กรุงเทพฯ--25 พ.ย.--ธนาคารกสิกรไทย
ธนาคารกสิกรไทย ตั้งเป้าปีหน้ารุกใหญ่ธุรกิจตลาดทุน ขึ้นเป็นผู้นำขายตราสารหนี้ทั้งตลาดแรกและตลาดรอง การปล่อยกู้ร่วม สินเชื่อโครงการเน้นปล่อยกู้โครงการด้านพลังงาน พร้อมเป็นที่ปรึกษาธุรกรรมซับซ้อนให้ลูกค้าเทกโอเวอร์กิจการ เสริมด้วยข้อมูลวิจัยคุณภาพอันดับหนึ่ง
นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากภาวะอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในปี 2552 ภาคธุรกิจมีการระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้เป็นจำนวนมาก คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 347,100 ล้านบาท ในจำนวนนี้มีธนาคารกสิกรไทยทำหน้าที่เป็นผู้จัดจำหน่ายประมาณ 63,160 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งประมาณ 18%
นอกจากการจัดจำหน่ายตราสารหนี้ในตลาดแรกแล้ว ธนาคาร ฯ ยังให้ความสำคัญในการเปิดตลาดค้าขายตราสารหนี้ในตลาดรอง เนื่องจากเล็งเห็นว่าตลาดรองจะทวีความสำคัญและมีปริมาณซื้อขายที่สูงอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2552 คาดว่าจะมีปริมาณซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรองมากกว่า 3.2 ล้านล้านบาท โดยธนาคารกสิกรไทย เป็นผู้ค้ารายใหญ่ที่สุดคิดเป็นมูลค่าประมาณ 4.5 แสนล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 13.9%
ส่วนการปล่อยสินเชื่อร่วม (Syndicated Loans) ของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบในปี 2552 คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 60,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้ ธนาคารกสิกรไทยทำหน้าที่เป็นผู้จัดการสินเชื่อร่วม (Loans Mandated Arranger) มากที่สุด ประมาณ 19,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 31.% ของมูลค่าสินเชื่อร่วมทั้งหมด
สำหรับปี 2553 ภาคธุรกิจจะเริ่มมีสภาพคล่องที่สูงขึ้น ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเช่นกัน จึงทำให้ความต้องการออกหุ้นกู้โดยภาคเอกชนมีแนวโน้มที่จะลดลง และคาดว่าจะมีการหันไปใช้แหล่งเงินทุนที่มีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น เช่น เงินกู้ในรูปแบบสินเชื่อร่วม (Syndicated Loan) และสินเชื่อโครงการ (Project Finance) ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูงกว่าการออกหุ้นกู้ ทั้งในด้านการเจรจาต่อรองเงื่อนไขต่าง ๆ และความยืดหยุ่นในการจ่ายคืนเงินกู้
ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2553 จะมีปริมาณการปล่อยสินเชื่อร่วมโดยธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบที่ประมาณ 130,000 ล้านบาท ซึ่งธนาคารกสิกรไทยเชื่อว่า ด้วยความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการด้านการปล่อยสินเชื่อร่วมสูง ธนาคารฯ จะยังคงเป็นผู้นำในการจัดการปล่อยสินเชื่อร่วมในปี 2553 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 40,000 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดที่ 30%
ส่วนตลาดตราสารหนี้ไทยในปี 2553 คาดว่าภาคธุรกิจออกหุ้นกู้มูลค่ารวมประมาณ 225,000 ล้านบาท โดยธนาคารกสิกรไทยคาดว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดในการจัดจำหน่ายตราสารหนี้ประมาณ 25% หรือคิดเป็นมูลค่า 56,250 ล้านบาท ส่วนการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรองคาดว่าจะมีมูลค่า 3.5 ล้านล้านบาท โดยธนาคารตั้งเป้าคงความเป็นผู้นำในในการซื้อขายด้วยมูลค่าประมาณ 5.25 แสนล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดประมาณ 15%
นายธิติ กล่าวว่า ในปีหน้าการปล่อยสินเชื่อที่น่าสนใจคือ การให้สินเชื่อโครงการ (Project Finance) เพื่อสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ของรัฐ และสินเชื่อแก่ธุรกิจพลังงาน ในกลุ่มลูกค้าผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP Projects) โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ยังมีโอกาสขยายตัวสูงและได้รับความสนับสนุนจากภาครัฐ นอกจากนั้นธนาคาร ฯ ยังตั้งเป้าที่จะเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และการให้สินเชื่อโครงการพลังงานทางเลือก อาทิ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งนี้คาดว่าในปี 2553 จะมีการลงทุนในโครงการธุรกิจพลังงานไฟฟ้ารวมแล้วไม่ต่ำกว่า 175,000 ล้านบาท
ด้านธุรกิจตลาดทุนในปี 2553 ธนาคารกสิกรไทย จะมุ่งเน้นการสนอบริการแบบครบวงจรที่มีความสอดคล้องกับภาวะตลาดและความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ เพื่อครองความเป็นผู้นำในธุรกิจตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการเป็นผู้จัดการสินเชื่อร่วม (Loan Mandated Arrangers) และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในการเป็นผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ภาคเอกชน และครองตำแหน่งผู้นำในการเสนอขายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) อีกด้วย
นอกจากนี้ ในปีหน้าธนาคารกสิกรไทยจะสร้างความแตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่นในตลาด ด้วยบริการให้คำปรึกษาทางการเงินในการทำธุรกรรมซับซ้อน ในการเข้าซื้อกิจการของภาคธุรกิจและนักลงทุน อาทิ Acquisition Financing, Management Buyout, และ Leveraged Buyout รวมทั้งการให้บริการข้อมูลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนที่แม่นยำ โดยที่ผ่านมางานวิจัยด้านธุรกิจตลาดทุนของธนาคาร ฯ ได้รับการยกย่องให้เป็นงานวิจัยอันดับหนึ่ง ของสถาบันการเงินในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถบรรลุเป้าหมายสูงสุดทางธุรกิจและการลงทุนที่วางไว้