กรุงเทพฯ--11 พ.ย.--แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
นายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ 3/2552 ว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อย มียอดขายอันเกิดจากการโอนบ้านรวมทั้งสิ้น 5,023 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.8 เมื่อเทียบกับ ไตรมาสเดียวกันของปี 2551 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 เมื่อเทียบกับยอดขายที่เกิดขึ้นในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา
ในส่วนของกำไรสุทธินั้น บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 3/2552 เท่ากับ 1,159 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2551 แต่หากเทียบกับไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1
สำหรับผลการดำเนินงานใน 9 เดือนแรกของปี 2552 บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ 12,768 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,906 ล้านบาท ยอดขายที่เกิดขึ้นในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ดีกว่าประมาณการที่บริษัทฯทำไว้ ประมาณ 7% ในขณะที่ตัวเลขกำไรสุทธิทำได้สูงกว่าประมาณการ ร้อยละ 22 สาเหตุที่ตัวเลขกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของยอดขาย เมื่อเทียบกับตัวเลขประมาณการเพราะว่า บริษัทฯ สามารถทำกำไรขั้นต้นได้สูงกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับค่าใช้จ่ายทางด้านการขายและบริหารที่เกิดขึ้นจริงก็ต่ำกว่าประมาณการค่าใช้จ่ายที่ได้ตั้งไว้ นอกจากนั้น ส่วนแบ่งกำไรที่ได้รับจากการลงทุนในบริษัทร่วมก็สูงกว่าที่เคยประมาณไว้ เนื่องจากบริษัทร่วมมีผลการดำเนินงานดีกว่าที่คาด
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2552 บริษัทฯ ได้เปิดโครงการใหม่จำนวน 8 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 11,000 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายอีก 2 โครงการ รวมมูลค่าเกือบ 4,000 ล้านบาท
ทางด้านฐานะการเงินของบริษัทฯ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2552 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 45,897 ล้านบาท ลดลง 206 ล้านบาท จาก 46,103 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2551 และมีสภาพคล่อง ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2552 จำนวน 1,741 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2551 จำนวน 508 ล้านบาท ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิของบริษัทฯ ลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 0.55 ณ สิ้นปี 2551 มาเป็นร้อยละ 0.54 ณ สิ้นไตรมาส 3/2552
ในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ลงทุนซื้อที่ดินไปประมาณ 2,500 ล้านบาท คาดว่าทั้งปีบริษัทฯ จะซื้อที่ดินทั้งสิ้นประมาณ 4,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากที่เคยประมาณการไว้เพียง 3,000 ล้านบาท
จากการที่บริษัทฯ มีสภาพคล่องในระดับค่อนข้างสูง คณะกรรมการบริษัทฯ จึงได้มีมติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลครั้งที่ 2 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท คิดเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น จำนวน 802 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทฯ ได้เคยจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลครั้งแรกประจำปี 2552 ไปเมื่อเดือนกันยายน ในอัตราหุ้นละ 0.16 บาท เป็นเงิน 1,604 ล้านบาท