เวียดนาม … แหล่งลงทุนที่กำลังมาแรง

ข่าวทั่วไป Tuesday July 18, 2006 11:04 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--18 ก.ค.--ธนาคารกรุงเทพ
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่าปัจจุบัน "เวียดนาม" เป็นประเทศที่น่าลงทุนที่สุดประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากเวียดนามมีพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว ขนาดของประชากรกว่า 83 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นกำลังแรงงานกว่าครึ่งหนึ่ง เวียดนามจึงเหมาะสำหรับการผลิตทั้งเพื่อจำหน่ายในท้องถิ่นหรือส่งออก ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการลงทุนจากต่างประเทศ มีการดำเนินมาตรการหลายประการในการอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน พร้อมทั้งรับฟังและช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ขณะที่การเมืองมีเสถียรภาพมั่นคงและเป็นเอกภาพ เวียดนามมีความปลอดภัยในชีวิตสูง เพราะกฎหมายมีบทลงโทษรุนแรง ทำให้อาชญากรรมน้อย อีกทั้งขนาดเศรษฐกิจของเวียดนามมีศักยภาพที่จะเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในระดับเดียวกับไทยในอนาคต จึงมีความเหมาะสมสำหรับผู้ประกอบการไทยทั้งรายเล็กและใหญ่ที่จะเข้าไปลงทุน
เวียดนามอุดมไปด้วยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ รวมถึงแร่ธาตุชนิดต่างๆ มากมาย นอกจากนั้นเวียดนามยังมีศักยภาพในการผลิตสินค้าเกษตรหลายประเภท เช่น ข้าว กาแฟ ชา พริกไทย รวมไปถึงผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ แต่ยังขาดเทคโนโลยีทั้งในด้านการผลิต การถนอมสินค้า การจัดการ และการแปรรูป รวมถึงอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น การบรรจุภัณฑ์ ขณะที่ด้านอุตสาหกรรม ปัจจุบันการส่งออกสินค้าของเวียดนามยังจำกัดอยู่เพียงไม่กี่รายการ คือ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม รองเท้า และอาหารทะเล คิดเป็นสัดส่วนรวมกันกว่าร้อยละ 40 ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดของเวียดนาม (ไม่รวมน้ำมันดิบ) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสที่นักลงทุนต่างประเทศจะเข้าไปลงทุนยังมีอยู่อีกมาก
สำหรับพื้นที่ที่นักลงทุนควรเข้าไปลงทุนในเวียดนาม ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เสนอแนะว่าขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมที่จะเข้าไปลงทุน แต่อาจกล่าวโดยรวมได้ว่า เวียดนามยังสามารถรองรับการลงทุนจากประเทศไทยได้ทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะใน ภาคใต้ บริเวณจังหวัดโดยรอบ นครโฮจิมินห์ มีศักยภาพสูงในอุตสาหกรรมการผลิตทั้งประเภทสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน การแปรรูปสินค้าเกษตรและประมง รวมถึงธุรกิจบริการและท่องเที่ยว โดยอุตสาหกรรม ที่ผลิตเพื่อส่งออกไปประเทศที่สามหรือส่งกลับมาประเทศไทย เป็นโอกาสที่พึงพิจารณา นอกจากนี้บางจังหวัดในภาคใต้ยังมีศักยภาพเฉพาะด้าน เช่น นครเกิ่นเธอ และจังหวัดลุ่มแม่น้ำโขง มีศักยภาพด้านการแปรรูปสินค้าเกษตร สัตว์น้ำ และการต่อเรือ อุปกรณ์เกี่ยวกับเรือ และการซ่อมบำรุง จังหวัด บาเรีย-หวุงเต่า ด้านน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ปิโตรเคมี และกิจการท่องเที่ยว ส่วนจังหวัด อันยาง ติดชายแดนกัมพูชา มีการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างน่าสนใจ
ภาคกลาง ในอนาคตคาดว่าจะมีความสำคัญขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาโอกาสการลงทุนหลังจากที่ทางหลวงหมายเลข 9 ซึ่งเชื่อมโยงจังหวัดมุกดาหารของไทยผ่านแขวงสะหวันนะเขตของลาว จนถึงท่าเรือดานังในเวียดนามเสร็จสมบูรณ์ ตามโครงการ East-West Economic Corridor โดยการสนับสนุนของธนาคารเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งเอเชีย (ADB) นครดานัง จะกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้า และการขนส่งระหว่างประเทศ โดยเฉพาะทางเอเชียตะวันออก ปัจจุบันรัฐบาลเวียดนามพยายามกระจายความเจริญสู่ภาคกลาง ด้วยการลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่จังหวัด กว๋างไหง ทางใต้ของจังหวัดกว๋างนัมและดานัง แม้ว่าจะมีประเด็นเรื่องความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ เนื่องจากแหล่งน้ำมันดิบและผู้ใช้น้ำมันส่วนใหญ่อยู่ทางภาคใต้ นอกจากนี้ ตั้งแต่จังหวัด บินห์ถ่วน ถึง นฮาจราง มีทรายจำนวนมาก ซึ่งมีองค์ประกอบที่เหมาะสมสำหรับการผลิตในเชิงอุตสาหกรรมได้หลายประเภท ส่วนจังหวัดที่น่าลงทุนในด้านการท่องเที่ยวและกิจการเกี่ยวเนื่อง เช่น ดาลัต มีภูมิอากาศและบรรยากาศคล้ายยุโรป นฮาจราง เป็นเมืองชายทะเลที่สวยงาม ฮอยอัน และ เว้ เป็นเมืองมรดกโลกที่มีชื่อเสียง
ภาคเหนือ มีความได้เปรียบสำหรับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ต้องการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน เหมาะกับการลงทุนที่ กรุงฮานอย และจังหวัดโดยรอบ เกษตรแปรรูปบริเวณจังหวัดลุ่มแม่น้ำแดง ต่อเรือและซ่อมบำรุงที่ นครไฮฟอง รวมถึงอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีมากในภาคเหนือ เช่น ถ่านหิน แร่ธาตุ และน้ำมัน นอกจากนี้ หลายจังหวัดยังมีศักยภาพด้านการ ท่องเที่ยว เช่น ฮานอย อ่าวฮาลอง และเมืองซาปา ซึ่งอยู่บนภูเขาสูงและมีภูมิอากาศคล้ายยุโรป เป็นต้น
สำหรับในช่วงครึ่งแรกของปี 2549 พบว่าเวียดนามมีมูลค่าเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสูงถึง 2.26 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นจำนวนโครงการรวมทั้งสิ้น 339 โครงการ โครงการส่วนใหญ่ อยู่ที่ โฮจิมินห์ ฮานอย และจังหวัดทางภาคใต้ อาทิ บินห์เยือง ด่องไน และบาเรีย-หวุงเต่า โดยเป็นเงินลงทุนจากฮ่องกงมากที่สุดคือ 0.61 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รองลงมา ได้แก่ เกาหลี 0.48 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สหรัฐฯ 0.46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และญี่ปุ่น 0.32 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่นักลงทุนไทยมีจำนวน 2 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 3.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
อนึ่ง ภายในปี 2549 นี้ เวียดนามยังมีโครงการลงทุนจากต่างประเทศขนาดใหญ่อีกหลายโครงการ อาทิ โครงการของกลุ่มบริษัทอินเทล จากสหรัฐฯ จะย้ายฐานเข้ามาลงทุนในเวียดนาม ด้วยเงินลงทุนทั้งสิ้น 605 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อผลิตซอฟท์แวร์และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ในนครโฮจิมินห์ รวมถึงกลุ่ม US Winvest LLC Group ที่จะเข้ามาลงทุนสร้างศูนย์ Tourism Complex ในจังหวัดชายฝั่งภาคใต้ของเขตบาเรีย-หวุงเต่า ด้วยเงินลงทุน 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
Promporn Vejjajiva
Bangkok Bank Public Relations Department
02-230-2709

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ