กรุงเทพฯ--24 เม.ย.--ปตท.
นายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ ปตท. ได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศเมื่อวันที่ 9 เมษายน ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวทำสถิติสูงขึ้นต่อเนื่องกว่า 85 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทั้งนี้เป็นผลมาจากสถานการณ์ข้อพิพาทระหว่างชาติตะวันตกกับอิหร่านในเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ และความวุ่นวายในประเทศไนจีเรีย เป็นต้น ส่งผลให้ค่าการตลาดเฉลี่ยของ ปตท.ติดลบประมาณ 70 สตางค์/ลิตร ซึ่งค่าการตลาดที่เหมาะสมและเป็นธรรมควรอยู่ที่ประมาณ 1.20 บาท/ลิตร) ทำให้ ปตท. ต้องแบกรับภาระต้นทุนถึง 1.90 บาท/ลิตร หรือคิดเป็นมูลค่าที่ ปตท. แบกรับภาระแทนประชาชนไปแล้วถึง 600 ล้านบาท ตั้งแต่ในช่วงวันที่ 9 — 22 เม.ย. ศกนี้ (ปตท.จำหน่ายน้ำมันประมาณวันละ 22 ล้านลิตร) ด้วยเหตุนี้ ปตท. จึงจำเป็นต้องปรับราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศทุกชนิดขึ้น 40 สตางค์/ลิตร ทั้งนี้มีผลตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (23 เม.ย. 49) เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป ทำให้ราคาน้ำมันในเขต กทม. และปริมณฑลเป็นดังนี้
หน่วย : บาท/ลิตร
น้ำมันเบนซิน พีทีที อัลฟา เอ็กซ์ 95 28.34
น้ำมันเบนซิน พีทีที แก๊สโซฮอล์ 95 พลัส 26.84
น้ำมันเบนซิน พีทีที อัลฟา เอ็กซ์ 91 27.54
น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว พีทีที เดลต้า เอ็กซ์ ยูโร ทรี 26.69
น้ำมันพีทีทีไบโอดีเซล / น้ำมันดีเซล-ปาล์มบริสุทธิ์ 26.19
นายชัยวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ถึงแม้ว่า ปตท.จะปรับขึ้นราคาในครั้งนี้แล้ว แต่ค่าการตลาดโดยรวมก็ยังขาดทุนอยู่ และก่อนหน้านี้นับตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมจนถึงวันที่ 8 เมษายน ที่ผ่านมา ปตท. ก็ได้ช่วยแบกรับภาระแทนประชาชนไปแล้ว 600 ล้านบาท หากนับรวมตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมจนถึงปัจจุบัน ปตท. ต้องแบกรับภาระจากการที่ไม่ได้ปรับขึ้นราคาน้ำมันให้สะท้อนตามต้นทุนที่แท้จริงรวมเป็นเงินทั้งสิ้นถึง 1,200 ล้านบาท
ซึ่ง ปตท.ขอยืนยันว่าได้ทำหน้าที่ในฐานะบริษัทน้ำมันแห่งชาติอย่างเต็มที่และสมบูรณ์แบบ จะเห็นได้จากปีที่ผ่านมา (ปี 2548) ปตท. ก็ได้รับภาระราคาน้ำมันแทนประขาชนไปถึง 4,000 ล้านบาท นายชัยวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย
โทรศัพท์ 0 2537 2537, 2538 ส่วนประชาสัมพันธ์ กลุ่มธุรกิจน้ำมัน ปตท.
โทรสาร 0 2537 2572