กรุงเทพฯ--27 พ.ย.--สหมงคลฟิล์ม
The Treasure Hunter
ประเภท แอ็คชั่น / ผจญภัย
สัญชาติ ไต้หวัน / จีน
กำกับการแสดง เควิน ชู (Kung Fu Dunk)
นำแสดง เจย์ โชว์ (Curse of the Golden Flower, Secret, Kung Fu Dunk)
หลินจื้อหลิง (Red Cliff 1 & 2)
เฉินเต้าหมิง (Hero, Infernal Affairs III)
เจิ้งจือเหว่ย (Infernal Affairs I, II & III, Kung Fu Dunk)
เฉินฉู่เหอ (Kung Fu Dunk)
กำหนดฉาย 30 ธันวาคม 2009
จัดจำหน่าย มงคลซิเนม่า
ภาพยนตร์แอ็คชั่นส่งท้ายปี 2009 ด้วยทุนสร้างกว่า 600 ล้านบาท The Treasure Hunter คือภาพยนตร์ที่ผสมผสานการผจญภัยในโลกทะเลทราย ศาสตร์แห่งอาวุธในตำนานของประวัติศาสตร์จีน และการเดินทางเพื่อตามล่าหาขุมทรัพย์ ทำให้เกิดความบันเทิงขึ้นสูงสุด ผลงานจากผู้กำกับ เควิน ชู และออกแบบฉากต่อสู้โดย เฉินเสี่ยวตง
The Treasure Hunter นำแสดงโดย เจย์ โชว์ ผู้เคยได้รับรางวัลม้าทองคำจากทั้งประเทศไต้หวันและฮ่องกง ซึ่งโกอินเตอร์อยู่ในขณะนี้จากการถ่ายทำภาพยนตร์ในฮอลลิวู้ดเรื่อง The Green Hornet โดยเขารับบทเป็น คาโต้ ซึ่งเคยเป็นบทที่นักแสดงในตำนานอย่าง บรูซ ลี เคยเล่นเอาไว้ นอกจากนี้ยังได้นางเอกอย่าง หลินจื้อหลิง ที่ครองใจชาวเอเชียจากบทบาทแม่นางเสี่ยวเกี้ยว ใน Red Cliff ภาค 1 และ 2 มหากาพย์สามก๊กของผู้กำกับ จอห์น วู ที่สามารถทำลายสถิติหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของประเทศจีนไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย
โดยยังมีนักแสดงสมทบชั้นดีเข้ามาร่วมแสดงอย่างคับคั่ง เช่น เฉินเต้าหมิง นักแสดงที่ได้รับเสียงชื่นชมจากบทจิ๋นซีฮ่องเต้ใน Hero, เจิ้งจือเหว่ย นักแสดงมากความสามารถที่เคยรับบทเป็นเจ้าพ่อสุดเหี้ยมใน Infernal Affairs I, II และ III และ เฉินฉู่เหอ นักแสดงหนุ่มรูปหล่อจาก Kung Fu Dunk
ภาพยนตร์เรื่อง The Treasure Hunter ได้รับการจับตามองจากทุกคนตั้งแต่ก่อนการถ่ายทำที่เมืองอินฉวน ในประเทศไต้หวัน และเมืองจงเหว่ย ในจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งก่อนถ่ายทำนั้นก็ยังสามารถขายลิขสิทธิ์ไปแล้วกว่า 13 ประเทศ ได้แก่ไต้หวัน, จีนแผ่นดินใหญ่, ฮ่องกง, สิงค์โปร์, มาเลเซีย, ไทย, อินโดนิเซีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, พม่า, และกำลังขยายไปในภูมิภาคอื่นเช่นยุโรปรวมถึงสหรัฐอเมริกา
เรื่องราวใน The Treasure Hunter
ณ.ดินแดนอันไกลโพ้นในแถบตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน มีราชวงศ์จำนวนมากที่ตั้งตนเป็นใหญ่และสร้างวัฒนธรรมของตัวเองขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างถือกำเนิดและล่มสลายในเขตทะเลทรายอันแสนกว้างขวางแห่งนี้ และทำให้สมบัติจำนวนมหาศาลถูกพายุทรายฝังเอาไว้ตลอดกาล
อย่างไรก็ตามก็มีกลุ่มคนจำนวนมาก ที่พยายามตามหาสมบัตินี้ โดยหลักฐานเพียงสิ่งเดียวที่บ่งบอกว่ามันมีอยู่จริงก็คือลายแทงขุมทรัพย์ ที่นำไปสู่อารยธรรมซึ่งถูกฝังเอาไว้นับพันปี แต่สิ่งที่กีดขวางไม่ให้คนเหล่านั้นบรรลุเป้าหมายก็คือกลุ่มผู้พิทักษ์สมบัติ ที่ปกป้องมันด้วยความสามารถและไหวพริบมาหลายชั่วอายุคน
ผู้นำของกลุ่มผู้พิทักษ์มีสมญานามว่า “อินทรีทะเลทราย” (เฉินฉู่เหอ) ผู้มีศิลปะการต่อสู้ที่ไม่มีใครเทียบได้ บนทะเลทรายซึ่งผู้เข้มแข็งที่สุดเท่านั้นที่อยู่รอด และไม่มีใครจดจำชื่อของผู้ที่พ่ายแพ้ อย่างไรก็ตามก็ยังมีกลุ่มคนชั่วร้ายที่สั่งสมกำลังเพื่อช่วงชิงลายแทงขุมทรัพย์ ที่จะนำไปสู่อารยธรรมซึ่งสูญหายมานับหลายพันปี
เฉี่ยวเฟย (เจย์ โชว์) คือชายหนุ่มปริศนาที่ทำงานให้กับ ผู้เฒ่าถู ผู้เก็บรักษาแผนที่คนสุดท้าย เพื่อคอยปกป้องวัตถุโบราณอันล้ำค่า แต่แล้ว หลานถิง (หลินจื้อหลิง) ลูกสาวคนเดียวของ ผู้เฒ่าถู ก็ถูกลักพาตัวไปโดย “เดอะ คอมพานี” องค์กรอาชญากรรมที่ชั่วร้ายที่สุดในวงการ และขู่ให้ เฉี่ยวเฟย ส่งมอบลายแทงกับให้พวกเขา
หลังจากการต่อสู้อันตื่นเต้น เฉี่ยวเฟย ก็สามารถช่วย หลานถิง ออกมาได้ แต่พวกเขาก็เสียลายแทงขุมทรัพย์ไป ถึงแม้ว่ามันจะขัดกับการใช้ชีวิตเร่ร่อนของเขา เฉี่ยวเฟย ก็ตัดสินใจร่วมเดินทางไปกับ หลานถิง, ไผกู่ และ หัวติงปาง ที่พยายามช่วงชิงแผนที่กลับมา
หัวติงปาง (เฉินเต้าหมิง) อดีตเคยเป็นนักโบราณคดีที่มีชื่อเสียง แต่แล้วเขาก็กลายเป็นคนที่ถูกครอบงำจากการตามล่าหาสมบัติ จนทำให้ครอบครัวต้องพบกับโศกนาฏกรรม ซึ่งทำให้เขากลายเป็นคนติดเหล้า แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจกลับมาร่วมเดินทางไปกับกลุ่มเพื่อช่วยตามหาสมบัติ โดยที่ทุกคนในกลุ่มก็ยังไม่รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของเขา
สำหรับ หลานถิง แล้ว ไม่ว่าการเดินทางจะมีอันตรายแค่ไหน เธอก็ต้องการค้นหาว่าอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้พ่อใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่ในทะเลทราย และนี่ก็อาจเป็นเพียงวิธีเดียวที่ทำให้เธอได้รู้จักพ่อเธอเป็นครั้งสุดท้าย ในขณะเดียวกันในเขตทะเลทรายก็เกิดความโกลาหล เมื่อสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มผู้พิทักษ์นั้นหายสาบสูญไป และ เฉี่ยวเฟย ก็อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เขาต้องการคลี่คลายปริศนาการหายตัวไปของสมาชิกกลุ่มผู้พิทักษ์ และนำความสงบสุขกลับมาสู่ทะเลทรายแห่งนี้
ทั้งสี่คนต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ และยิ่งพวกเขาเข้าใกล้หลุมศพจักรพรรดิมากเท่าไร กับดักสุดอันตรายและศัตรูตัวฉกาจก็รอพวกเขาอยู่ข้างหน้า ชีวิตของคนทั้งสี่ถูกผูกติดอยู่ด้วยกัน และ เฉี่ยวเฟย ก็ต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้ที่เขาหลบเลี่ยงมาตลอด มันคือพันธนาการสุดท้ายที่เคยผูกชะตาชีวิตเขาเอาไว้กับ อินทรีทะเลทราย แต่ใครกันละที่จะเป็นเพื่อนแท้ในสถานการณ์อันลำบาก สิ่งที่ถูกฝังไว้จะมีเพียงแค่สมบัติอันล้ำค่าหรือไม่ หรือว่ายังมีความลับที่ไม่ต้องการให้ถูกเปิดเผย...
ทะเลทรายโกบี ดินแดนที่ไร้อาณาเขต
ฉากถ่ายทำแรกของ The Treasure Hunter เกิดขึ้นบนเขตท่องเที่ยวอินกรีด้า ในประเทศมองโกเลียชั้นใน ซึ่งถือเป็นอาณาเขตทะเลทรายไร้ขอบเขต ผสมผสานกับความงามของท้องฟ้าสีคราม โดยเรื่องราวใน The Treasure Hunter ก็จะเกิดขึ้นกว่า 1 ใน 3 บนสถานที่แห่งนี้
ทีมงานได้สร้าง “โรงแรมอินทรีทะเลทราย” ที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์ที่น่าดึงดูดให้กับพื้นที่กลางทะเลทราย โดยภาพยนตร์เรื่อง The Treasure Hunter ได้ร่วมมือกับองค์กรส่งเสริมการท่องเที่ยวส่วนท้องถิ่น เพื่อช่วยนำเสนอความงามทางธรรมชาติ และวัฒนธรรมอันน่าดึงดูดของประเทศมองโกเลียจากมุมมองของคนท้องถิ่น
กังหันลมขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางทะเลทราย ปั้มน้ำมันทรุดโทรมที่ไร้ผู้คน พายุทรายที่พัดผ่านทุกสิ่งทุกอย่าง และโรงแรมที่ทำจากไม้ในสถาปัตยกรรมแบบอเมริกัน ทั้งหมดตั้งอยู่บนทะเลทรายอันไร้ขอบเขต นี้คือสถานที่แห่งเดียวที่ทุกคนใช้พักอาศัย และเป็นที่หลบภัยแห่งเดียวจากพายุทะเลทราย
ทะเลทรายกลางเดือนกุมภาพันธ์ถือเป็นช่วงเวลาที่หนาวและแห้ง อุณหภูมิที่แตกต่างกันระหว่างตัวอาคารและนอกสถานที่ รวมถึงช่วงเวลากลางวันและกลางคืน ทำให้ทีมงานทุกคนต้องปรับให้ชินกับสภาพอากาศในทะเลทรายให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ทุ่มเทในการสร้าง โรงแรมอินทรีทะเลทราย ขึ้นมา จนในที่สุดโรงแรมก็เสร็จสิ้นก่อนการถ่ายทำแบบทันท่วงที
โรงแรมอินทรีทะเลทราย ถูกสร้างอย่างสมบูรณ์แบบและสามารถใช้งานได้จริง โดยเฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างถูกติดตั้งสมบูรณ์ รวมถึงองค์ประกอบทุกอย่างในบาร์ที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ ทำให้มันกลายเป็นโรงแรมที่สร้างด้วยความละเอียดอ่อน และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ในปัจจุบัน
เพื่อความสะดวกในการถ่ายทำ สำหรับฉากกลุ่มสตอร์มไรเดอร์บุกโรงแรม ทีมงานก็ออกแบบประตูและหน้าต่างให้ถอดเข้าออกได้สะดวก โดยมีกระดานไม้ที่แตกง่ายในการสร้างความรู้สึกเหมือนการพังเข้ามา เพื่อช่วยให้โครงสร้างโรงแรมที่สร้างเอาไว้ไม่ได้รับความเสียหาย
อีกฉากหนึ่งคือตอนที่กลุ่มสตอร์มไรเดอร์สามารถยึดโรงแรมได้แล้ว แล้วออกตามหา เฉี่ยวเฟย และเพื่อนของเขา ก่อนที่การต่อสู้จะทำให้โรงแรมพังทลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี โดยในฉากนี้ทีมงานก็ตัดสินใจสร้างโรงแรมที่มีขนาดย่อส่วนลงมาตั้งไว้ข้างโรงแรมจริง สำหรับการใช้ไว้เพื่อทำลาย
ชนเผ่านักรบไร้สังกัด “โรนิน”
โรนิน เป็นกลุ่มนักรบเร่ร่อนที่อาศัยอยู่ในตลาด นี้คือที่ที่ทุกคนรวมตัวกันเพื่อความฝันในการตามหาสมบัติ โดยมี “กระบี่สิบสาม” เป็นหัวหน้ากลุ่ม ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง แต่ โรนิน ทุกคนก็ให้ความนับถือ แต่ในความมุทะลุของเธอนั้นก็เปี่ยมไปด้วยความเศร้า
เฉี่ยวเฟย และ หลานถิง ไล่ตามลายแทงขุมทรัพย์ที่ถูกชิงไป ซึ่งก็ทำให้พวกเขาได้พบกับกลุ่มนักรบโรนิน และ กระบี่สิบสาม หัวหน้ากลุ่ม ที่ใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อรอคอยใครคนหนึ่งจากคำสัญญาที่ให้เอาไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว และความบังเอิญก็ช่วยเพิ่มความสับสนในความรู้สึกระหว่าง กระบี่สิบสาม และ เฉี่ยวเฟย
ในฉากนี้ทีมงานได้ไปถ่ายทำในสตูดิโอที่อินฉวน ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการถ่ายทำภาพยนตร์ และซีรี่ย์โทรทัศน์ที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวัน ซึ่งระหว่างการถ่ายทำนั้นก็มีนักท่องเที่ยวหยุดให้ความสนใจหลายครั้ง โดยการสร้างสรรค์ป้อมปราการของเผ่านักรบ ถือเป็นส่วนสำคัญในการนำเสนอความดิบและนิสัยเร่ร่อนของชนเผ่ากลุ่มนี้
ทางเดินสู่หลุมศพจักรพรรดิ
เส้นทางสู่หลุมศพของจักรพรรดิถือเป็นจุดเริ่มต้น เมื่อ เฉี่ยวเฟย ก้าวเข้าไปในความน่าพิศวงของลายแทง มันคือจุดเริ่มต้นของความอันตรายที่เพิ่มขึ้น และยังเป็นการเผยให้เห็นถึงลวดลายคำทำนายบนกำแพง ทางเดินสู่หลุมศพจักรพรรดิถูกสร้างที่สตูดิโอในเมืองอู๋ซี ซึ่งทีมงานต่างก็ใช้ฝีมืออย่างเต็มที่ในการสร้างจิตรกรรมฝาผนังที่ให้ความรู้สึกสมจริงที่สุด
กับดักในหลุมศพจักรพรรดิ
การผจญภัยของ เฉี่ยวเฟย และผองเพื่อนที่เข้าไปสู่ถ้ำที่อยู่ลึกเข้ามาจากทางเชื่อม ก็ปรากฏภาพของฟันเฟืองขนาดใหญ่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ และกำแพงที่ก่อตัวขึ้นจากหัวกระโหลกมนุษย์ สภาพแวดล้อมของสถานที่ทำให้ทุกคนรู้สึกขนลุกและตื่นเต้น
ในขณะที่ทุกคนออกสำรวจพื้นที่ หลานถิง ก็ได้เดินเข้าไปในกับดัก ทันใดนั้นฟันเฟืองก็เริ่มทำงานอีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างสั่นสะเทือนและฝุ่นหนาก็ฟุ้งลอยตัวขึ้น ในขณะเดียวกันหัวกระโหลกที่ฝังอยู่ในกำแพงก็เริ่มปล่อยใบมีดออกมา พวกเขาจะรอดออกไปจากกับดักนี้ได้อย่างไร
หลุมศพจักรพรรดิแห่งชะตาลิขิต
เมื่อประตูหินถูกเปิดขึ้น เผยให้เห็นรูปปั้นเทพเจ้าทั้งสี่ยืนตระหง่านอยู่รอบกำแพงทั้งสี่ด้าน แสงสว่างสีทองส่องประกายอยู่เหนือหลุมศพ หัวติงปาง เอ่ยขึ้นมาว่า "ฉันถึงบ้านแล้ว" เพราะจากโศกนาฏกรรมเมื่อ 10 ปีก่อน ที่ตัดสินชะตาชีวิตของผู้อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งการที่ เฉี่ยวเผย และพวกบุกรุกเข้ามา ทำให้สิ่งมีชีวิตปริศนาทั้งสี่ออกมาจากรูปปั้น และโจมตีทุกคนทันที
หลุมศพจักรพรรดิแห่งพรหมลิขิตถูกสร้างที่สตูดิโอในเมืองอู๋ซี โดยสถานที่แห่งนี้ถือเป็นจุดหมายสุดท้ายของ เฉี่ยวเฟย และ หลานถิง ในการเดินทาง การเปิดประตูหินและพบกับเทพเจ้าสี่องค์ รวมถึงหลุมศพที่ทอแสงประกายสีทอง นี้คือส่วนที่มีความตื่นเต้นที่สุดของเรื่อง และเป็นที่ซึ่งทุกทุกสิ่งอย่างก็จะถูกคลี่คลาย
บ้านของผู้เฒ่าถู
ผู้เฒ่าถู ใช้เวลาทั้งชีวิตในการตามหาสมบัติเพื่อคนอื่น ทำให้เขาสูญเสียความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว ก่อนที่จะเกษียญ ผู้เฒ่าถู ก็อยากที่จะชดใช้ความผิดด้วยการจัดงานวันเกิดให้กับลูกสาว และมอบลายแทงขุมทรัพย์ที่จะทอสานชะตาชีวิตของ เฉี่ยวเฟย, หลานถิง และ หัวติงปาง เข้าด้วยกัน
บ้านของผู้เฒ่าถูถูกสร้างที่สตูดิโอในเมืองอู๋ซี ซึ่งเป็นการรวมบ้านสองหลังเข้าด้วยกัน โดย หลิว ผู้ออกแบบงานสร้าง พิจารณาว่าจะต้องมีหลายส่วนที่ปรากฏอยู่ในหนัง เช่น ห้องนั่งเล่น, ห้องอาหาร, และห้องสมุด ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์หลากหลาย สำหรับการสร้างในพื้นที่จำกัดแต่ความเป็นไปได้ที่ไม่จำกัด
โดยบ้านผู้เฒ่าถูนั้นมีความสำคัญต่อความสัมพันธ์ของ หลานถิง และ เฉี่ยวเฟย เพราะ ผู้เฒ่าถู นั้นหายไปจากชีวิตของ หลานถิง แถมเธอยังปฏิเสธที่จะอยู่ใกล้บ้าน แต่ เฉี่ยวเฟย ก็เป็นเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างพ่อและลูกสาว โดยบ้านหลังนี้มีสีสันที่ดูอบอุ่น และห้องสมุดที่เต็มไปด้วยวัตถุโบราณ, หนังสือและโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งแสดงให้ถึงความรู้แจ้งของผู้เฒ่าถู
สไตล์เครื่องแต่งกายของ The Treasure Hunter
วัฒนธรรมและสไตล์เครื่องแต่งกายใน The Treasure Hunter ได้รับการดูแลโดย ยี ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย และ เฉิน ผู้ดูแลเรื่องศิลปวัฒนธรรม ทั้งสองก็ได้สร้างรูปแบบที่มีเอกลักษณ์ของ เฉี่ยวเฟย (เจย์ โชว์) ที่ต้องสวมใส่ชุดหนัง และมีอาวุธอย่างแส้หนังคาดอยู่บนเอว ซึ่งทำให้เขาดูโดดเด่นขึ้น และช่วยสร้างความแตกต่างให้กับพระเอกในโลกตะวันออกได้เป็นอย่างดี
หลานถิง (หลินจื้อหลิง) เป็นคนที่อ่อนหวานและค่อนข้างซุ่มซ่าม เธอสวมเสื้อแจ็คเก็ตหนังสั้น ผสมผสานกับกระโปรงยาวที่เรื่ยติดพื้นทราย ที่มีสีสันสดใสโดยมีลวดลายดอกไม้ที่ช่วยดึงดูดความสนใจของผู้ชม โดยภาพลักษณ์ของตัวละครก็ถูกออกแบบให้เข้ากับบุคลิกของนักแสดง ตั้งแต่เครื่องประดับอย่างหน้ากากจนไปถึงที่รัดข้อมือหนัง
โดยเสื้อหนังที่นักแสดงสวมใส่นั้นมาจากดีไซน์เนอร์แบรนด์ดัง เพียงแต่ต้องอาศัยการจุ่มน้ำให้เปียกและถูมันไปกับพื้น เพื่อทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดูสมจริง โดยผ้าคลุมไหล่ขนาดใหญ่ของ เจย์ โชว์ ก็เกิดจากการเย็บติดกันของผ้าพันคอหลายผืน ซึ่งทำให้มันมีความยาวกว่า 200 เซนติเมตร โดยผ้าคลุมไหล่นี้จะมีบทบาทสำคัญ ในการทำให้ความเหินห่างของ เฉี่ยวเฟย และ หลานถิง ดูใกล้ชิดมากขึ้น
เอฟเฟ็คพิเศษ
The Treasure Hunter ใช้เอฟเฟ็คกว่า 230 ช็อตที่ถูกสร้างขึ้นโดยเฉพาะจาก ไทเป โมชั่น พิคเจอร์ และ คิโนโมทีฟ สตูดิโอ เช่น สีสันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเมฆและท้องฟ้า พายุทะเลทรายขนาดมหึมาที่ก่อตัวเป็นคลื่นบนท้องฟ้า และอัศวินม้าดำที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน โดยทั้งหมดเป็นแค่ตัวอย่างส่วนเดียว จากฉากเอฟเฟ็คที่ตระการตามากมาย The Treasure Hunter จะดึงดูดผู้ชมด้วยผลงานด้านภาพอันตื่นเต้น รวมถึงฉากสตันท์ที่น่าทึ่งไม่แพ้กัน
แนะนำตัวละคร
เฉี่ยวเฟย (เจย์ โชว์)
ด้วยความสามารถพิเศษที่สืบทอดมาจากต้นตระกูลของเขา ทำให้ เฉี่ยวเฟย สามารถถอดและประกอบชิ้นส่วนทุกอย่างบนโลกได้ในเพียงชั่วเสี้ยววินาที โดยเขาเคยเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้พิทักษ์หลุมศพจักรพรรดิที่เรียกตัวเองว่า "อินทรี" ซึ่งหลังจากออกจากตำแหน่งแล้ว เขาก็ท่องไปตามโลกแห่งทะเลทราย และรู้สึกตื่นเต้นไปกับทุกสิ่งที่เขาได้สัมผัส
หลานถิง (หลินจื้อหลิง)
เธอเป็นผู้หญิงวัย 25 ที่มีแรงจูงใจไปกับทุกสิ่งที่เธอหลงไหล เธอเป็นนักเขียนหนังสือที่รักอิสระ เธอมีรูปโฉมที่งดงามและดูเซ็กซี่ แต่ดูเหมือนว่าตัวเองจะไม่เคยสนใจกับสิ่งเหล่านั้นเลย ซึ่งยิ่งทำให้เธอมีเสน่ห์น่าดึงดูดต่อฝั่งตรงข้ามมากขึ้นไปอีก
หัวติงปาง (เฉินเต้าหมิง)
เขาถือเป็นตำนานในวงการนักโบราณคดี และเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในโศกนาฏกรรมจากการตามล่าสมบัติครั้งหนึ่งในอดีต การตัดสินใจเดินทางไปพร้อมกับ เฉี่ยวเฟย และ หลานถิง ทำให้เขาต้องกลับไปเผชิญหน้ากับความทรงจำอันเจ็บปวดของตัวเอง
ไผกู่ (เจิ้งจือเหว่ย)
คนที่โกรธตลอดเวลา และน่ากลัวแต่ก็เป็นคนที่มีจิตใจดี เขาไม่เคยหยุดในเมื่อเขาต้องการที่จะทำอะไร เขามีหัวจิตหัวใจในการนับถือเพื่อนเสมือนพี่น้องแท้ๆของตัวเอง เขาทำทุกอย่างเพื่อเงิน แต่ใจจริงแล้วคือความโหยหาในการออกไปผจญภัย
กระบี่สิบสาม (พู่เหมียว)
ถึงแม้ว่าเธอคือหัวหน้าของชนเผ่านักรบเร่ร่อนกลางทะเลทราย แต่เธอก็เป็นคนโรแมนติกและเชื่ออย่างเต็มที่ในเรื่องรักแท้ เธอออกตามหา อินทรีทะเลทราย ในทะเลทรายอันกว้างใหญ่ และลงเอยด้วยการประนีประนอม กับความขัดแย้งที่เธอมีกับกลุ่มอินทรี และ เฉี่ยวเฟย
อินทรีทะเลทราย (เฉินฉู่เหอ)
เขาคือหนึ่งในตำนานแห่งทะเลทรายอันกว้างใหญ่ และเป็นผู้ก่อตั้งชนเผ่านักรบเร่ร่อน เขาเดินทางท่องไปทุกหนทุกแห่งภายในทะเลทรายตลอดทั้งชีวิต และได้มอบความกล้าและความหวังให้กับผู้ที่ตามหาความฝันทุกคน
ทีมนักแสดง
เจย โชว์ (รับบทเป็น เฉี่ยวเฟย)
เจย์ โชว์ เกิดและโตในไต้หวัน ถูกเลี้ยงมาโดยแม่ซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ในโรงเรียนมัธยมในไต้หวัน ในวัยเด็ก เจย์ เป็นคนที่เรียนหนังสือไม่เก่ง แต่มีพรสวรรค์ในทางดนตรี เขาเริ่มเล่นเปียโน ตั้งแต่อายุ 3 ปี นอกจากนั้นยังเล่น กลอง, เชลโล่ และกีต้าร์ เขาเรียนเอกเปียโนที่ Dan Jiang Senior High School ในปี 1996 เจย์ ไม่เรียนต่อที่มหาวิทยาลัย แต่เลือกที่จะเป็นเด็กเสิร์ฟตามร้านอาหาร เขาเริ่มเข้าสู่วงการเพลง โดยโชว์ความสามารถเปียโนในรายการ Super New Talent King ผู้ผลิตรายการเห็นความสามารถของเขาจึงชักชวนเข้าสู่วงการ ในฐานะนักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์ ให้กับศิลปินดังๆอย่าง โคโค่ ลี, หลิวเต๋อหัว, กัวฟู่เฉิง, วิเวียน ซู, และ โจลิน
เขาเริ่มก้าวเข้ามาในเส้นทางการแสดงจากการรับบทนำใน Initial D ภาพยนตร์แข่งรถที่สร้างมาจากการ์ตูนชื่อดังของญี่ปุ่น จากนั้นได้ร่วมงานกับผู้กำกับชื่อก้อง จางอี้โหมว เรื่อง ศึกโค่นบัลลังก์วังทอง (Curse of the Golden Flower) ร่วมกับนักแสดงร่วมจอระดับตำนานอย่าง โจวเหวินฟะ และ กงลี่ โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ทุ่มทุนสร้างกว่า 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนจากจีน ให้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม
หลังจากนั้นเขาก็ได้ก้าวเข้าสู่หน้าที่ของการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ครั้งแรก ในหนังรักข้ามกาลเวลาอย่าง รักเรา กัลปาวสาน (Secrets) ซึ่งเขาก็ยังนำแสดงร่วมกับ เกย ลุน เม่ย นักแสดงสาวชื่อดังจากไต้หวัน โดยล่าสุดนี้ เจย์ โชว์ ก็เริ่มจะโกอินเตอร์เป็นครั้งแรก ในการเป็นหนึ่งในนักแสดงนำของภาพยนตร์ฮอลลิวู้ดเรื่อง The Green Hornet ร่วมจอกับ เซ็ธ โรเกน และ กวินเนธ พัลโธรว์ โดยเขารับบทเป็น คาโต้ ซึ่งเคยเป็นบทบาทที่นักแสดงในตำนานอย่าง บรูซ ลี เคยเล่นเอาไว้
หลินจื้อหลิง (รับบทเป็น หลานถิง)
หลินจื้อหลิง ถือเป็นสาวสวยที่ดังที่สุดคนหนึ่งของเกาะไต้หวัน เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ปีพ.ศ.2517 ที่กรุงไทเป ตอนที่อายุได้ 15 ปี เธอก็ได้เดินทางไปศึกษาต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนเอกชนชื่อดังในนครโตรอนโต ประเทศแคนาดา ก่อนคว้าปริญญาตรี 2 ใบจากคณะเศรษฐศาสตร์ และคณะประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก ที่มหาวิทยาลัยโตรอนโต
หลังจากนั้นเธอก็ได้เข้าสู่วงการนางแบบ และใช้เวลานานนับสิบปีในการสั่งสมชื่อเสียง จนในที่สุดได้กลายเป็นนางแบบแถวหน้าของวงการ และขึ้นแท่นสาวงามหมายเลข 1แห่งไต้หวัน อย่างไรก็ตามเธอก็หยุดงานทั้งหมด เพื่อโอกาสในการแสดงภาพยนตร์มหากาพย์ของ จอห์น วู เรื่อง Red Cliff ภาค 1 และ 2
หลินจื้อหลิง พยายามอย่างเต็มที่ และต้องไปเรียนการแสดงอย่างหนัก ในการมารับบทเป็น แม่นางเสี่ยวเกี้ยว ประกบคู่กับนักแสดงแถวหน้าของวงการภาพยนตร์เอเชียอย่าง เหลียงเฉาเหว่ย ที่รับเป็นจิวยี่ และ ทาเคชิ คาเนชิโร่ ที่รับบทเป็นขงเบ้ง ซึ่งกระแสตอบรับก็ออกมาอย่างดี และเปิดโอกาสให้เธอก้าวเข้ามาในเส้นทางการแสดงอย่างเต็มตัว
เฉินเต้าหมิง (รับบทเป็น หัวติงปาง)
ผลงาน >>> Hero, Infernal Affairs III, The Founding of a Republic
เจิ้งจือเหว่ย (รับบทเป็น ไผกู่)
ผลงาน >>> Infernal Affairs I, II & III, Turning Point, Lost Indulgence
เฉินฉู่เหอ (รับบทเป็น อินทรีทะเลทราย)
ผลงาน >>> Kung Fu Dunk
ทีมงานสร้าง
เควิน ชู (ผู้กำกับ)
เกิดปีค.ศ. 1950 สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทลัยซูโจวในสาขาภาษาต่างประเทศ โดยในขณะที่ยังเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง เขาได้รับโอกาสในการเป็นนักแสดงตัวประกอบในเรื่อง A Touch of Zen ที่กำกับโดยผู้กำกับในตำนานอย่าง คิงหู โดยเขาได้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Wrong First Step ในช่วงปีสอง ซึ่งได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก Asian Film Award และได้กำกับภาพยนตร์เรื่องแรกที่ชื่อ Clown ในขณะที่มีอายุ 30 ปี
เขาเล่าถึงจุดมุ่งหมายในการกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า "ผมหวังว่าตัวเองจะสร้างสิ่งที่เป็นมาตรฐาน ให้กับวงการภาพยนตร์ของประเทศไต้หวันผ่านทาง The Treasure Hunter นอกจากนั้นผมยังหวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้รับการตอบรับในแง่บวก และชนะใจคนดูทั่วโลก”
เฉินเสี่ยวตง (ผู้กำกับฉากต่อสู้)
ผลงาน >>> The Chinese Ghost Story, Kung Fu Dunk, The Warlords, House of Flying Daggers, Hero
เจ้าเสี่ยวติง (ผู้กำกับภาพ)
ผลงาน >>> Curse of the Golden Flower, House of Flying Daggers, Hero, Kung Fu Dunk
หยีชุงมาน (ผู้ออกแบบงานสร้าง)
ผลงาน >>> Curse of the Golden Flower, Perhaps Love, Kung Fu Dunk, Confucius