กรุงเทพฯ--2 มิ.ย.--ปตท.
หลังจากพยายามรักษาระดับราคาเดิมไว้นานถึง 2 สัปดาห์ (ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.49 เป็นต้นมา) โดยเป็นรายสุดท้ายที่ปรับราคาขึ้น และมีราคาถูกกว่ารายอื่น 10 สตางค์/ลิตร ซึ่งยังคงแบกรับภาระแทนเช่นเดิมวันละ 30 ล้านบาท (นับจากเดือน มี.ค.-ปัจจุบัน ปตท. ได้รับภาระแทนผู้บริโภคไปแล้วประมาณ 2,500 ล้านบาท)
นายชัยวัฒน์ ชูฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงอยู่ในระดับสูงแม้ว่าราคาจะอ่อนตัวมาบ้างเล็กน้อย แต่ก็ทำให้ต้นทุนน้ำมันเนื้อน้ำมันยังคงสูงอยู่ จากเหตุผลคงเดิมคือสถานการณ์ความตึงเครียดของประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก ล่าสุดวันนี้ (2 มิ.ย.49) น้ำมันดิบดูไบ อยู่ที่ระดับ 65.22 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนน้ำมันสำเร็จรูปน้ำมันเบนซิน 95 ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 85.60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และน้ำมันดีเซล ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 84.32 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งการที่ทิศทางราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงอยู่ในระดับสูงเช่นนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อต้นทุนเนื้อน้ำมันในประเทศสูงเช่นกัน (ในขณะที่ก่อนหน้านี้ ปตท. ได้รับภาระต้นทุนเดิมของน้ำมันที่สูงขึ้นไว้อยู่ในระดับหนึ่งแล้ว) ปตท. จึงมีความจำเป็นต้องพิจารณาปรับราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศทุกชนิดขึ้น 40 สตางค์/ลิตร ทั้งนี้มีผลตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (3 มิ.ย. 49) เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป ซึ่งภายหลังการปรับราคา ทำให้ราคาน้ำมันในเขต กทม. และปริมณฑล เป็นดังนี้
หน่วย : บาท/ลิตร
น้ำมันเบนซิน พีทีที อัลฟา เอ็กซ์ 95 29.79
น้ำมันเบนซิน พีทีที แก๊สโซฮอล์ 95 พลัส 28.29
น้ำมันเบนซิน พีทีที อัลฟา เอ็กซ์ 91 28.99
น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว พีทีที เดลต้า เอ็กซ์ ยูโร ทรี 27.14
น้ำมันพีทีทีไบโอดีเซล / น้ำมันดีเซล-ปาล์มบริสุทธิ์ 26.64
นายชัยวัฒน์ฯ กล่าวต่อไปว่า การปรับราคาในครั้งนี้นับว่าราคาน้ำมันขายปลีกของ ปตท. ยังมีราคาที่ต่ำกว่าสถานีบริการน้ำมันรายอื่นๆ อยู่ถึง 10 สตางค์/ลิตร ซึ่งค่าการตลาดก็ยังคงอยู่ในระดับติดลบเช่นเคย กล่าวคือ ปตท.ยังคงต้องรับภาระจากค่าการตลาดที่ยังคงติดลบอยู่ประมาณวันละ 30 ล้านบาท และหากนับรวมตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมาจนถึง ณ ปัจจุบันวันนี้ ปตท. ได้รับภาระแทนผู้บริโภคไปแล้วประมาณ 2,500 ล้านบาท
อนึ่ง จากผลการประชุมกลุ่มโอเปคที่ประเทศเวเนซูเอลาวานนี้ (1 มิ.ย.2549) มีมติคงเพดานการผลิตไว้ที่ระดับเดิมคือ 28 ล้านบาร์เรล/วัน และ Energy Information Administration (EIA) ของสหรัฐฯ รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 26 พ.ค. 2549 เพิ่มขึ้นทุกชนิด ซึ่งยังคงอยู่ในระดับสูงและคาดว่าจะเพียงพอต่อความต้องการใช้ในช่วงฤดูท่องเที่ยว ซึ่งอาจช่วยบรรเทาให้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวลงได้ แต่สำหรับประเทศไทยในฐานะผู้บริโภคและนำเข้าพลังงาน ซึ่งที่ควรกระทำได้อย่างดีที่สุดคือ การประหยัดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฯ ปตท. กล่าวย้ำ
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
โทรศัพท์ 0 2537 2537, 2538
ส่วนประชาสัมพันธ์ กลุ่มธุรกิจน้ำมัน ปตท.
โทรสาร 0 2537 2572, 2517