กรุงเทพฯ--19 พ.ย.--กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
ในวันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน 2552) เวลา 09.00 น. นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนานายด่านศุลกากรทั่วประเทศระหว่างวันที่ 19-21 พฤศจิกายน 2552 เพื่อเตรียมการรองรับการค้าชายแดนทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ณ ไอศวรรย์ รีสอร์ท แอนด์ สปา พัทยา จังหวัดชลบุรี
รมช.คลังกล่าวว่า ตามแผนปฏิรูปกรมศุลกากร ได้กำหนดให้กรมศุลกากรปรับบทบาทจากการมุ่งเน้นการจัดเก็บรายได้ มาเป็นการอำนวยความสะดวกในด้านการค้า และจากการที่ได้มีโอกาสประชุมหารือร่วมกับภาคเอกชน ทำให้ได้รับข้อมูลต่างๆ ที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของกรมศุลกากร สิ่งหนึ่งที่คิดว่าด่านศุลกากรจะต้องเตรียมการรองรับ คือ เรื่องของการค้าชายแดน เพราะประเทศไทย มีแนวเขตแดนทางบก และทางน้ำ ติดกับจังหวัดชายแดนของประเทศไทยรวม 30 จังหวัด ที่มีกระบวนการดำเนินงาน ทั้งช่องทางการค้าหลายรูปแบบ ได้แก่ จุดผ่านแดนถาวร จุดผ่านแดนชั่วคราว จุดผ่อนปรน และช่องทางการค้า ดังนั้น ด่านศุลกากรจะต้องมีบทบาทที่สำคัญในการอำนวยความสะดวกทางการค้า ในเรื่องพิธีการศุลกากร ซึ่งจะต้องพิจารณาและเปลี่ยนกระบวนการในการดำเนินการให้มีความทันสมัยเหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาทักษะของเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่ประจำจุดผ่านแดน ซึ่งรับผิดชอบการนำเข้าและส่งออกข้ามแดนกับประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน จำเป็นต้องทำให้เจ้าหน้าที่ได้เรียนรู้วิธีการจัดการกับธุรกรรมที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นเกี่ยวข้องกับการค้าขายสินค้าที่มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศนอกเหนือจากประเทศเพื่อนบ้านพรมแดนติดกัน เช่น จีนและเวียดนาม
นายสมชัย สัจจพงษ์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า การสัมมนาครั้งนี้ นอกจากนายด่านศุลกากรทั่วประเทศ จำนวน 45 ด่านแล้ว ยังมีผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรภาคที่ 1-4 ผู้บริหารในส่วนกลาง และกลุ่มงานที่ปรึกษาการศุลกากรในต่างประเทศอีก 3 แห่ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้รับทราบทิศทางและนโยบายในการบริหารงานของกรมศุลกากร และตระหนักถึงความสำคัญของการเตรียมการเพื่อรองรับการค้าชายแดนทั้งในปัจจุบันและในอนาคต พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้สำนักงานศุลกากรในภาคต่างๆ ได้นำเสนอปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน ตลอดจนแนวทางในการแก้ไขปัญหา
การสัมมนาครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้บริหารของกรมศุลกากรทั้งในภาคต่างๆ ในส่วนกลางและในต่างประเทศ อันจะก่อให้เกิดประโยชน์และเป็นผลดีต่อราชการในส่วนรวม ซึ่งสามารถนำพาไปสู่เป้าหมายขององค์กรที่มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ โดยใช้ระยะเวลาในการสัมมนา 3 วัน รวมทั้ง มีการจัดกิจกรรมพิเศษตามโครงการที่เกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อสังคม (Coperate Social Responibility ) หรือโครงการ CSR ด้วย