบของเรื่องราว หลังจากได้ดูหนังนินจายุค '80 หลายต่อหลายเรื่อง ผมคิดว่ามันน่าจะดีที่จะมีหนังนินจาสักเรื่องที่จะทำให้นินจาเข้ามาอยู่ในโลกสมัยนี้ ซึ่งยังไม่เคยมีใครทำแบบนั้นมาก่อน และเมื่อมาอยู่รวมกับแอ็คชั่นรอบๆ ตัวพวกนินจา เราน่าจะได้เรื่องราวดีๆ ที่มีความลึกและพัฒนาการของตัวละคร”
ในฐานะแฟนพันธุ์แท้ของหนังนินจามาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา แมคทีคคิดว่าตำนานนี้เป็นตัวแทนของความเป็นไปได้อย่างมากของเรื่องราวแอ็คชั่นร่วมสมัยที่เข้มข้น เขากระตือรือร้นมากที่จะสร้างชีวิตให้กับการสังหารอย่างโหดเหี้ยมด้วยดาบซึ่งเขาชื่นชอบจากหนังการ์ตูนอย่าง Ninja Scroll และ Samurai Champloo “การต่อสู้พวกนั้นล้ำลึกกว่ามาก—ถ้าใครสักคนถูกดาบฟัน แขนจะหลุดออกมา” เขาเล่าด้วยเสียงหัวเราะ “ถ้ามีใครถูกขว้างด้วยอาวุธลับ ก็เท่ากับขาดไปครึ่งตัว”
ก่อนการถ่ายทำจะเริ่มด้วยซ้ำไปที่เขาวิญญาณนินจาเพรียกหา เขาจึงได้เชื้อเชิญให้ทีมนักแสดงไปงานเทศกาลภาพยนตร์สั้นซึ่งรวมถึงผลงานตำนานของ อากีระ คุโรซาว่าเรื่อง Seventh Samurai รวมถึงภาพยนตร์นินจายุค ’60 หลายเรื่องอย่าง Shinobi No Mono หนังแอ็คชั่นนัวร์ยุค ’50 และหนังประเภทหลบหนีอย่าง Badlands และ The Getaway
องค์ประกอบการหลบหนีคือหัวใจสำคัญ เพราะตัวละครเอกในหนังของแมคทีคนั้นคือผู้หลบหนี …
เรน—นักร้องเพลงป็อปและนักแสดงชาวเกาหลีผู้โด่งดัง—รับบทเป็นมือสังหารติดอันดับ ไรโซ นินจามฤตยูที่ถูกลักพาตัวตั้งแต่เด็กเพื่อถูกฝึกให้กลายเป็นนักฆ่าโดยกลุ่มโอซูนุลึกลับที่ถูกกล่าวขานว่ามีอยู่ก็เพียงในตำนาน ไรโซแหกกฎและเผยความลับของกลุ่มหลังจากที่ได้รู้เห็นความโหดเหี้ยมในการสังหารเพื่อนสนิทของเขา และหายตัวไปในยุโรป แต่ยังถูกตามหลอนด้วยความทรงจำที่เพื่อนถูกฆ่าตาย ไรโซเฝ้าคอยจังหวะที่เขาจะได้แก้แค้น
“ไรโซไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นมือสังหาร” แมคทีคเล่า “เขาถูกฝึกมาให้เป็นมือสังหาร และเมื่อเขาเรียนจบก็จะกลายเป็นนักฆ่า เขาต่อต้านกลุ่มและตั้งเป้าหมายในชีวิตเพื่อพยายามหยุดยั้งสิ่งที่กลุ่มนินจากำลังทำอยู่ ทุกครั้งที่พวกนั้นลงมือฆาตกรรม เขาจะตั้งเป้าในการหยุดยั้งพวกเขา”
ผู้อำนวยการสร้างโจเอล ซิลเวอร์กล่าวว่าการแสดงของเรนตั้งอยู่บนพื้นฐานของตำนานเรื่องเล่าของนินจา “เรื่องราวของไรโซเป็นบรรทัดฐานของตำนานนินจา—เด็กกำพร้าที่ไม่มีทักษะ ไร้ความสามารถ และต้องฝึกฝนหนัก ด้วยความมุ่งมั่นและการฝึกหัดที่แสนโหดร้ายซึ่งเขาถูกกดดันจากอาจารย์ เขาทำสิ่งยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ แต่นอกเหนือจากสิ่งเหล่านั้น เขาได้รับความเจ็บปวดและความกดดันส่วนตัว มันทำให้เขาเป็นตัวเขา และเรนรับบทเป็นตัวละครได้อย่างสมจริงสมจังและทำให้เราเชื่อเมื่อเขาทำได้เหนือกว่าปีศาจร้ายที่ฝึกฝนเขา และกลายเป็นคนที่ดีกว่าด้วยสิ่งนั้น”
บทนี้ต้องใช้พลังกายอย่างสูงจากนักแสดงนำ และด้วยภูมิหลังด้านการเต้น เรนเรียนรู้การป้องกันตัวได้อย่างรวดเร็ว จากการได้พบเจอตัวจริง เขาดูเหมือนมือสังหารมฤตยูอย่างที่รับบทในหนังทุกกระเบียดนิ้ว หลังจากหลายเดือนของการเตรียมร่างกายและท่าการต่อสู้ เรนก็ฟิตเต็มพิกัด
“ผมฝึกเพื่อหนังเรื่องนี้เป็นเวลาหกเดือนเต็ม” เรนเล่าให้ฟังระหว่างช่วงพักการถ่ายทำ “ผมได้เรียนเทควันโด้ กังฟู การเคลื่อนไหว ฝึกใช้อาวุธ ฝึกใช้ดาบ ผมเรียนรู้มากมายหลายอย่าง มันยาก แต่พื้นฐานการเต้นของผมช่วยได้มาก”
สิ่งที่ดึงดูดผู้กำกับฯ แมคทีค และผู้กำกับฯ ยูนิตที่สอง แชด สตาเฮลสกี้ และเดวิด ลีทช์ ในตัวของเรนคือความสามารถโดยธรรมชาติของเขา “เรนมีพรสวรรค์อย่างมาก” สตาเฮลสกี้บอก “และทั้งพรสวรรค์รวมกับความทุ่มเทของเขา ทำให้เราสามารถทำอะไรได้อีกเยอะ แทนที่จะต้องถ่ายทำด้วยตัวแสดงสตันท์ หรือภาพจากทางด้านหลัง เราสามารถถ่ายเรนกับแอ็คชั่นด้วยจำนวนช็อตที่น้อยลง ถ่ายภาพที่กว้างขึ้นได้ และถ่ายฉากแอ็คชั่นที่ยาวขึ้น เพราะฉนั้นเวลาที่เราดูจะรู้สึกได้ว่า ‘ว้าว นี่มันตัวจริง’ และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ!”
หนังแอ็คชั่นนั้นต้องพึ่งตัวละครเอกตั้งแต่ต้นจนจบ เขาจะต้องมีเสน่ห์ หล่อ และน่าเชื่อถือ ใน Ninja Assassin เขายังจะต้องดูแล้วน่าเชื่อว่าเป็นนักฆ่า “เราใช้ลวดสลิงกับนักแสดง ใช้ระเบิดกับ CG ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วเราต้องเชื่อว่าตัวละครกับคนๆ นั้นเป็นคนที่ทำ” สตาเฮลสกี้กล่าวเสริม
“เขาเป็นตัวละครที่เซ็กซี่” เรนบอก “มือสังหารนินจา… ผมชอบมากที่ได้เล่นเป็นเขา! ตัวละครของผมโหดมาก มีการต่อสู้หนักๆ เยอะ และเขาก็ฆ่าคนไปมากมายในหนังเรื่องนี้—ทั้งดาบ, โซ่, อาวุธลับ หนังเรื่องนี้ดุมากๆ”
ตัวละครนั้นเป็นเหมือนสิ่งที่นักแสดงหนุ่มเคยฝันถึงมาตลอดชีวิตในทางหนึ่ง “ตอนยังเด็ก ผมเคยอยากเล่นหนังศิลปะป้องกันตัว เมื่อตอนที่ถ่ายทำเรื่อง Speed Racer ผมมีโอกาสได้คุยกับพี่น้องวาโชสกี้เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ และเจมส์ก็เก่งที่สุด เขามีความสามารถที่น่าทึ่ง มีสุดยอดงานวิชวลเอ็ฟเฟ็คหลายอย่างในเรื่องนี้ที่ไม่น่าจะมีใครเคยเห็นกันมาก่อน”
คู่ต่อสู้ของไรโซคือหัวหน้ากลุ่ม นินจาโอซูนุผู้ทรงพลัง การคัดเลือกให้โช โคซูกิ—เมื่อนึกถึงภาพนินจาที่บรรยายไว้ในหนัง—นับเป็นการเลือกที่สำคัญยิ่งของทีมผู้สร้าง หลังจากที่หายหน้าไปจากการทำงานประเภทนี้ในระหว่างปี 1980 และ ’90 เกือบ 20 ปี โคซูกินับว่าเป็นตำนานอย่างแท้จริง
โช โคซูกิ เป็นศิลปินป้องกันตัวและการใช้อาวุธผู้เชี่ยวชาญประสบความสำเร็จในภาพยนตร์ที่ย้อนไปในอาชีพการแสดง ในความเป็นนักสู้ขนานแท้ระหว่างช่วงกลางถึงปลายทศวรรษที่ ’70 ด้วยบทบาทตัวเอกครั้งแรกในหนังเรื่องดังของ Cannon Films - Enter The Ninja โคซูกิซึ่งเคยรับบทเป็นวายร้ายเจ้าเสน่ห์และน่าประทับใจ ซึ่งนับว่าเป็นการแสดงหนังอันโดดเด่นที่ยังอยู่ในความทรงจำของบรรดาแฟนๆ ที่คิดถึงจนวันนี้ ในเรื่อง Enter the Ninja โคซูกิได้หล่อหลอมสัญลักษณ์ของนินจาและเปิดประตูสู่หนังแอ็คชั่นและนินจาในช่วงปี ‘80
แน่นอนว่า ความสำเร็จนี้เองที่ทำให้โคซูกิเหนื่อยหนักกับวงการ และหวนคืนสู่ญี่ปุ่นที่ซึ่งเขาได้เปิดโรงเรียนสอนหลายแห่งในชื่อ Sh? Kosugi Institute “เขาหายหน้าหายตาไปพักหนึ่ง เพื่อทำงานในโรงเรียนสอนวิชาป้องกันตัวของเขา แต่ผมคิดว่าได้เวลาพอดี” แมคทีคกล่าว “เขาเข้ามา ทดสอบหน้ากล้อง และทำได้ดีมากๆ ผมสนใจอย่างยิ่งที่จะแสดงความรำลึกถึงพวกหนังนินจายิ่งใหญ่ที่ผมชื่นชอบ และเขาต้องแสดงออกในหนังเรื่องนี้ เขาเป็นตัวร้ายได้สมบทบาท”
ผู้อำนวยการสร้าง แลร์รี่และแอนดี้ วาโชสกี้ ตามหาตัวโคซูกิในญี่ปุ่นโดยเฉพาะ “พวกเขาต้องการเจอผม ผมไปพบพวกเขาและพวกเขาขอให้ผมรับบทนำเป็นตัวร้าย” โคซูกิย้อนความจำ ในหนังนินจาหลายสิบเรื่อง โคซูกิเคยรับบทพระเอก แต่ยินดีมากที่จะได้มีโอกาสเล่นเป็นอดีตอาจารย์ของไรโซ และหัวหน้ากลุ่มโอซูนุ เขายังจำได้ว่า “ผมอ่านบท ชอบมากและก็คิดว่า ทำไมจะไม่รับล่ะ? ผมเล่นเป็นหัวหน้า เก่งที่สุด ผมอายุเกือบ 60 แต่ร่างกายยังแข็งแรงมาก”
เขายังชื่นชมกับชื่อของเขาด้วย : “รู้ไหมว่าทำไมถึงชื่อว่ากลุ่มโอซูนุ? รู้ความหมายหรือเปล่า? โอซูนุเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มพระในภูเขา เขาเป็นคนที่เริ่มต้นการเป็นพระในภูเขา พระภูเขากับนินจาเกี่ยวเนื่องกันมาก นั่นคือเหตุผลที่กลุ่มมีชื่อว่าโอซูนุ ผมอ่านมันและคิดว่า ‘อืม คนเขียนเรื่องนี้ทำการบ้านมาดี!’”
ในขณะที่รายละเอียดของฉากแอ็คชั่นของเรื่อง Ninja Assassin ถูกเก็บไว้เป็นความลับ อย่างหนึ่งที่เรารู้แน่ๆ ก็คือว่าโคซูกิจะต้องต่อสู้กับไรโซ “มันจะเป็นฉากการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม เชื่อผมสิ” เขาหัวเราะ “แลร์รี่กับแอนดี้มีความคิดดีๆ เยอะ เหมือนอย่างกระสุนในเรื่อง The Matrix ว้าว น่าทึ่งมาก แต่พวกเขาก็จะทำอะไรที่น่าสนใจอีกในเรื่องนี้ …”
การผจญภัยเริ่มต้นในเบอร์ลิน ที่ซึ่งไรโซช่วยชีวิตมิก้า คอร์เร็ตติ เจ้าหน้าที่ตำรวจสหภาพยุโรป ไว้จากทีมมือสังหารที่ถูกส่งมาจากกลุ่มโอโซนุ “หนึ่งในหลายคนที่โอซูนุหมายปองชีวิตคือมิก้า ซึ่งกำลังสืบสวนเรื่องพวกเขา” แมคทีคเล่า “ไรโซเข้ามาขวางและพวกเขาต้องหนีไปด้วยกัน จากความรู้ของเธอเกี่ยวกับนินจา และการค้นคว้าที่เธอทำมา เธอได้ช่วยให้เขาหาทางกลับไปยังต้นตอของปัญหา ซึ่งก็คือเด็กกำพร้ากับอาจารย์”
นาโอมิ แฮร์ริสซึ่งโด่งดังในระดับโลกนับแต่ภาพยนตร์เรื่อง 28 Days Later และ Pirates of the Caribbean รับบทเป็นมิก้า คอร์เร็ตติ ซึ่งหลังจากที่ยืนยันกับหน่วยงานของเธอซึ่งไม่เชื่อว่าพวกนินจากำลังออกสังหารผู้คนไปทั่วยุโรป ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน “ไรโซช่วยชีวิตเธอไว้” แฮร์ริสอธิบายภายหลัง “พวกเขาถูกตามล่าโดยพวกนินจา และสุดท้ายพวกเขาก็ต้องระหกระเหินไปด้วยกัน แอ แต่เธอก็ออกจะไร้ประโยชน์ เพราะว่าไม่รู้วิธีหนีให้พ้นมือนินจา ซึ่งคนทั่วไปก็ไม่รู้ แต่เขามีข้อมูลถูกต้องที่ช่วยได้มาก และเธอก็ประทับใจในตัวเขามาก ก่อนที่จะได้เจอตัวด้วยซ้ำ เพราะเธอเคยเห็นเขาในภาพวิดีโอที่ได้รับมา สำหรับเธอมันจึงเป็นเหมือนฝันที่เป็นจริงกับมนุษย์ที่น่าทึ่งคนนี้ ในขณะที่กำลังเดินทางด้วยกัน เธอก็ยิ่งชื่นชอบเขามากขึ้นเรื่อยๆ ถึงฉันจะคิดว่าไรโซไม่ได้สนใจแบบนั้น พูดตามตรง เขามีเรื่องอื่นอีกเยอะแยะ ก็เลยดูเหมือนว่า ‘ผมไม่มีเวลาให้เรื่องความรัก’”
แฮร์ริสมาทำงานหนังเรื่องนี้โดยไม่เคยรู้มาก่อนถึงความโด่งดังเป็นพลุในเอเชียของดาราที่แสดงคู่กับเธอ “สักประมาณครึ่งหนึ่งของการทำงานหนังเรื่องนี้ ฉันก็นึกขึ้นมาว่า ‘อ้อ ฉันจะดูผลงานของเรน’ แล้วก็ได้ดูคอนเสิร์ตของเขาที่มีคนนับเป็นหลายๆ พันที่มาดูคอนเสิร์ตเรน ฉันไม่เคยรู้เลยว่าเขาเป็นดาราดังขนาดไหน และเราไม่มีทางรู้เวลาที่ทำงานกับเขา เพราะเขาเป็นคนที่ติดดินอย่างมาก ทุ่มเท และทำงานหนัก เขาน่าทึ่งมาก”
ริค ยูน (The Fast and the Furious) รับบทเป็นทาเคชิ นินจามฤตยูที่ถูกส่งมาโดยโอโซนุเพื่อกำจัดมิก้ากับไรโซ ยูนมองว่า Ninja Assassin เป็นการสร้างหนังนินจาโฉมใหม่เพื่อคนรุ่นใหม่ “มีหนังนินจาเยอะแยะมากมายในช่วงทศวรรษที่ ’80 บางเรื่องก็ดีกว่าเรื่องอื่นๆ และผมคิดว่าเราอยากให้เรื่องประเภทที่เคยเป็นหนังระดับ ‘B’ —หนังระดับ B ชั้นดีที่ยังเป็นระดับ B—และเมื่อนำมารวมเข้ากับองค์ประกอบของหนังนัวร์ในทศวรรษ ’50 ความระทึกและแอนิเมะ ทุกอย่างรวมกันและสร้างเวอร์ชั่นใหม่ของหนังนินจา”
สำหรับบทนี้ ยูนประทับใจกับทีมสตันท์ยอดฝีมือที่แมคทีคและสตาเฮลสกี้นำมาทำงานร่วมกัน “แชดเคยทำงานกับคนเก่งที่สุด คนพวกนี้เก่งที่สุดในสิ่งที่พวกเขาทำ เราได้ทำงานอย่างเมามัน”
แอ็คชั่นในเรื่อง Ninja Assassin มาจากความคิดของทีมงานสตาเฮลสกี้และลีทช์ สตันท์แมน ผู้กำกับฯ ยูนิตที่สอง และผู้ประสานงานการต่อสู้ แชด สตาเฮลสกี้ เป็นอดีตผู้ฝึกสอน Jeet Kune Do และนักมวยอาชีพมาก่อน เขาเริ่มต้นอาชีพในขณะที่หนังต้นทุนต่ำกำลังขึ้นสู่จุดสูงสุดในช่วงทศวรรษ ’90 ด้วยการทำงานในหนังอย่างเรื่อง Fist of the North Star, Mission off Justice และ Bloodsport 2 & 3 เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ที่เป็นตำนานอย่างเจฟ วินคอตต์, แกรี่ แดเนียลส์ และแดเนียล เบิร์นฮาร์ท หลังจากหลายปีที่ผ่านมาสตาเฮลสกี้ยังได้ทำงานหนังแอ็คชั่นให้กับหนังไตรภาคที่ใหญ่และยอดเยี่ยมที่สุดเรื่อง The Matrix ไปจนถึงฉากดวลดาบและแอ็คชั่นในเรื่อง XXX2 : The Next Level และเรื่อง Constantine
เมื่อเราได้พบกับสตาเฮลสกี้ ซึ่งกำลังทำงานในขั้นตอนสุดท้ายของภาพตำนานระหว่างไรโซและทาเคชิ เขามีเวลาเหลือน้อยกว่า 18 วันสำหรับเรื่อง Ninja Assassin
เขาและทีมงานยูนิตที่สองเริ่มทำงานเมื่อสี่อาทิตย์ก่อนหน้าและนับแต่นั้นมาได้ทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์เพื่อให้ฉากแอ็คชั่นดุเดือดและซับซ้อนจำนวนมากเสร็จสมบูรณ์
“ฉากแอ็คชั่นในหนังเป็นงานแนวเอเซียมากกว่าอเมริกัน” สตาเฮลสกี้กล่าว “จุดหมายของเราในหนังเรื่องนี้คือการหาคนที่ใช่ ซึ่งเราทำได้ แปลว่าโดยทางเทคนิคแล้วเรากำลังทำอะไรที่แตกต่าง”
ผู้อำนวยการสร้างแกรนท์ ฮิลล์เสริมว่า “หนึ่งในหลายๆ อย่างที่ทุกคนชอบคือการเริ่มต้นที่จะใช้รูปแบบญี่ปุ่นในงานแอ็คชั่น แต่ให้ออกมาดูมากกว่านั้น และพยายามใส่กฎอย่างอื่น องค์ประกอบอื่นๆ และความเป็นกีฬาอย่างการวิ่งฟรีสไตล์ เราอยากใส่ความเป็นยิมนาสติกอย่างมากลงไปในการเคลื่อนไหว แชดกับเดฟอยากให้ส่งความรู้สึกลงไป และในที่สุดเราก็คิดว่าเพื่อให้ออกมาดีที่สุด อย่างเช่นการใช้คน 25 ถึง 30 คนรวมกัน เราก็จะต้องให้พวกเขามาจากทั่วเอเชียและอเมริกา ความตั้งใจคือการอยากเห็นว่าเราจะผสมผสานกฎเหล่านี้เข้ากับศิลปะป้องกันตัวที่เรารู้ และการนำมันไปในทิศทางที่จะเกิดความเป็นไปได้ที่ไม่ธรรมดาในแง่ที่ว่าเราใส่ฉากแอ็คชั่นเหล่านั้นลงไปด้วยกัน นั่นเป็นหนึ่งในหลายอย่างที่แชดกับเดฟบอกกับเราในที่ประชุมตั้งแต่ต้นๆ—เป็นความคิดที่ชัดเจนว่าพวกเขารู้สึกว่าจะสามารถใส่ลงไปในแอ็คชั่นในขีดจำกัดของสคริปท์”
“แก่นทั้งหมดของหนังเรื่องนี้คือความสามารถของมนุษย์และความพยายามที่จะรวบรวมทีมสตันท์ที่เก่งที่สุดเท่าที่เราจะหาได้” เดวิด ลีทช์ให้ความเห็น “เราโยนความเสี่ยงให้กับพวกที่ยังหนุ่มๆ ซึ่งมีทักษะโดยเฉพาะ พวกเขาไม่จำเป็นต้องเป็นนักแสดงสตันท์มือเก่า แต่เราได้รวบรวมทีมนี้มาเพื่อให้เท่าเทียมกับความสามารถของเรน เพราะว่าเรนเป็นนักแสดงและนักกีฬาที่เก่งหาตัวจับยาก เราจึงต้องล้อมรอบเขาด้วยพวกนินจาที่ฝีมือทัดเทียมหรือเก่งกว่าในด้านหนึ่ง จึงนับเป็นเรื่องท้าทาย มันทำให้เราหลีกให้พ้นจากการใช้ลวดสลิงเป็นตัวช่วย และทำให้มันดูเป็นกายบริหารและการแสดงที่สมจริง และนั่นก็ย้อนกลับไปหาสิ่งที่เราอยากจะทำมาตั้งแต่ต้น”
การสร้างสรรค์งานแอ็คชั่นยังขยายผลไปถึงฉากแอ็คชั่นที่ซับซ้อนมากที่สุดในหนัง—การไล่ล่าท่ามกลางการจราจรในใจกลางเมืองเบอร์ลิน ซึ่งมองเห็น Freedom Tower และ Brandenburg Gate ในระยะไกล “เราถ่ายทำฉากใหญ่ภายนอกนี้ตรงใจกลางเบอร์ลินซึ่งออกมาอย่างยอดเยี่มมาก” ซิลเวอร์อธิบาย “คุณจะไม่เคยห็นอะไรแบบนี้ที่มีพวกนินจากระโดดไปมาบนรถยนต์ ผ่านรถ ถูกรถชน ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกใหม่และน่ตื่นเต้นมาก และเป็นสิ่งที่คนจะสนุกเมื่อได้ดู”
ตลอดการเยี่ยมชมกองถ่ายเรื่อง Ninja Assassin เห็นได้ชัดว่าสตาเฮลสกี้และแมคทีคกำลังทำงานในหนังเรื่องนี้อย่างที่ไม่เคยได้เห็นกันมาก่อน เช่นเดียวกันกับที่ The Matrix ได้บุกเบิกและสร้างกระแสนิยมให้กับ ‘Bullet Time’ เรื่อง Ninja Assassin จะสร้างความบันลือโลกให้กับหนังแอ็คชั่น เพื่อช่วยให้ผู้สร้างภาพยนตร์ยกระดับงานแอ็คชั่นให้กับ Ninja Assassin เขาจะทำงานร่วมกับแมคทีคและตากล้องคาร์ล วอลเตอร์ ลินเดนโลบ เพื่อสร้างสรรค์วิธีใหม่เอี่ยมให้กับการถ่ายทำฉากต่อสู้
สตาเฮลสกี้เป็นหนึ่งในผู้ออกแบบท่าต่อสู้ให้กับภาพยนตร์ของแซ็ค สไนเดอร์ เรื่อง 300 ซึ่งใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า “crazy horse”—ใช้กล้องสามตัวซ้อน “มันทำให้เราสามารถซูมเข้าและออกภาพแอ็คชั่นได้อย่างรวดเร็วด้วย 3 กล้องในเวลาเดียวกัน” เขาอธิบาย “แต่ในเรื่อง 300 เราแค่ทำแบบนั้นบนดอลลี่แนวตรงธรรมดา ในเรื่อง Ninja Assassin เราตัดสินใจจะทำทุกอย่างในระดับใหม่หมด เรามีดอลลี่ที่เป็นวงกลมโดยมีเรนอยู่ตรงกลาง และแอ็คชั่นเกิดขึ้นรอบตัวเขาตลอดเวลา ดังนั้นมันจึงเป็นเหมือนภาพความยาว 45 วินาทีที่ไม่ตัดต่อ”
ความเป็นมืออาชีพและกฎการทำงานสุดโหดของนักแสดงหลักของเรื่อง ทำให้สตาเฮลสกี้มีผืนผ้าใบที่เหมาะมากสำหรับการออกแบบท่าแอ็คชั่นสุดขั้ว สตาเฮลสกี้ยืนยันว่า “เจามีกฎการทำงานที่ไม่เหมือนใครที่เราเคยเจอ เรนเป็นคนที่พิเศษ—หนุ่มที่มีความสามารถมากมาย”
“มันมีเหตุผลที่เรนเป็นคนดังแห่งเอเซีย” แมคทีคกล่าว “และหลายอย่างที่เขามีในการเป็นนักร้องยอดนิยม ที่ผมคิดว่าเขาได้ใส่ลงไปในหนัง รวมทั้งความมีวินัยที่น่าทึ่งของเขา ตัวอย่างเช่น เราทำให้เขาดูครั้งเดียว—อย่างท่าการต่อสู้ที่ซับซ้อนมากๆๆ—และเขาจดจำมันได้เกือบในทันที และเขาจะทำได้ดีกว่าที่เราทำให้ดูด้วยซ้ำ และผมคิดว่าเขาเข้าถึงบทบาทที่จะกลายเป็นคนที่อยู่ในหนังเรื่องนี้ ยิ่งการฝึกรุดหน้าไป เขาก็ยิ่งทำได้ดีขึ้นไปอีก”
ก้าวก่อนหน้าของเรนในวงการคือภาพยนตร์อเมริกันเรื่อง Speed Racer สตาเฮลสกี้เคยได้ดูผลงานของนักแสดงหนุ่มอย่างละเอียด “เราตกลงใจจะใส่ฉากแอ็คชั่นเข้าไปเล็กน้อยสำหรับเรน แต่เราไม่รู้จักเรนก็เลยคิดว่าจะลดความยากลงหน่อย พอเรนมาถึงเขากลับบอกว่า ‘ผมต้องการฝึก’ เขาเรียนรู้ได้เร็วกว่าที่เราเคยคาดหวังเอาไว้ เขาทุ่มเทจิตใจและความคิดลงไปในฉากและเราก็ประทับใจมากจนต้องไปบอกกับพี่น้องวาโชสกี้ให้กับเรื่อง Ninja Assassin เราพูดว่า ‘เราน่าจะเจอเขาคนนั้นแล้ว’ และเมื่อพวกเขาได้ดูเทปการซ้อม พวกเขาว่า ‘ช่าย ผมว่าคุณเจอเขาแล้วละ’”
เมื่อกลับออกมายังลานจอดรถของ Babelsberg เราเดินผ่านรถตำรวจสีดำสนิทที่จอดเรียงอยู่จำนวนหนึ่ง ไม่ต้องสงสัยว่านั่นคือส่วนประกอบของหนึ่งในบรรดาฉากแอ็คชั่นจำนวนมากของหนัง ในระยะไกลเรามองเห็นโลเคชั่นหลักแห่งหนึ่งของหนัง—บ้านเด็กกำพร้า รูปแบบตกแต่งที่ละเอียดของต้นเมเปิลญี่ปุ่น และทางเดิน ฉากนี้ดูเหมือนเป็นเขตหนึ่งของญี่ปุ่น… จะขาดก็เพียงแต่กลุ่มนินจาติดอาวุธที่เดินวนเวียนแบบมุ่งร้ายอยู่ในฉาก
แมคทีคนั่งอยู่หลังกองมอนิเตอร์ในขณะที่ทีมงานเตรียมการถ่ายทำฉากแรกสำหรับเย็นนั้น : เรนซึ่งแต่งหน้าเพื่อให้เหมือนผ่านการต่อสู้มาในระดับหนึ่ง ทั้งฟกช้ำ และมีเลือดกรัง ถูกผูกติดกับเสาตรงกลางลาน เผชิญหน้ากับโอซูนุ ไรโซถูกปลุกจากการสลบด้วยการสาดน้ำทั้งถังเข้าที่หน้า
มีการซักซ้อม (โดยการใช้ถังเปล่า) และพวกนักแสดงกับทีมงานก็เริ่มทำงานในฉากที่มีความยาวนาทีเศษในหนึ่งเทค หลังจากการหารือสั้นๆ กับสตาเฮลสกี้ แมคทีคกระโดดจากเก้าอี้ ก้าวเร็วๆ เข้าไปหาเรนเพื่อเพิ่มเติมการกำกับฯ ในนาทีสุดท้ายให้กับนักแสดง เมื่อผู้กำกับฯ กลับมาที่เก้าอี้และเฝ้าดูจอมอนิเตอร์อย่างตั้งใจ มีการตรวจเช็คว่าน้ำอุ่นในถังถูกเตรียมไว้เรียบร้อย ทุกคนถูกขอให้เงียบเสียงและอีกไม่กี่วินาทีต่อมา “แอ็คชั่น!” ก็ถูกตะโกนขึ้น
ในเรื่อง Ninja Assassin นับเป็นการผสมผสานของสคริปท์ที่ยอดเยี่ยม นักแสดงนำหนุ่มที่เปี่ยมพลัง และงานแอ็คชั่นบันลือโลกที่มีอนาคต นับเป็นเหมือนสนามเด็กเล่นสำหรับผู้กำกับฯ ในความทุ่มเทอย่างมากของเขา
“ในหนังที่ผมกำกับฯ เป็นเรื่องแรกอย่าง V For Vendetta ผมรู้จักกับหนังสือมาก่อนและพวกเขาก็เขียนสคริปท์เมื่อเราตั้งต้นคุยกันเรื่องนั้น” แมคทีคเล่า “สำหรับ Ninja Assassin นับว่าเป็นหนังที่แตกต่างกันมาก V เป็นความบีบคั้นและเข้ากันกับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นในโลก ส่วนเรื่อง Ninja Assassin นั้นเราพยายามที่จะทำหนังแอ็คชั่นยิ่งใหญ่ที่มีการบรรยายที่ดีเกี่ยวกับหัวข้อที่มหัศจรรย์”
“มันเป็นหนังที่น่าตื่นเต้น” ซิลเวอร์กล่าว “มันดึงดูดใจ สนุก ทำได้อย่างสวยงาม และการแสดง การต่อสู้ เรื่องราวระดับชาติที่ยิ่งใหญ่ และมันก็มีเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ หนักแน่นด้วยนักแสดงนำที่ยอดเยี่ยม มันเป็นหนังเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ เกียรติยศ และตัวตน หนังนินจาเรื่องนี้เหนือกว่าหนังนินจาเรื่องอื่นๆ ทุกเรื่อง”
ถ้าแมคทีคและนักแสดงชั้นนำของเขากับทีมแอ็คชั่น จะสามารถยืนหยัดกับภาพเหล่านั้นไว้ได้ ปี 2009 ก็จะกลายเป็นปีที่เหล่านินจาได้มีโอกาสเกิดใหม่เพื่อคนยุคใหม่ทั้งมวล