มูลนิธิรามาธิบดีฯ จัดงานใหญ่ศิลป์แห่งกุศล "Art of Mercy…Flower for Life" และโชว์ความก้าวหน้าอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์

ข่าวทั่วไป Friday November 27, 2009 10:14 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--27 พ.ย.--มูลนิธิรามาธิบดีฯ มูลนิธิรามาธิบดีฯ จัดงานใหญ่ศิลป์แห่งกุศล "Art of Mercy…Flower for Life" และโชว์ความก้าวหน้าอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ พร้อมชวนคนไทยร่วมทำบุญครั้งยิ่งใหญ่สมทบทุนสร้างอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ซึ่งจะเปิดดำเนินการปี 2553 มูลนิธิรามาธิบดีฯ เดินหน้าจัดกิจกรรมศิลป์แห่งกุศลครั้งใหญ่ ภายใต้ชื่องาน " Art of Mercy…Flowers for Life น้ำใจผลิบาน...ตระการงานศิลป์" เพื่อสานต่อโครงการอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ ด้วยการเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบริจาคเงินเพื่อสมทบทุนสร้างอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์และซื้อเครื่องมือการแพทย์ โดยผู้ที่บริจาคจำนวน 300,000 บาท ขึ้นไปจะได้รับการประกาศเกียรติคุณสลักชื่อใต้กรอบภาพวาดดอกไม้ฝีมือ อาจารย์สมาน คลังจัตุรัส ศิลปินชื่อดังและทีมงาน ซึ่งจะนำไปตกแต่งในอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ พร้อมโชว์ความก้าวหน้าของโครงการที่จะเอื้อประโยชน์นานัปการทางด้านการแพทย์ในประเทศไทย และถือเป็นศูนย์การแพทย์ที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคนี้ ศาสตราจารย์แพทย์หญิงสุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ รองประธานกรรมการบริหารมูลนิธิรามาธิบดี ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และดำรงตำแหน่งรองคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยถึงการจัดงานภายใต้ชื่อ "Art of Mercy…Flower for Life" ของมูลนิธิรามาธิบดีฯ ว่าเพื่อประชาสัมพันธ์ความก้าวหน้าของโครงการอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ และระดมทุนที่ยังขาดอยู่เป็นจำนวนมากเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ซึ่งผู้ร่วมบริจาคจะได้รับการประกาศเกียรติคุณจารึกชื่อใต้ภาพวาดดอกไม้ และนำไปตกแต่งภายในอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ ที่อาจารย์สมาน คลังจัตุรัส และทีมศิลปินได้ร่วมสร้างสรรค์ขึ้นจำนวน 199 ภาพ เพื่อสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายให้แก่ผู้ป่วยที่เข้ามารับบริการในอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ โดยบริจาคภาพละ 300,000 บาท นอกเหนือจากสิทธิประโยชน์ทางด้านการลดหย่อนภาษี มูลนิธิรามาธิบดีฯ จะดำเนินการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้ และบัตรสิทธิประโยชน์พิเศษในการลดหย่อนค่ารักษาพยาบาลอีกด้วย ภายในงานศิลป์แห่งกุศล จัดให้มีนิทรรศการ 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นนิทรรศการของมูลนิธิรามาธิบดีฯ ที่ก่อกำเนิดขึ้นมากว่า 40 ปี จากจุดเริ่มต้นของการสนับสนุนการดำเนินการต่างๆ ของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และแสดงศักยภาพสู่โครงการที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือการระดมทุนสร้างอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ที่จะเป็นโอกาสใหม่ให้กับผู้ป่วยโรคซับซ้อนและขยายการรักษารองรับผู้ป่วยได้มากถึง 1.2 ล้านคน ส่วนที่สอง เป็นส่วนที่จัดแสดงนิทรรศการภาพวาดดอกไม้นานาพันธุ์ ฝีมือ อาจารย์สมาน คลังจัตุรัส และอาจารย์พิเศษแผนกวาดภาพสีน้ำมัน ของศูนย์ศิลปาชีพ บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่เปรียบเสมือนสื่อกลางระหว่างความงามแห่งศิลปะและความงามแห่งน้ำใจเป็นจุดเชื่อมต่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการทำบุญสร้างอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ และยังเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดดอกไม้ และเขียนบัตรอวยพรเพื่อร่วมถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรงเป็นมิ่งขวัญของประชาชนชาวไทยสืบไป ส่วนเสริมความยิ่งใหญ่ของกิจกรรมมหากุศลในครั้งนี้อาจารย์สมานได้วาดพระบรมสาทิสลักษณ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเป็นพระบรมสาทิสลักษณ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยซึ่งจะนำมาประดิษฐานที่โถงทางเข้าของอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ อีกด้วย อาจารย์สมานได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “พระบรมสาทิสลักษณ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีขนาด 2.8x3.9 เมตร กรอบรูปทำจากโครงไม้สักทองแกะสลักลวดลาย 3 มิติ ปิดด้วยทองคำเปลวไทย 100 % มากกว่า 20,000 ใบ ผ้าใบที่ใช้เขียนผลิตจากผ้าลินินออยล์มีขนาดหน้าผ้าใบ 3 เมตร ซึ่งหาได้ยากมากจึงนำเข้ามาจากประเทศเนเธอร์แลนด์ เนื่องจากเป็นแหล่งกำเนิดของผลงานศิลปะระดับโลกจึงมีการผลิตผ้าชนิดนี้ สีที่ใช้ในการเขียนภาพเป็นสีน้ำมันจากอเมริกา ซึ่งถือเป็นสีที่ดีที่สุด ทำให้พระบรมสาทิสลักษณ์สามารถอยู่ได้นับร้อยปีเช่นเดียวกับภาพวาดศิลปินดังระดับโลกที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ในต่างประเทศ” ศาสตราจารย์แพทย์หญิงสุวรรณาเผยว่า “เนื่องจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงเห็นความสำคัญในการอนุรักษ์พรรณไม้ไทย การคัดสรรรูปพรรณไม้ไทยยังเป็นประโยชน์ในการสร้างความรู้กับคนไทยเรื่องของพรรณไม้ไทย นอกเหนือจากเรื่องความงดงามของภาพและการตกแต่งอาคาร” ที่ผ่านมาอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ได้รับพระบรมราชานุญาติจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้สร้างเป็นอาคารสูงพิเศษ 9 ชั้น แทนที่จะเป็นอาคาร 4 ชั้น เนื่องจากอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานชื่ออาคารว่า “อาคารสมเด็จพระเทพรัตน์” โครงการอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์นี้ ต้องใช้งบประมาณในการก่อสร้างอาคารและระบบต่างๆประมาณ 2,000 ล้านบาท ครุภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยและการตกแต่งภายในประมาณ 2,400 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 4,400 ล้านบาท โดยได้รับงบประมาณจากรัฐบาล 1,000 ล้านบาทและเงินสนับสนุนจากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีและเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งมูลนิธิรามาธิบดีฯ มีภารกิจสำคัญในการประชาสัมพันธ์เชิญชวนประชาชนทั่วไป และผู้มีจิตศรัทธาในการมีส่วนร่วมในการสร้าง “อาคารสมเด็จพระเทพรัตน์” ให้แล้วเสร็จเพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชนชาวไทยและลูกหลาน ทั้งนี้อาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ มีจุดเด่นแตกต่างจากศูนย์การแพทย์ทั่วไป คือเป็นศูนย์รักษาโรคซับซ้อนหลากหลายสาขา สามารถเป็นที่พึ่งด้านการรักษาพยาบาลของประชาชนชาวไทยทั่วประเทศได้ รวมทั้งเป็นที่รับส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศที่ต้องได้รับการดูแลรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือที่ทันสมัย เทียบเท่าการรักษาในโรงพยาบาลต่างประเทศ อาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ยังเป็นศูนย์รวมของอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางทุกสาขา และมีเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย จึงมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณสูงมากในการจัดหาครุภัณฑ์ทางการแพทย์ต่างๆ มูลนิธิรามาธิบดีฯ จึงจัดกิจกรรมต่างๆ ที่หลากหลาย เพื่อประชาสัมพันธ์และระดมทุนมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2551 และการจัดงาน "Art of Mercy…Flower for Life" เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญที่จะทำให้มูลนิธิรามาธิบดีฯ สามารถเดินหน้าโครงการอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ให้แล้วเสร็จ เพื่อสามารถเปิดให้บริการได้ในปลายปี 2553 ด้านศาสตราจารย์นายแพทย์อร่าม โรจนสกุล ประธานคณะกรรมการศึกษาและพัฒนาระบบบริหารจัดการในอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ และรองคณบดีฝ่ายบริหารคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวถึงความคืบหน้าล่าสุด คาดว่าการก่อสร้างตัวอาคารจะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนธันวาคม 2552 และจะเริ่มดำเนินการตกแต่งภายในและติดตั้งเครื่องมือแพทย์ในเดือนมกราคม 2553 โดยกำหนดเสร็จและเปิดให้บริการรักษาพยาบาลได้ประมาณปลายปี 2553 เนื่องจากอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ และอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีปัจจุบันอยู่ห่างกันกว่า 400 เมตร จึงต้องมีการก่อสร้างทางเชื่อมอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์กับตัวอาคารหลักของโรงพยาบาลรามาธิบดีโดยทางเชื่อมดังกล่าวจะมีความกว้างประมาณ 4 เมตร ยาวกว่า 400 เมตร มีรถไฟฟ้ารับ-ส่ง และมีบันไดเลื่อนและลิฟต์ขึ้น-ลง คาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างในเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคมนี้ ใช้เวลาดำเนินการประมาณ 8 เดือน เมื่อก่อสร้างเสร็จจะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการให้บริการผู้ป่วยมากขึ้น ด้านการตกแต่งภายในและการติดตั้งอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ในอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ จะเริ่มต้นดำเนินการได้ในเดือนมกราคม 2553 คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี โดยจะสามารถเริ่มเปิดให้บริการบางส่วนสำหรับบริการผู้ป่วยนอกได้ประมาณปลายปี 2553 และจะเปิดครบทุกส่วนประมาณกลางปี 2554 ทั้งนี้ด้านการลงทุนเพื่อจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยต้องใช้งบประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็น เครื่องมือตรวจวินิจฉัยทางรังสี เครื่องตรวจเลือดอัตโนมัติ ระบบเวชภัณฑ์ปลอดเชื้อ เครื่องมือประจำห้องผ่าตัดและไอซียูและอื่นๆ ศาสตราจารย์นายแพทย์อร่าม กล่าวว่าจุดเด่นด้านต่างๆ ของอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ จะเป็นศูนย์การแพทย์ที่มีสถาบันการแพทย์หลายแห่งที่เชื่อมโยงถึงกันได้ สามารถเชื่อมโยงกับโรงพยาบาลหลัก ผ่านทางสะพานเชื่อม มีรถไฟฟ้าขนส่งผู้ป่วยและญาติ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ร้านค้า ศูนย์อาหาร ธนาคารและอื่นๆ มีระบบดูแลรักษาอาคารที่ทันสมัย มีระบบความปลอดภัยและประหยัดพลังงาน มีสวนในอาคาร เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติได้พักผ่อนหย่อนใจส่งผลให้ผลการรักษาพยาบาลดียิ่งขึ้น ด้านการรักษาพยาบาล มุ่งให้บริการรักษาพยาบาลตามมาตรฐานสากล มีการให้บริการรักษาพยาบาลที่เป็นเลิศ โดยเน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางโดยการทำงานของทีมงานอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกสาขา มีศูนย์และคลินิกแพทย์เฉพาะทางทุกด้าน ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจรที่ทันสมัย ศูนย์พยาธิวิทยาทันสมัยด้วยเทคโนโลยีการตรวจทางห้องปฏิบัติการล่าสุด ศูนย์รังสีวินิจฉัยที่มีเครื่องมือล่าสุดครบ สำหรับขีดความสามารถการให้บริการการรักษาพยาบาลของอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์นั้น เมื่อเปิดบริการได้เต็มที่แล้วจะสามารถรองรับการตรวจรักษาผู้ป่วยนอกทุกสาขาประมาณวันละ 4,000 คนหรือกว่า 1,200,000 คนต่อปี การตรวจสุขภาพปีละ 50,000 คน บริการทันตกรรมปีละ 20,000 คน ไตเทียมปีละ 12,000 ครั้ง การส่องกล้องตรวจวินิจฉัยและรักษาปีละ 12,000 ราย สำหรับผู้ป่วยในสามารถให้บริการได้ปีละ 12,000 คน และการผ่าตัดใหญ่ ปีละ 6,000 คน นอกจากนี้ยังสามารถให้การฝึกอบรมแพทย์และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญปีละ 600 คน “เรามีความมุ่งมั่นที่ให้คนไทยได้มีสถานพยาบาลที่มีคุณภาพสูง การบริการที่ดี รองรับประชาชนได้ในทุกชนชั้นและเพื่อสร้างสุขภาพที่ดีของสังคมไทยอย่างยั่งยืน” ศาสตราจารย์นายแพทย์อร่าม กล่าวในท้ายที่สุด สื่อมวลชนสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณปทิดา (พร) ประชาสัมพันธ์ โทร. 0-2292-9383

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ