กรุงเทพฯ--5 พ.ย.--ธนาคารกสิกรไทย
เครือธนาคารกสิกรไทยรุกที่ปรึกษาเทกโอเวอร์กิจการ หลังเป็นเจ้าแรกในไทยทำดีลช่วยผู้บริหารซื้อกิจการเอสวีไอต่อจากกองทุนต่างชาติได้เสร็จสมบูรณ์และโปร่งใส ด้วยบริการครบวงจรทั้งให้คำปรึกษา และให้สินเชื่อ 1,800 ล้านบาท ชี้แบงก์ไทยทำดีลซับซ้อนได้ ช่วยให้ลูกค้าสามารถบรรลุเป้าหมายสูงสุดทางธุรกิจและการลงทุน
นายสุรศักดิ์ ดุษฎีเมธา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า เครือธนาคารกสิกรไทยมุ่งให้บริการทางการเงินแบบครบวงจรมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าได้รับทางเลือกทางการเงินที่ตรงความต้องการในการลงทุนและการดำเนินธุรกิจสูงสุด โดยล่าสุดเครือธนาคารกสิกรไทยประสบความสำเร็จในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้สนับสนุนเงินกู้ให้แก่ผู้บริหารระดับสูงของ บมจ. เอสวีไอ (SVI) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการทำธุรกรรมประเภทการเข้าซื้อกิจการโดยผู้บริหาร (Management Buyout หรือ MBO) ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
ทั้งนี้ การทำธุรกรรมเข้าซื้อกิจการโดยผู้บริหารครั้งนี้ ทางเครือธนาคารกสิกรไทยได้ให้บริการทางการเงินอย่างครบวงจร โดยธนาคารกสิกรไทยได้พิจารณาศักยภาพของผู้บริหารที่ซื้อกิจการ ความมั่นคงและการดำเนินงานของ บมจ. เอสวีไอ ซึ่งนับเป็นบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตที่ดี และบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย เป็นที่ปรึกษา และให้คำแนะนำในการทำธุรกรรมในส่วนของผู้ถือหุ้น รวมถึงการจัดหาผู้ร่วมทุน และเนื่องจาก บมจ. เอสวีไอ เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังนั้นการเข้าซื้อกิจการต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ธุรกรรมมีความโปร่งใสเป็นธรรมทั้งในส่วนของผู้ซื้อ ผู้ขาย และผู้ถือหุ้นเดิมอื่น ๆ รวมทั้งถูกต้องตามบรรษัทภิบาลที่ดี (Good Governance)
โดยธนาคารกสิกรไทย ยังให้การสนับสนุนทางการเงินแต่เพียงผู้เดียว (Sole Lender) ในการสนับสนุนวงเงินสินเชื่อในรูปแบบ Bridging Loan จำนวน 1,800 ล้านบาท เพื่อให้ผู้บริหารใช้ซื้อหุ้นเอสวีไอเพิ่มจำนวน 877.31 ล้านหุ้น หรือ 58.48% ของหุ้นทั้งหมด จากผู้ถือหุ้นเดิม คือ บริษัท เอเชีย แปซิฟิก อิเล็กทรอนิกส์ จำกัด ซึ่งเมื่อรวมกับหุ้นที่มีอยู่แล้วทำให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นหลักในเอสวีไอ โดยถือหุ้นรวมทั้งหมด 1,041.82 ล้านหุ้น ทั้งนี้ ธุรกรรม MBO ดังกล่าวเสร็จสมบูรณ์ในวันที่ 23 กันยายน 2552 ซึ่งธนาคารกสิกรไทยได้รับชำระคืนหนี้ Bridging Loan ทั้งหมด
นายสุรศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ดีล MBO นี้จะเป็นต้นแบบที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของแนวทางการดำเนินธุรกิจของเครือธนาคารกสิกรไทย ในการเป็นผู้ให้บริการทางการเงินแบบครบวงจรได้อย่างแท้จริง และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของธนาคารไทยที่สามารถทำธุรกรรมที่มีความซับซ้อนได้เช่นเดียวกับธนาคารในต่างประเทศ สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ในหลายรูปแบบ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดทางธุรกิจและการลงทุน
ด้านนายพงษ์ศักดิ์ โล่ห์ทองคำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอสวีไอ เปิดเผยว่า ในฐานะผู้บริหารของ บมจ. เอสวีไอ ได้เล็งเห็นศักยภาพการเติบโตของธุรกิจนี้มาโดยตลอด โดยบริษัทมีรายได้เติบโตโดยเฉลี่ย 25% ต่อปี ใน 3 ปีล่าสุด เนื่องจากบริษัทดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับวงจรไฟฟ้าสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Manufacturing Services — EMS) ที่มีกลุ่มลูกค้าลูกค้าที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Original Equipment Manufacturer — OEM) และลูกค้าที่เป็นผู้รับจ้างออกแบบผลิตภัณฑ์ (Design House) ทั้งในประเทศและต่างประเทศซึ่งเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) จึงมีคู่แข่งในตลาดไม่มาก และได้รับผลกระทบจากความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจน้อยกว่าธุรกิจอื่น
ดังนั้นเมื่อ บริษัท เอเชีย แปซิฟิก อิเล็กทรอนิกส์ จำกัด ซึ่งถือหุ้นโดยกองทุน H&Q ซึ่งเป็นกองทุนร่วมลงทุน (Venture Capital) จากสหรัฐอเมริกา ที่มีความเชี่ยวชาญในการลงทุนในบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก ต้องการจะถอนการลงทุน เนื่องจากครบอายุของกองทุน และมีความประสงค์จะขายหุ้นเอสวีไอทั้งหมด จึงต้องการที่จะรักษาธุรกิจของบริษัทให้ดำเนินต่อไปภายใต้การบริหารของคนไทย จึงขอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นหลักเดิมผ่านการทำธุรกรรม MBO ที่มีความโปร่งใสสูงสุด ซึ่งเครือธนาคารกสิกรไทยก็สามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างครบถ้วน จึงทำให้ดีลดังกล่าวประสบความสำเร็จในที่สุด
ส่วนประชาสัมพันธ์ ธนาคารกสิกรไทย
โทร.0 2470 2653-8