The Great Raid “ภารกิจกู้ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์กลับเป็นเรื่องราวที่ไม่เคยได้รับการบอกเล่า”

ข่าวทั่วไป Tuesday November 1, 2005 11:15 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--1 พ.ย.--สหมงคลฟิล์ม
The Great Raid
“ภารกิจกู้ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์กลับเป็นเรื่องราวที่ไม่เคยได้รับการบอกเล่า”
ภาพยนตร์อิงเรื่องจริงโดย จอห์น ดาห์ล ที่เล่าภารกิจกู้ชีวิตสุดทรหดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา นั่นคือ “การยกพลบุกคาบานาทวน” วีรกรรมอันกล้าหาญนี้ คือ การปลดปล่อยเชลยศึกอเมริกันกว่า 500 คนจากค่ายกักกันของญี่ปุ่นในฟิลลิปปินส์ท่ามกลางอันตรายนับไม่ถ้วน นี่คือการพรรณนาอันน่าตรึงใจถึงภาวะฟื้นตัวจากความเจ็บปวดของมนุษย์ สิ่งที่หนังตีแผ่บนจอคือความกล้าหาญ และ ความเป็นวีรบุรุษ ที่ทำให้กองกำลังทหารเล็กๆ แต่ เข้มแข็งกองหนึ่งฝ่าฟันอุปสรรคโหดหินนานัปการ เพื่อช่วยชีวิตพี่น้องร่วมชาติที่ถูกจับเป็นเชลยศึกในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ครั้งหนึ่ง เรื่องราวนี้เป็นที่รับรู้ทั้วสหรัฐอเมริกา และครั้งนี้เรื่องราวที่ถูกลืมไปนานของ The Great Raid ถูกสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ด้วยความพิถีพิถันด้านความสมจริง และอิงข้อมูลจากบุคคลหลายฝ่าย ทั้งผู้บัญชาการหน่วยทหารอเมริกัน, ทหารฟิลิปปินส์ อาสาสมัครหญิง หรือแม้กระทั่งตัวเชลยศึกเอง ต่างก็มีบทบาทในการทำให้ช่วงเวลาแห่งความยากแค้นแสนสาหัสและสุดอันตรายนี้กลายเป็นช่วงเวลาแห่งแรงบันดาลใจ
The Great Raid กำกับโดย จอห์น ดาห์ล อำนวยการสร้างโดย มาร์ตี้ แคทซ์ และ ลอว์เรนซ์ เบนเดอร์ สร้างจากหนังสือชื่อ The Great Raid on Cabanatuan โดยนักประวัติศาสตร์ทหารชื่อดัง วิลเลี่ยม บรูเออร์ และหนังสือชื่อ The Ghosts Soldiers โดย แฮมป์ตัน ไซเดส บทภาพยนตร์โดย คาร์โล เบอร์นาร์ด และ ดั๊ก มิโร่ นำแสดงโดย เบนจามิน แบรทท์, เจมส์ ฟรานโก, คอนนี่ นีลเซ่น, มาร์ตัน โซกัส และ โจเซฟ ไฟนส์ ร่วมด้วยนักแสดงหน้าใหม่นานาชาติ ทั้งอเมริกัน, ฟิลิปปินส์, เอเชีย และออสซี่
ปี 1945 ทหารอเมริกันหลายร้อยคนที่ถูกคุมขังในค่ายกักกันในคาบานาทวน ประเทศฟิลลิปปินส์ถูกทรมานเจียนตาย พวกเขาเหล่านี้คือทหารกลุ่มเดียวที่รอดชีวิตในฟิลิปปินส์จากทหารทั้งหมด 70,000 คน และในปี 1942 กองกำลังพันธมิตรก็ยอมจำนนต่อกองทัพญี่ปุ่นที่บาทาน ตามมาด้วยการล่าถอยของนายพลแม็คอาร์เธอร์ ผู้รอดชีวิตต้องเดินลุยป่าอันร้อนระอุและเต็มไปด้วยยุงพาหะนำโรคที่รู้จักดีในนาม Bataan Death March และถูกจับเข้าค่ายกักกันที่ห่างไกลและโหดร้ายในเวลาต่อมา 3 ปีต่อมา นายพลแม็ตอาร์เธอร์กลับมายังฟิลลิปปินส์อีกครั้งตามคำสัญญา ขณะเดียวกันกระทรวงการสงครามของญี่ปุ่นก็ได้ออกนโยบาย “Kill All Policy” เพื่อทำลายค่ายกักกันทุกแห่งรวมทั้งนักโทษที่อยู่ในนั้น ในค่ายแห่งหนึ่งชื่อปาลาวัน ทหารอเมริกัน 150 นายถูกบังคับให้เดินไปในสนามเพลาะ ถูกราดน้ำมันและจุดไฟเผา
ขณะเดียวกัน นักโทษในคาบานาทวนเชื่อว่าตนเองถูกเพื่อนและประเทศชาติลืมจึงตั้งตนเป็น “กองทหารไร้วิญญาณ” หนึ่งในนั้นคือ พันตรีกิ๊บสัน (โจเซฟ ไฟนส์) ที่ป่วยเป็นโรคมาลาเรีย แต่ยังคงแข็งใจไว้ด้วยความหวังและความรักที่เขามีต่ออาสาสมัครสาวชื่อ มากาเร็ต (คอนนี่ นีลเซ่น) ผู้ชช่วยเหลือขบวนกสนใต้ดินของฟิลลิปปินส์
กลับมาที่ กองบัญชาการกองทัพที่ 6 ใกล้ๆลูซอน พันโทเฮนรี่ เอ มุชชี่ (เบนจามิน แบรทท์) ผู้ห้าวหาญและทะเยอทะยาน แต่มีความเป็นผู้นำเต็มเปี่ยมและเป็นที่โจษจันด้านการสร้างความฮึกเหิมในหมู่ทหารใต้บังคับบัญชา พันโทเฮนรี่ได้รับมอบหมายให้หาทางเข้าไปในค่ายคาบานาทวนเพื่อปลดปล่อยนักโทษชาวอเมริกันก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป ภารกิจนี้ทางยุทธศาสตร์ถือว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะทหารต้องเผชิญกับการต้านทานของกองกำลังญี่ปุ่นที่มีจำนวนมากกว่าหลายเท่า แต่มุชชี่ก็ไม่เคยหวั่นเกรงแม้แต่น้อย
มุชชี่ได้เลือก ร้อยเอกโรเบิร์ท พรินซ์ (เจมส์ ฟรานโก) นายทหารหนุ่มเจ้าทฤษฎีและฉลาดเป็นผู้นำภารกิจจู่โจมนี้ โรเบิร์ทคือผู้คิดแผนการสุดกล้าหาญโดยให้กองกำลังฝีมือดีระดับหัวกะทิ 121 นาย ร่วมด้วยทหารพรานอีกจำนวนหนึ่งจำนวนหนึ่งบุกเข้าไปในเขตแดนศัตรูเป็นเส้นทาง 30 ไมล์และทำการจู่โจมค่ายกักกันอย่างสายฟ้าแลบ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ภารกิจครั้งนี้ลุล่วง กองกำลังสหรัฐฯได้ผนึกกำลังกับทหารฟิลิปปินส์ ซึ่งนำโดย ร้อยตรีฮวน ปาโจตา (ซีซาร์ มอนทาโน) ผู้ชำนาญพื้นที่ ฮวนนี่เองที่จะช่วยนำทางกองกำลังผู้กล้าหาญนี้ให้ไปถึงจุดหมาย
เมื่อเวลาของนักโทษเริ่มเหลือน้อยลงและทีมกู้ชีวิตเริ่มเร่งมือปฏบิบัติการ สิ่งที่เห็นได้ตามมา คือ ความกล้าหาญ, การสละชีวิต และจิตวิญญาณของมนุษย์ที่สามารถเอาชนะความลำบากยากแค้นที่น่ากลัวได้
ตีแผ่วีรกรรมหาญกล้าที่ถูกลืม
ต้นกำเนิด The Great Raid
ในการสร้าง The Great Raid ผู้กำกับ จอห์น ดาห์ล และ ผู้อำนวยการสร้าง มาร์ตี้ แคทซ์ หวังจะนำเรื่องราวความกล้าหาญ และ ความเสียสละอันยิ่งใหญ่ แต่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักจากหน้าประวัติศาสตร์อเมริกาขึ้นจอให้ละเอียดชัดเจน พวกเขาไม่อยากให้นี่เป็นเพียงหนังวีรกรรมสงครามเน้นแอ๊คชั่น เพราะการบุกค่ายคาบานาทวนสมัยสงครามโลกครั้งที่สองนี้ ถือเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์เราเผชิญหน้ากับความอันตราย, ความกดดัน และความน่ากลัวสุดขั้วหัวใจด้วยความหวังเปี่ยมล้นได้อย่างไร หลังได้พูดคุยกับผู้รอดชีวิตและทหารที่ร่วมภารกิจครั้งนั้น ดาห์ล และ แคทซ์ก็รู้สึกว่าพวกเขามีโอกาสสร้างเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ด้วยเค้าโครงและอารมณ์ที่สมจริงได้
โปรเจ็คต์นี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อทีมสร้างได้อ่านหนังสือเรื่อง The Great Raid on Cabanatuan : Rescuing the Doomed Ghosts of Bataan and Corregidor ที่เล่าภารกิจสุดหินเกี่ยวกับการปลดปล่อยเชลยศึกกว่า 511 ชีวิตจากค่ายกักกันของกองทัพญี่ปุ่นโดยกองกำลังเล็กๆแต่กล้าหาญ ทั้งทหารอเมริกัน, ทหารพรานอลาโม่ และทหารฟิลิปปินส์ ด้วยความประทับใจกับเรื่องราวความกล้าหาญ, การอุทิศตน และจิตใจเมตตาของมนุษย์ ทีมสร้างรู้สึกทันทีว่านี่คือเรื่องราวที่ต้องได้รับการตีแผ่สู่ผู้ชมภาพยนตร์ เพราะมันเป็นทั้งความจริงที่น่าตกใจ และ เครื่องย้ำเตือนว่าจิตวิญญาณของคนเราแข็งแกร่งเพียงใดเมื่อถึงคราวถูกทดสอบ
“นี่เป็นเรื่องจริงที่น่าทึ่งมาก” แคทซ์บอก “เกี่ยวกับภารกิจกู้ชีวิตนักโทษอเมริกันในเขตศัตรูที่เสี่ยงและเป็นไปได้ยากที่สุดในประวัติศาสตร์กองทัพอเมริกัน แต่ทหารเหล่านั้นก็ทำสำเร็จ หนังทั้งเรื่องรายรอบด้วยบรรยากาศความยากลำบากและน่าเศร้า แต่ตอนจบจะเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ เรื่องนี้เกือบเรียกได้ว่าเขียนขึ้นเพื่อมาเป็นหนังฮอลลีวู้ด แต่มันเป็นความจริงที่แข็งทื่อเวิ้งว้าง”
เมื่อจอห์น ดาห์ล ได้ยินข่าวการนำภารกิจครั้งนี้ขึ้นจอหนัง เขาก็สนใจทันที ดาห์ลรู้สึกมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ครั้งนั้นเพราะพ่อของเขาเป็นทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 และเคยร่วมภารกิจกู้ชีวิตเชลยศึกในฟิลลิปปินส์ด้วย ลูกพี่ลูกน้องของแม่ก็เสียชีวิตในสนามรบที่นั่น ดาห์ลอยากรู้เสมอมาว่าประสบการณ์ในสมรภูมิรบของพ่อเป็นอย่างไรและนี่คือโอกาสดีที่เขาจสำรวจมัน ยิ่งดาห์ลรู้เรื่องราวภารกิจครั้งนี้รวมทั้งผลลัพธ์ของมันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกผูกพันกับโปรเจ็คท์นี้มากเท่านั้น
“พ่อผมเคยรบในฟิลิปปินส์ ผมเลยอยากทำหนังเรื่องนี้ทันทีที่รู้ข่าว” ดาห์ลกล่าว “อีกอย่าง ผมว่านี่เป็นเหตุการณ์สำคัญมากเหตุการณ์หนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ไม่ค่อยมีใครรู้ และถูกละเลยจนถูกลืมไปในที่สุด การที่มีโอกาสได้เล่าภารกิจชีวิตจริงของบุคคลน่าทึ่งเหล่านี้ถือเป็นสิ่งน่ายินดีมาก ผมชอบหนังเรื่องนี้ตรงที่มันแสดงให้เห็นว่าอิสรภาพต้องแลกมาด้วยการเสียสละ และมันยังทำให้เห็นว่าในยามคับขัน ประเทศเราทุ่มเทได้แค่ไหนเพื่อเอาชนะอุปสรรคอันเลวร้ายต่างๆ เราทำสำเร็จในคาบานาทวน และเราจะทำได้อีก”
แม้ดาห์ลจะเป็นที่รู้จักในฐานะผู้กำกับหนังฟิล์มนัวร์สมัยใหม่ และ หนังทริลเลอร์จิตวิทยาสุดสร้างสรรค์ กับผลงานอย่าง Red Rock West, The Last Seduction และ Joe Ride แต่แคทซ์ก็ปลื้มที่ได้ดาห์ลมากำกับหนังมหากาพย์ความรัก, การเอาชีวิตรอด และแอ๊คชั่นสงครามสุดตรึงเครียด “จอห์นเป็นนักเล่าเรื่อแถวหน้าเลยล่ะ” แคทซ์ตั้งข้อสังเกต “ผมรู้ว่าเขาสามารถหาทางนำเสนอเรื่องราวประวัติศาสตร์ด้วยวิธีที่เป็นปัจจุบันและสมจริงได้ซึ่งทำให้หนังน่าสนใจ เพราะมันจะทำให้คุณรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสงครามและอินไปกับตัวละคร”
ร่างแรกของบทจะไม่ค่อยอิงประวัติศาสตร์นัก ด้วยจุดประสงค์ด้านความบันเทิง ดาห์ลและแคทซ์จึงพัฒนาบทอีกครั้งเพื่อให้เข้าใกล้เหตุการณ์จริงมากขึ้น ยิ่งพวกเขาค้นคว้าข้อมูลมากเท่าไร ทั้งอ่านหนังสือของบรูเออร์และหนังสือคุณภาพชื่อ Ghost Soldiers ของ แฮมป์ตัน ไซเดส ก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นที่คาบานาทวน เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมากจน แม้แต่นักเขียนที่เก่งที่สุดก็คงจินตนาการไปไม่ถึง
“ความท้าทายอยู่ตรงที่เราต้องรักษาเรื่องจริงให้คงเดิม ขณะเดียวกันก็ต้องวางโครงสร้างให้เป็นหนังดูสนุก” ดาห์ลกล่าว “เราต้องทรงตัวบนเส้นแบ่งระหว่างการเคารพและไม่เคารพอดีต ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างเรื่องราวความรัก, ชีวิต และฉากแอ๊คชั่นที่น่าตื่นเต้น”
เพื่อเพิ่มความสมจริงให้กับตัวหนัง ดาห์ล และ แคทซ์ ได้ไปพบปะพูดคุยกับผู้รอดชีวิตและผู้รู้เห็นจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รวมทั้งร้อยเอกโรเบิร์ท พรินซ์ ตัวจริง (ในหนังรับบทโดย เจมส์ ฟรานโก) และสมาชิกกองกำลังฟิลิปปินส์ที่มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อภารกิจครั้งนั้น
สิ่งหนึ่งที่ดาห์ล และ แคทซ์ ค้นพบในหมู่คนที่พวกเขาไปสัมภาษณ์ก็คือ ความต้องการให้หนังออกมาตรงกับความจริงมากที่สุด ดังนั้น ดาห์ล และ แคทซ์ จึงพยายามเขียนบทภาพยนตร์ให้ใกล้เคียงความจริง และส่งให้วิลเลี่ยม บรูเออร์ นักเขียนและผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์คาบานาทวนอ่านเพื่อขอคำแนะนำ ปรากฎว่าบรูเออร์พอใจมาก “พวกเขานำเสนอเรื่องราวได้อย่างเที่ยงตรงและพิถีพิถัน” เขากล่าวสรุป
ดาห์ลเป็นปลื้มเมื่อบทภาพยนตร์เสร็จสมบูรณ์ แต่เขาก็หวั่นๆที่ต้องก้าวสู่ขั้นตอนการถ่ายทำที่ซับซ้อนและยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตการทำงาน “ผมรู้เลยว่านี่ต้องเป็นภาระอันหนักอึ้ง เมื่อต้องถ่ายภูเขาหลายแห่งในแต่ละฉาก โชคดีที่เรามีทีมงานที่มีพรสวรรค์ เราคิดว่าสิ่งที่ทำให้ทีมงานทุกคนมารวมตัวกันก็คือ จุดมุ่งหมายในการเล่าเรื่องราว”
รวมพลนักแสดง เตรียมพร้อมภารกิจ The Great Raid
หัวใจของ The Great Raid ไม่ได้อยู่ที่ภารกิจกู้ชีวิตเชลยศึก 511 คนเท่านั้น แต่ยังอยู่ที่ชายหญิงที่เกี่ยวข้องกับแผนการอันกล้าหาญครั้งนี้ด้วย แรกเริ่ม จอห์น ดาห์ล อยากให้หนังของเขาเน้นไปที่อารมณ์ความรู้สึกของคนที่ปฏิบัติภารกิจจนลุล่วง พอกับที่เน้นความสนุกสนานของการกู้ชีวิต
ทีมงานเริ่มจากเลือก เบนจามิน แบรทท์ มารับบทนำเป็น พันเอก เฮนรี่ มุชชี่ ผู้นำที่ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวด ทหารใต้บังคับบัญชาตามเขาไปทุกที่ไม่เว้นแม้แต่ในภารกิจกู้ชีวิตลับสุดยอดที่หลายคนให้คำจำกัดความว่า “ภารกิจฆ่าตัวตาย” ด้วยความที่เป็นนักกีฬาและนักมวยเก่า มุชชี่จึงขึ้นชื่อเรื่องความโหด ระหว่างการบุกค่ายคาบานาทวน เขาให้ทหารออกกำลังกายเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ หลังสงคราม มุชชี่ได้รับการสรรเสริญให้เป็นวีรบุรุษ และลงเล่นการเมืองในเวลาต่อมา
จอห์น ดาห์ล ไม่ได้คิดจะให้ เบนจามิน แบรทท์ มารับบท พันเอกมุชชี่ ในตอนแรก แต่พอได้พบกับแบรทท์ เขาก็ได้เห็นความแกร่งและลักษณะท่าทางที่เหมาะสำหรับบทนี้ “เบนไม่ได้เป็นตัวเลือกแรกของเรา แต่ตอนนี้เราคิดไม่ออกเลยว่าใครจะมาเล่นบบทนี้ได้ดีเท่าเขา” ดาห์ลเล่า “เบนเข้าถึงจิตวิญญาณของมุชชี่และพัฒนาตัวละครให้กลายเป็นผู้นำที่แท้จริง”
เช่นเดียวกับชาวอเมริกันทั่วไป แบรทท์ไม่ค่อยคุ้นกับเหตุการณ์ที่คาบานาทวนนัก เมื่อได้เรียนรู้เรื่องราวละเอียดของวีรกรรมครั้งนี้ เขาก็รู้สึกเคารพทหารเหล่านี้มาก “ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้จะนำเสนอภารกิจทางทหารที่น่าทึ่งที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติสาสตร์ มันเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจเพราะมันเป็นการเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พูดง่ายๆคือมันเป็นเรื่องของความเป็นความตายน่ะ” แบรทท์กล่าว
หลังจากศึกษาประวัติศาสตร์อย่างละเอียด แบรทท์ก็รู้สึกชอบนิสัยใจคอของมุชชี่และความสัมพันธ์ระหว่างเขากับร้อยเอก โรเบิร์ท พรินซ์ “ทุกอย่างที่ผมอ่านพูดถึงความเป็นผู้นำและความสามารถในการโมน้าวใจของมุชชี่ ผมเลยเลยรู้สึกท้าทายที่ต้องมารับบทนี้” แบรทท์กล่าว “แง่มุมเกี่ยวกับมนุษย์ของหนังเรื่องนี้ทำให้เรื่องราวน่าสนใจ โดยเฉพาะตัวมุชชี่ กับ พรินซ์ ที่มีลักษณะนิสัยต่างกันสุดขั้ว แต่ก็สามารถทำงานด้วยกันอย่างราบรื่นได้”
สำหรับบท ร้อยเอก โรเบิร์ท พรินซ์ ทหารหนุ่มวัย 25 ปี บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดซึ่งเป็นผู้วางแผนการบุกคาบานาทวนภายใต้การควบคุมของมุชชี่ ดาห์ลได้เลือก เจมส์ ฟรานโก มารับผิดชอบบทนี้ ผลงานเรื่องเด่นของฟรานโกก่อนหน้านี้คือ บทเพื่อนรักของโทบี้ แม็คไกวร์ ใน Spiderman 1 และ 2 และบทเจมส์ ดีน ใน James Dean ที่ทำให้เขาคว้ารางวัลลูกโลกทองคำมาได้สำเร็จ และสำหรับเรื่องนี้ ดูเหมือนเขาจะมีความคล้ายคลึกกับตัวละครร้อยเอกพรินซ์อย่างประหลาด
ด้วยความทุ่มเทให้กับบท ฟรานโกได้ปฏิบัติตามข้อบังคับของทหารอย่างเคร่งครัดจนทีมงานประทับใจในความสมจริง “เจมส์เข้าถึงบทได้ดีเหมือนแบรทท์ เป็นเรื่องสนุกนะที่ระหว่างการถ่ายทำเราได้เห็นเจมส์ค่อยๆเปลี่ยนจากนักแสดงไปเป็นร้อยเอกในช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์” ดาห์ลเล่า
สำหรับเจมส์ ฟรานโก บทนี้ถือว่าน่าสนใจมาก “ผมว่านี่เป็นเรื่องราวสำคัญของประวัติศาสตร์อเมริกาเลยทีเดียว นี่ไม่ใช่หนังสงครามธรรมดา เพราะมันไม่ได้เกี่ยวกับความตาย แต่เกี่ยวกับการช่วยชีวิต นั่นแหละที่ทำให้ผมชอบมาก”
ฟรานโกมีโอกาสได้พบกับร้อยเอกพรินซ์ตัวจริงซึ่งอาศัยอยู่ในซีแอตเติล และได้ดูฟุตเตจบทสัมภาษณ์พรินซ์ในช่วงปี 40 ด้วย “ผมได้อารมณ์ความเป็นกองทัพสมัยปี 1940 มาเยอะเลย และก็รู้สึกว่าเขาเป้นคนถ่อมตัวมากๆ” ฟรานโกเล่า “ที่ผมแปลกใจก็คือ ทุกวันนี้พรินซ์ก็ยังเชื่อว่าภารกิจนั้นเป็นเพียงหน้าที่หนึ่งของเขาเท่านั้น ซึ่งนั่นต่างจากที่คนรุ่นใหม่รู้สึกอย่างสิ้นเชิง การได้ดูเขาในฟุตเตจเหล่นั้นทำให้ผมได้เห็นความคิดที่ต่างกันเกี่ยวกับความรับผิดชอบและการบริการ”
และก็เช่นเดียวกับเบนจามิน แบรทท์ ฟรานโกรู้สึกประทับใจความสัมพันธ์ระหว่างมุชชี่และ พรินซ์ “คุณอาจพูดได้ว่า พรินซ์คือบุ๋น ส่วนมุชชี่คือบู๊ ของภารกิจนี้ มุชชี่รู้ดีว่าเขาต้องการคนอย่างพรินซ์มาวางยุทะศาสตร์การบุกอันเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ” ฟรานโกกล่าว
ท้ายสุด การได้รู้จักตัวละครต่างๆในเรื่องนี้ ทำให้ฟรานโกรู้สึกชื่นชมทหารอเมริกันในอดีตมาก “การได้สัมผัสชีวิตและอันตรายที่คนเหล่านี้ต้องเผชิญ รวมถึงการได้เห็นพวกเขาต่อสู้กับความรู้สึกภายใน ทำให้ผมรู้สึกว่าทหารที่ต้องเสี่ยงตายเหล่านี้มีบุญคุณกับเรา”
บท พันตรีกิ๊บสัน นายทหารเชลยศึกผู้อ่อนล้าแต่เปี่ยมความหวัง ซึ่งเป็นเป้าหมายการช่วยชีวิตของมุชชี่และพรินซ์ ตกเป็นของนักแสดงหนุ่ม โจเซฟ ไฟนน์ “พันตรีกิ๊บสันอยู่ในค่ายเชลยมา 3 ปีแล้ว เขารู้สึกว่าหน้าที่ของเขาคือ รักษาขวัญกำลังใจและความหวังของทหารคนอื่นไว้” ไฟนน์อธิบาย “เขามีลักษณะของทหารสมัยนั้นที่มีความไม่ธรรมดาอยู่ การที่เขามีชีวิตรอดทำให้ผมรู้สึกว่าเขามีความกล้าหาญมาก”
หลังอ่านบทภาพยนตร์ ไฟนน์ก็ต้องประหลาดใจว่าคนรุ่นนี้ไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องภารกิจที่คาบานาทวนสักเท่าไหร “เราคุ้นเคยกับสงครามล้างเผ่าพันธุ์กับสงครามในยุโรป แต่กลับไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับสงครามในแปซิฟิก” เขาตั้งข้อสังเกต “ผมว่านี่เป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่จะทำให้คนดูทึ่งและคงเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคน”
ไฟนน์เตรียมตัวอย่างหนักเพื่อมารับบทนี้ เขาควบคุมอาหาร และรับการฝึกอย่างหนักตามอย่างเชลยศึกสมัยนั้น เมื่อไฟนน์ได้เห็นฉากค่ายกักกันคาบานาทวนที่สมจริงสุดๆครั้งแรก เขาก็รู้สึกได้ถึงความท้าทายทั้งทางร่างกายและจิตใจที่พันตรีกิ๊บสันต้องเผชิญ “การได้เห็นภาพและถูกรายล้อมด้วยผู้ชายผอมซูบนับร้อย ทำให้ผมไม่ต้องใช้จินตนาการมาก ผมรู้สึกเหมือนย้อนกลับไปในอดีต ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีของนักแสดง” ไฟนน์กล่าว “มันจะทำให้คุณสำนึกได้ว่าอิสรภาพมีค่าแค่ไหน”
ผู้ที่เข้ามารับบท มากาเร็ต ยูทินสกี คนรักของไฟนน์ก็คือ คอนนี่ เนลเซ่น นักแสดงสาวที่เคยประกบรัสเซล โครว์ใน Gladiator มาแล้ว มากาเร็ตคือตัวละครที่ประกอบขึ้นจากผู้หญิงหลายคนในช่วงปี 40 ที่ทำงานอย่างหนักเพื่อช่วยเหลือความเคลื่อนไหวใต้ดินในฟิลิปปินส์ “พวกเธออดทนอย่างเหลือชื่อ และช่วยชีวิตคนจำนวนมหาศาล” คอนนี่ เนลเซ่น กล่าว
นีลเซ่นรู้สึกว่า ความรักระหว่างมากาเร็ตต์และกิ๊บสันนำแง่มุมธรรมดาแห่งความเป็นมนุษญ์มาสู่เรื่องราวที่เต็มไปด้วยฉากแอ๊คชั่นเข้มข้น “ความรักของมากาเร็ตต์และกิ๊บสันแสดงให้เราเห็นว่า คนในช่วงสงครามนั้นคิดถึงบุคคลอันเป็นที่รักทุกวัน” เธอกล่าว “สำหรับมากาเร็ตต์ สิ่งหนึ่งที่เจ็บปวดที่สุดก็คือการที่เธอต้องพรากจากคนที่เธอรักมากที่สุดในชีวิต”
อีกตัวละครที่ร่วมทีมบุกค่ายคาบานาทวนก็คือ นายทหารฟิลิปปินส์ ร้อยเอก ฮวน ปาโจต้า และผู้ที่เข้ามารับบทนี้ก็คือ ซีซาร์ มอนทาโน่ ดาราชื่อดังของฟิลิปปินส์ ปาโจต้ารับบทนายทหารผู้ทำให้แผนการของมุชชี่และพรินซ์สำเร็จลุล่วงด้วยความรู้ด้านภูมิประเทศของท้องถิ่น นักแสดงหนุ่มต้องการเปิดเผยให้โลกเห็นว่ากองกำลังฟิลลิปปินส์มีบทบาทแค่ไหนในภารกิจกู้ชีวิตชาวอเมริกันครั้งนั้น “ทหารฟิลิปปินส์ช่วยเหลือการบุกครั้งนั้นมาก พวกเขารู้ทางหนีทีไล่ของประเทศ ทั้งหุบเขา แม่น้ำ ทุกที่ เล่าต่อกันมาว่า กองกำลังฟิลิปปินส์สามารถขโมยอาวุธจากทหารญี่ปุ่นได้ขณะที่พวกนั้นก้มลงผูกเชือกรองเท้า นั่นแหละฝีมือพวกเขา”
นอกจากมอนทาโน่แล้ว นักแสดงฟิลิปปิส์อีกคนที่สำคัญคือ อีบอง โจสัน ที่รับบทร้อยเอกโจสันที่เคยมีชีวิตอยู่จริง ระหว่างการคัดตัวนักแสดง ก็เป็นที่สังเกตเหมือนกันว่าอีบองมีนามสกุลเดียวกับตัวละคร แต่ทุกคนก็คิดว่าเป็นเหตุบังเอิญ หลังจากที่ตกลงรับเล่นเรื่องนี้ เขาจึงได้รู้ว่านี่เป็นบทบาทสำคัผยของชีวิต เพราะเขาต้องรับบทเป็นคุณปู่ของเขาเอง
นักแสดงเดินหน้าสู่ค่ายฝึก
เพื่อความสมจริงแห่งสงครามแปซิฟิก
เพื่อให้นักแสดงได้สัมผัสกฎระเบียบอันเคร่งครัดในการฝึกร่างกาย และทักษะการเอาตัวรอดที่ตัวละครต้องเผชิญในช่วงสงคราม ทีมงานจึงส่งนักแสดงไปยังค่ายฝึกสุดโหดในออสเตรเลีย นักแสดง 120 ชีวิตเดินทางไปเข้าค่ายฝึกพิเศษที่รัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย เป็นเวลา 10 วัน ภายใต้การบังคับบัญชาของร้อยเอก เดล ดาย ซึ่งผู้อำนวยการสร้าง มาร์ตี้ แคทซ์ ยกย่องว่าเป็น “ที่ปรึกษากองทัพที่ดีที่สุดในโลก” ไม่ว่านักแสดงจะรับบทกองกำลังอเมริกัน, กองลาดตระเวนอลาโม่, กองทหารฟิลิปปินส์, เชลยศึกอเมริกัน หรือทหารญี่ปุ่น ทุกคนต่างต้องอดทนกับการฝึกร่างกาย, การอดอาหาร และสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก เพื่อให้ได้ลิ้มรสประสบการณ์ช่วงนั้นของทหารในอดีต
หลังจากแบ่งเป็นกลุ่มๆแล้ว นักแสดงที่รับบทเป็นกองกำลังอเมริกันและกองลาดตระเวนก็ได้รับแบบฟอร์มทหารสมัยสงคราม, เต๊นท์นอน และอาหารกระป๋องรสชาติจืดชืด ตลอดระยะเวลา 10 วัน พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด ตกกลางคืน พวกเขาก็ต้องเฝ้ายามแทนที่จะได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ นอกจากนี้ร้อยเอกดายยังคิดภารกิจต่อสู้ตอนกลางคืนให้เหล่านักแสดง เพื่อสร้างความสามัคคีและความเข้มแข็งอย่างทหารด้วย
ลำดับเวลาที่คาบานาทวน
7 ธันวาคม 1941: กองกำลังญี่ปุ่นบุกเพิร์ลฮาร์เบอร์ หลังจากนั้นไม่นานก็บุก คลาก ฟีลด์ ในประเทศฟิลิปปินส์ อาณานิคมหนึ่งของสหรัฐอเมริกาที่กำลังจะได้รับการปลดปล่อย ฟิลิปปินส์กลายเป็นเป้าหมายหลักของญี่ปุ่น โดยญี่ปุ่นได้ยึดเกาะต่างๆเพื่อคุมแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ทั้งหมด
10 ธันวาคม 1941: ญี่ปุ่นเดินหน้าจู่โจมฟิลิปปินส์เต็มที่ โดยประจัญหน้ากับนายพล แม็คอาร์เธอร์ผู้นำกองทัพสหรัฐฯซึ่งประจำการอยู่ที่นั่น
27 ธันวาคม 1941: นายพลแม็คอาร์เธอร์ถอนกำลังจากกรุงมะนิลาสู่บาทาน
2 มกราคม 1942: ญี่ปุ่นยึดกรุงมะนิลาได้สำเร็จ หลังระดมทิ้งระเบิดอย่างหนัก
มีนาตม 1942: ภายใต้คำสั่งของประธานาธิบดีรูสเวลท์ นายพลแม็คอาร์เธอร์ออกจากฟิลิปปินส์และเดินทางสู่ประเทศออสเตรเลีย
9 เมษายน 1942: นายพล เอ๊ดเวิร์ด คิง ผู้นำกองกำลังลูซอน ซึ่งประกอบด้วยทหารอเมริกันและฟิลิปปินส์ 70,000 ชีวิต ยอมจำนนนต่อกองทัพญี่ปุ่นที่บาทาน นับเป็นการยอมแพ้ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกันเลยทีเดียว
10 เมษายน 1942: กองทัพญี่ปุ่นบังคับให้เชลยศึกเดินทางข้ามป่าเขาในบาทานเป็นระยะทางกว่า 65 ไมล์ สัปดาห์ถัดมา ทหารอเมริกันนับร้อยและทหารฟิลิปปินส์กว่าพันคนเสียชีวิตเพราะขาดอาหาร, ทนพิษบาดแผลไม่ไหว, โรคร้าย และถูกฆ่าตาย
เมษายน 1942 เชลยศึกถูกคุมตัวเข้าค่ายโอดอนแนล ที่ซึ่งเชลยชาวอเมริกัน 1,500 คน และเชลยชาวฟิลิปปินส์ 15,000 คนเสียชีวิตภายใน 2 เดือนของการถูกคุมขัง
มิถุนายน 1942 เชลยศึกชาวอเมริกันถูกส่งไปยังค่ายคาบานาทวน หลายร้อยชีวิตเสียชีวิตตั้งแต่เดือนแรกจากภาวะขาดอาหาร, โรคเขตร้อน และการถูกทรมาน ซึ่งจะเป็นเช่นนี้เรื่อยไปอีกตลอด 3 ปี
สิงหาคม 1944 กระทรวงการสงครามของญี่ปุ่นออกนโยบาย “Kill All Policy” เพื่อกำจัดเชลยศึกที่เหลืออยู่ให้สิ้นซาก
20 ตุลาคม 1944 นายพล แม็คอาร์เธอร์ กลับมายังฟิลิปปินส์
14 ธันวาคม 1944 ที่ค่ายปาลาวัน เชลาศึกชาวอเมริกัน 150 ชีวิต ถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด และมีข่าวลือว่าค่ายคาบานาทวนจะเป็นเป้าหมายต่อไป
27 มกราคม 1945 พันเอก เฮนรี่ มุชชี่ และกองกำลังที่ 6 ได้รับคำสั่งให้บุกค่ายคาบานาทวน
27 มกราคม 1945 กองลาดตระเวนอลาโม่เริ่มต้นสอดแนมเขตแดนศัตรู
30 มกราคม 1945 ปฏิบัติการบุกค่ายคาบานาทวนเริ่มต้นขึ้น
31 มกราคม 1945 เชลยศึกได้รับการปลดปล่อย
เครดิตนักแสดง
เบนจามิน แบรด รับบท พันเอก บุชชี่
Thumbsucker, Catwoman, Pinero, Abandon, Traffic, Miss Congeniality, The Next Best Thing
***ชิงรางวัล Emmy Award และ Screen Actors Guild Award จากซีรี่ย์ดราม่าเรื่อง Law & Order
เจมส์ ฟรานโก รับบท ร้อยเอก พรินซ์
Spiderman, Spiderman 2, The Company, City by the sea, Whatever It Takes, Never Been Kissed, James Dean
***เข้าชิงรางวัล Emmy Award และ Screen Actors Guild Award จากบทเจมส์ ดีน ใน James Dean
คอนนี่ เนลเซ่น รับบท มากาเร็ต ยูทินสกี้
Gladiator, The Devil’s Advocate, Rushmore, Mission to Mars, One Hour Photo, Basic, The Hunted
โจเซฟ ไฟนน์ รับบท พลตรี กิ๊บสัน
Les Enfant du Paradis, Love’s Labours Lost, Shakespeare in Love, Elizabeth, Enemy at the Gate, Killing Me Softly
เครดิตทีมงาน
จอห์น ดาห์ล — ผู้กำกับ
Red Rock West (หนังฟิล์มนัวร์แนวใหม่ ปี 1993 นำแสดงโดย นิโคลัส เคจ)
The Last Seduction (นำสดงโดย ลินดา ฟิโอเรนติโน่ และ บิล พูลแมน)
Rounders (นำแสดงโดย แมท เดม่อน, เอ๊ดเวิร์ด นอร์ตัน และ จอห์น มัลโควิช)
Joy Ride (นำแสดงโดย พอล วอลเกอร์, สตีฟ ซาห์น และ ลิลี โซเบียสกี)
Unforgettable (นำแสดงโดย เรย์ ลิออตต้า และ ลินดา ฟิโอเรนติโน่)
***ได้รับรางวัล Los Angeles Film Critics Association จาก Red Rock West และ The Last Seduction
มาร์ตี้ แคทซ์ — ผู้อำนวยการสร้าง
Dead Poets Society, The Little Mermaid, The Nightmare Before Christmas, Pretty Woman, Titanic, Reindeer Games, The Four Feathers
ลอว์เรนซ์ เบนเดอร์ — ผู้อำนวยการสร้าง
Reservoir Dog, Pulp Fiction, Kill Bill Vol.1/2, Good Will Hunting, A Midsummer Night’s Dream, The Intruder, From Dusk Till Dawn
เทรเวอร์ เรบิน — แต่งเพลงประกอบ
Armageddon, Enemy of the Gate, Remember the Titans, Bad Boys 2, Gone in 60 Seconds, Con Air, Deep Blue Sea, National Treasure
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ