กรุงเทพฯ--12 พ.ย.--กองประชาสัมพันธ์ กทม.
กทม.ลงพื้นที่ตรวจสอบอาคารเสือป่าพลาซ่า หลังพบมีการละเมิดคำสั่งศาล ลักลอบเข้าซ่อมแซมอาคารจนเกือบแล้วเสร็จ เตรียมเดินหน้าประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเอาผิดให้ถึงที่สุด
นายพรเทพ เตชะไพบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยนายจุมพล สำเภาพล ผู้อำนวยการสำนักการโยธา นางวัชราภรณ์ กวยปาณิก ผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบอาคารเสือป่าพลาซ่า ถนนเจริญกรุง เขตป้อมปราบฯ หลังจากตรวจพบว่ามีการลักลอบซ่อมแซมอาคารเสือป่าพลาซ่า ซึ่งเกิดเหตุเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 4 ม.ค.52 เวลาประมาณ 21.00 น. และมีคำสั่งศาลห้ามเข้า ห้ามใช้อาคาร และรื้อถอนอาคาร เนื่องจากโครงสร้างของอาคารดังกล่าวไม่ปลอดภัยเพราะเหตุเพลิงไหม้กินเวลานานกว่า 2 ชั่วโมง ทั้งนี้ จากการตวจสอบบริเวณภายนอกอาคารพบว่าด้านหน้าอาคารฝั่งที่ติดกับถนนเจริญกรุงยังมีการล้อมรั้วสังกะสีและปิดผ้าใบไว้อย่างมิดชิด แต่เมื่อเข้าไปบริเวณด้านหลังอาคาร พบว่า มีการซ่อมแซมอาคารไปแล้วเกือบ 90% แต่ไม่พบคนงานก่อสร้าง แต่จากการสอบถามผู้ค้าในย่านดังกล่าวพบว่าอาคารนี้จะเปิดให้บริการอีกครั้งในวันที่ 15 ธ.ค.52 นี้
ที่ผ่านมาทางสำนักงานเขตฯ ได้เข้าตรวจสอบอาคาร และแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าของอาคาร แต่เจ้าของอาคารก็ยอมเสียค่าปรับ ซึ่งอัตราสูงสุดอยู่ที่ 30,000 บาทต่อวัน โดยอาคารดังกล่าวเดิมเป็นอาคาร 7 ชั้น 17 คูหา แต่มีการต่อเติมเป็นอาคาร 9 ชั้น จึงแจ้งความดำเนินคดีเพ่งและอาญา ตามพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร แต่ทางบริษัท เสือป่าพลาซ่า จำกัด ได้ทำหนังสือขออนุญาตสำนักการโยธา กทม. ให้วิศวกรเข้าตรวจสอบด้านความมั่นคงแข็งแรงของอาคารเพื่อขอใช้อาคารต่อ แต่สำนักการโยธาไม่สามารถพิจารณาได้ เนื่องจากบริษัทได้ทำหนังสือถึงคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ สำนักงานควบคุมอาคาร กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย เพื่ออุทธรณ์คำสั่งรื้อถอนอาคาร ทางสำนักการโยธากรุงเทพมหานครจึงต้องรอผลการพิจารณาก่อน ล่าสุดคณะกรรมการตรวจสอบอาคารได้เรียกเจ้าหน้าที่ฝ่ายโยธาสำนักงานเขตเข้าชี้แจงเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (10 พ.ย.) ซึ่งคาดว่าจะทราบผลในเร็วๆ นี้ แต่ระหว่างที่มีการอุทธรณ์ตามกฎหมาย ทั้งฝ่ายบริษัทและฝ่ายเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าดำเนินการใดๆกับตัวอาคารได้ แต่ทางบริษัทฯ ได้ลักลอบเข้าซ่อมแซมตัวอาคารซึ่งถือว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย
รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เทศกิจควบคุมพื้นที่ ห้ามเข้าอาคาร และหารือฝ่ายกฎหมายแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มเติม รวมทั้งประสานการไฟฟ้านครหลวงให้ดำเนินการตัดไฟบริเวณพื้นที่ดังกล่าว และเตรียมเสนอผู้บริหารพิจารณาแก้ข้อกฎหมายที่เป็นช่องว่างในการทำผิด พรบ.ควมคุมอาคารต่อไป