กรุงเทพฯ--18 พ.ย.--กองประชาสัมพันธ์ กทม.
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธี “ยกเสาเอกบ้านมั่นคงและเปิดอาคารศูนย์การเรียนรู้รวมใจชุมชนหลังกรมทางหลวง” เขตราชเทวี และเปิดโครงการ “คืนความมั่นคง สู่ชุมชนซอยสันติสุข” เขตดุสิต โดยมี ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คุณทิพย์รัตน์ นพลดารมย์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) นางทยา ทีปสุวรรณ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และประชาชนในชุมชนร่วมพิธี
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า กรุงเทพมหานคร ร่วมกับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) พัฒนาที่อยู่อาศัยแก่ประชาชนในชุมชนภายใต้โครงการบ้านมั่นคง เพื่อสนับสนุน และส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างเต็มที่ โดยเปิดโอกาสให้ชาวชุมชนมีส่วนร่วมในการออกแบบบ้านตามความต้องการและเหมาะสมกับงบประมาณที่มีอยู่ พร้อมทั้งร่วมกันแก้ปัญหาในชุมชน อาทิ การใช้ทางร่วมกัน การเสียสละที่ดินเพื่อใช้ทำทางเดินในชุมชน ระบบทางระบายน้ำ และพื้นที่สาธารณะ รวมถึงเป็นการช่วยให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง สามัคคี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน ก้าวสู่การมีชุมชนที่ดี สังคมดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป
ทั้งนี้ชุมชนหลังกรมทางหลวงได้จัดพิธียกเสาเอกบ้านมั่นคงหลังแรกของชุมชน พร้อมเปิดศูนย์การเรียนรู้รวมใจชุมชนกรมทางหลวง ซึ่งชุมชนหลังกรมทางหลวง ตั้งอยู่ริมทางรถไฟสายแปดริ้ว พื้นที่ประมาณ 2 ไร่ 44 ตารางวา ก่อตั้งเมื่อประมาณ 60 ปีที่แล้ว ปัจจุบันมี 54 หลังคาเรือน ตั้งอยู่บนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย 18 หลังคาเรือน ตั้งอยู่บนที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 36 หลังคาเรือน ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ แบ่งการพัฒนาที่อยู่อาศัยเป็น 2 ระยะ โดยระยะแรก ใช้สินเชื่อปรับปรุง 5 หลัง ไม่ใช้สินเชื่อปรับปรุง 12 หลัง ใช้สินเชื่อสร้างใหม่ 3 หลัง ระยะที่สุดท้าย ใช้สินเชื่อปรับปรุง 12 หลัง ใช้สินเชื่อสร้างใหม่ 4 หลัง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,512,511 บาท
สำหรับชุมชนซอยสันติสุข เกิดเหตุเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 50 บ้านเรือนได้รับความเสียหาย 29 หลังคาเรือน ประชาชนได้รับความเดือดร้อน 91 คน จากนั้นได้รวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ชุมชนซอยสันติสุขเพื่อเข้าร่วมโครงการบ้านมั่นคง และขอรับสิทธิ 27 ราย ได้รับอนุมัติสินเชื่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่จากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) และเริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค. ที่ผ่านมา โดยก่อสร้างเป็นอาคาร 2 หลัง ประกอบด้วย อาคาร A ขนาด 2 ชั้น จำนวน 10 ยูนิต และอาคาร B ขนาด 3 ชั้น จำนวน 18 ยูนิต บนพื้นที่ 200 ตารางวา