กรุงเทพฯ--11 พ.ย.--คต.
นายวิจักร วิเศษน้อย รักษาการอธิบดีกรมกต่างประเทศ (คต.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาวะโลกร้อนมีผลต่อการค้ามากยิ่งขึ้น ทำให้ภาคอุตสาหกรรมเกิดความตื่นตัวกับปัญหาภาวะโลกร้อนมากขึ้น เนื่องจากในกระบวนการผลิตสินค้าและบริการนั้นจะต้องมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแทบทั้งสิ้น จึงมีการประสานความร่วมมือจากหลายองค์กรไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน จากทั้งในและต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการจัดการปัญหาภาวะโลกร้อน แนวคิดการจัดทำฉลากที่บ่งบอกถึงปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เรียกว่า ฉลากคาร์บอน ก็เป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากปัญหาดังกล่าว
ฉลากคาร์บอนแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. Carbon Footprint เป็นฉลากที่จัดทำขึ้นเพื่อบ่งชี้ข้อมูลของการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ระหว่างกระบวนการผลิต Carbon Footprint แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ Carbon Footprint แบบทางตรง จะเป็นการวัดปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงและพลังงานในกิจกรรมต่างๆ และ Carbon Footprint แบบทางอ้อม จะเป็นการวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาระหว่างกระบวนการผลิตโดยทางอ้อมซึ่งอาจจะอาศัย หลักการของการประเมินวัฏจักรของผลิตภัณฑ์
2. Carbon Reduction เป็นฉลากคาร์บอนที่จัดขึ้นเพื่อบ่งชี้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดลง ผู้ประกอบการจะแสดงความจำนงว่าจะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกิจกรรมการผลิตลงให้มีค่าต่ำกว่าที่เคยปล่อยออกมา โดยการปรับปรุงกระบวนการผลิตหรือใช้เทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสม
นายวิจักร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับประเทศไทยนั้น องค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)ได้ประกาศโครงการฉลากคาร์บอน ในระยะแรกของโครงการ มีแนวคิดการจัดระดับฉลากคาร์บอนออกเป็น 5 ระดับ โดยอาศัยวิธีการประเมินวัฐจักรของชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment : LCA) และเปรียบเทียบปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ฉลากคาร์บอนแต่ละระดับมีสีแตกต่างกัน พร้อมทั้งระบุปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไว้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ดีจะได้ปรับเปลี่ยนฉลากคาร์บอนให้อยู่ในรูปแบบที่เรียบง่ายมากขึ้น โดยมีการระบุรายละเอียดไปด้วย เช่น ประเภทของอุตสาหกรรม อักษรย่อชื่อบริษัทผู้ผลิต ประเภทของฉลากที่ได้รับ ปีค.ศ.ที่ได้รับการอนุมัติ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สามารถลดได้ สำหรับสินค้าที่จะได้รับการอนุมัติให้นำฉลากคาร์บอนไปติดแสดงที่ตัวสินค้าจะต้องมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่กำหนดไว้ ฉลากคาร์บอนที่ออกให้กับสินค้าแต่ละรายการนั้นจะมีอายุ 3 ปีต่อการออกฉลาก 1 ครั้ง ฉลากคาร์บอนนับเป็นเครื่องมือที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมที่ทุกคนอาศัยอยู่ร่วมกัน ทั้งยังเป็นเรื่องที่ผลิตสินค้าของไทยต้องติดตามความก้าวหน้าของโครงการอย่างต่อเนื่อง เพราะปัจจุบันการตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมกำลังมีบทบาทสำคัญในการค้าโลกมากยิ่งขึ้น