กรุงเทพฯ--27 พ.ย.--คต.
นายวิจักร วิเศษน้อย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) เปิดเผยว่า การเตรียมการเจรจาของคณะกรรมาธิการยุโรป ในการประชุมนานาชาติเรื่องภาวะโลกร้อน (Copenhagen Summit) ระหว่างวันที่ 7-8 ธันวาคม 2552 ณ กรุงโคเปนเฮเกน คณะมนตรียุโรปยังคงให้การสนับสนุนด้านการเงินระหว่างประเทศในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นและเรียกร้องให้ทุกประเทศให้การสนับสนุนการเงินประมาณ 22-50 พันล้าน ยูโร แก่ประเทศกำลังพัฒนาภายในปี 2563
ภายใต้ความตกลงได้ตั้งเพดานปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gas : GHG) ลงจากเป้าหมายอีกมาก ยกเว้นประเทศด้อยพัฒนาควรมีส่วนร่วมจ่ายวงเงินดังกล่าวด้วยตามสัดส่วนของปริมาณการปล่อย GHG และความสามารถในการจ่าย แม้ว่าขณะนี้ความคืบหน้าของท่าที EU ต่อการประชุมยังล่าช้ากว่าที่คาดหวังไว้ แต่ EU ยังคงหวังให้ผลการประชุมที่โคเปนเฮเกนจะเป็นกรอบความ ตกลงที่เข้มแข็งโดยครอบคลุม 1) ข้อผูกผันที่ผลักดันประเทศพัฒนาแล้ว รวมทั้งสหรัฐฯ ให้มีการลดปริมาณการปล่อย GHG ให้ต่ำกว่าเดิมที่ได้ตั้งไว้จากเดิมอย่างเร็วขึ้น 2) แนวการปฏิบัติลดการปล่อย GHG ของประเทศกำลังพัฒนา และ 3.) ข้อตกลงด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการลดการปล่อย GHG และปรับภาวะโลกร้อนให้ดีขึ้น
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ EU ยังมีท่าทีที่ชัดเจนในการผลักดันความตกลงโคเปนเฮเกนให้เป็นเครื่องมือผูกพันทางกฏหมายเพียงฉบับเดียวที่สานต่อการเจรจาในเรื่องนี้ ณ ปัจจุบันที่มีอยู่เพียงสองข้อตกลง ได้แก่ UN Framework Convention on Climate Change และ Kyoto Protocol รวมทั้งให้มีการให้สัตยาบันโดยรัฐบาลของประเทศที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ทันมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2556 เป็นต้นไป อย่างไรก็ดีในระหว่างวันที่ 16-17 พฤศจิกายน 2552 นี้ เดนมาร์กในฐานะประธานการประชุมที่โคเปนเฮเกนจะจัดประชุมอย่างไม่เป็นทางการในระดับรัฐมนตรีจากทั่วโลก ณ กรุงโคเปนเฮเกน เพื่อสรุปผลเตรียมการสำหรับการประชุมในเดือนธันวาคม 2552 ซึ่งสหรัฐฯ ก็จะจัดประชุม Major Economies Forum ร่วมกับ 17 ประเทศ ที่มีปริมาณการปล่อย GHG รวมกันแล้วประมาณร้อยละ 80 ของโลก แต่ขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดวันจัดประชุม