กรุงเทพฯ--16 พ.ย.--บีโอไอ
บีโอไอนำร่องปกป้องผลกระทบจากการลงทุนของต่างชาติ และการเปิดเสรีการลงทุนอาเซียน โดยกำหนดให้กิจการเพาะขยายและปรับปรุงพันธุ์พืชท้องถิ่นของไทย เช่น ข้าว กล้วยไม้ สมุนไพร และผลไม้ ต้องมีหุ้นไทยข้างมาก ไม่น้อยกว่าร้อยละ 51
นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการปรับปรุงบัญชีประเภทกิจการที่ได้รับส่งเสริม หมวด 1 เกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร ในเรื่อง ประเภท ขนาด เงื่อนไข และสิทธิประโยชน์ เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการไทยได้รับผลกระทบในการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ เนื่องจากเป็นกิจการที่ผู้ประกอบการไทยยังไม่พร้อมแข่งขัน
โดยจะมีการลดสัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติในกิจการเพาะขยายพันธุ์พืชและปรับปรุงพันธุ์พืชท้องถิ่นของไทย เช่น ข้าว กล้วยไม้ สมุนไพร และผลไม้ ต้องมีนักลงทุนสัญชาติไทยถือหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ของทุนจดทะเบียน จากเดิมที่ให้นักลงทุนต่างชาติสามารถถือหุ้นได้ 100% เพราะกิจการดังกล่าวเป็นกิจการในบัญชี 3 ของพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ของกระทรวงพาณิชย์
สำหรับกิจการปลูกป่าและการเลี้ยงสัตว์ (รวมถึงการเลี้ยงสัตว์น้ำ) ที่เป็นข้อกังวลของภาคประชาชนนั้น เป็นกิจการในบัญชี 1 ของพรบ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ที่ห้ามต่างชาติเข้ามาลงทุนอยู่แล้ว และบีโอไอได้กำหนดเงื่อนไขให้ต้องมีผู้มีสัญชาติไทยถือหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ของทุนจดทะเบียนอยู่แล้ว ตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่ 1/2543
ทั้งนี้ การเปิดเสรีการลงทุน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละประเทศสามารถออกประกาศเพิ่มเติมภายใต้กฎหมายที่มีอยู่แล้ว เพื่อใช้เป็นเครื่องมือคุ้มครองกิจการนั้น ๆ โดยไม่ต้องรอการแก้ไขหรือ ออกฎหมายใหม่ที่ต้องใช้ระยะเวลานาน ซึ่งไม่ขัดต่อข้อตกลงของสนธิสัญญาดังกล่าว เช่น กรมวิชาการเกษตร ออกประกาศ ระบุพันธุ์พืช ที่ไม่เปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน หรือกรมประมงอาจออกประกาศ ควบคุมประเภทของสัตว์น้ำที่จะทำการเพาะเลี้ยง
ดังนั้น บีโอไอจึงเป็นหน่วยงานแรกที่นำร่องในการออกประกาศเพื่อปกป้องคุ้มครองกิจการที่อาจได้รับผลกระทบจากการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ ส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ก็อยู่ในระหว่างการพิจารณาออกประกาศเพื่อปกป้องผู้ประกอบการไทยเช่นกัน