TUF ทุ่มทุนกว่า 154 ล้าน ขยายกำลังผลิตไปอินโดฯ รองรับตลาดปลาทูน่าที่เติบโตไม่หยุด

ข่าวทั่วไป Tuesday May 16, 2006 16:56 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--16 พ.ค.--ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์
TUF ขยายธุรกิจไปอินโดนีเซียรองรับการเจริญเติบโตของตลาดปลาทูน่าแช่แข็งและบรรจุกระป๋อง โดยหวังให้เป็นฐานการผลิตที่สำคัญเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและศักยภาพทางการแข่งขันในตลาดโลก
บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUF (Thai Union Frozen Products PCL.) ผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งและบรรจุกระป๋องรายใหญ่ของไทย ทุ่มทุนกว่า 154 ล้านบาท ลงทุนในบริษัท พีที จุยฟา อินเตอร์เนชั่นแนล ฟู้ดส์ จำกัด (PT Jui Fa International Foods Co.,Ltd.) ผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์ปลาทูน่า ชั้นนำของประเทศอินโดนีเซีย ที่มีปริมาณการส่งออกสูงถึง 1 ใน 3 ของปริมาณการส่งออกปลาทูน่าของอินโดนีเซีย โดย TUF จะเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ที่มีสัดส่วนการถือครองหุ้นสูงถึง 76.50% ทั้งนี้เพื่อเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและกระจายความเสี่ยงของฐานการผลิตปลาทู่น่าแช่แข็งและบรรจุกระป๋องของบริษัทฯ เนื่องจากอินโดนีเซียเป็นแหล่งวัตถุดิบที่ใหญ่และสำคัญ โดยเฉพาะการมีสายพันธุ์ปลาทูน่า Albacore ซึ่งอยู่ในน่านน้ำทะเลลึก ทำให้อินโดนีเชียมีข้อได้เปรียบทางด้านการผลิต
นายธีรพงศ์ จันศิริ (Mr. Thiraphong Chansiri, President of TUF) ประธานกรรมการบริหาร TUF เปิดเผยถึงการเข้าไปลงทุนในอินโดนีเซียครั้งนี้ว่า “เนื่องจากผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าแช่แข็งและบรรจุกระป๋องเป็นสินค้าสำคัญที่มียอดขายสูงเป็นอับดับหนึ่งของบริษัทฯ และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯ ต้องหาแหล่งวัตถุดิบและฐานการผลิตใหม่ๆ มารองรับการขยายตัวดังกล่าว ซึ่งประเทศอินโดนีเซียเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญในการผลิตปลาทูน่าแช่แข็งและบรรจุกระป๋องประเทศหนึ่ง ดังนั้นการที่เราไปลงทุนในบริษัท พีที จุยฟา อินเตอร์เนชั่นแนล ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่และมีอัตราการส่งออกสูงของประเทศอินโดนีเซีย จึงเป็นการเพิ่มศักยภาพในการผลิตและรองรับการเจริญเติบของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี และคาดว่าการเข้าไปลงทุนในครั้งนี้จะมีผลตอบแทนกลับมาต่อผลการดำเนินงานครั้งนี้ในอัตราที่น่าพอใจ”
นอกจากนี้ นายธีรพงศ์ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ประเทศอินโดนีเซีย มีศักยภาพทางด้านการประมงสูง และมีแหล่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะปลาทูน่าสายพันธุ์ Albacore ซึ่งอยู่ในน่านน้ำทะเลลึก เป็นสายพันธุ์ที่ดีไม่แพ้สายพันธุ์อื่น บริษัทฯ จึงเชื่อว่าการลงทุนดังกล่าวจะช่วยเพิ่มผลผลิตปลาทูน่าที่มีคุณภาพออกสู่ตลาดได้ทันกับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
ทั้งนี้ สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสแรกในปี 2549 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายเท่ากับ 13,720.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 16% จาก 11,865.8 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นรายได้จากการขายในรูปของเงินเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 14% จาก 307.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ในไตรมาสแรกปี 2548 เป็น 350.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2549 โดยรายได้ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มาจากการขายปลาทูน่าทั้งแช่แข็งและบรรจุกระป๋อง รองลงมาคือผลิตภัณฑ์จากกุ้ง และอาหารแมวบรรจุกระป๋อง บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 432.8 ล้านบาท แต่หากรวมกำไรก่อนหักรายจ่ายพิเศษที่เกี่ยวกับการลงทุนในอนาคต จำนวน 61.2 ล้านบาท จะทำให้บริษัทฯ มีกำไรอยู่ที่ 494.0 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้น 4.64% จากช่วงเดียวกันของปี 2548 ที่มีกำไร 472.1 ล้านบาท โดยมีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.56 บาท
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
โทร. (662) 298-0024, 298-0537 — 41 ต่อ 675-8
Website: www.thaiuniongroup.com

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ