TMB คาดการณ์เศรษฐกิจไทยจะเติบโตประมาณ 3.2% ในปี 2553 แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยง

ข่าวเศรษฐกิจ Monday November 30, 2009 08:26 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--30 พ.ย.--ธนาคารทหารไทย “TMB Research” ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจของ TMB คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2553 จะขยายตัวในระดับปานกลาง โดยคาดว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของทั้งปีจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3.2 เมื่อเทียบกับจีดีพีในปี 2552 ซึ่งอาจจะหดตัวประมาณร้อยละ 3 “TMB Research” มองว่า บทบาทและนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่สร้างความเชื่อมั่นในการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และการส่งออกจะเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวจากภาวะวิกฤติเต็มที่ ยังคงเป็นความเสี่ยงที่ต้องจับตาสี่ด้านสำคัญ ได้แก่ ภาวะที่เงินเฟ้อ ตลาดแรงงานยังตกต่ำในประเทศสหรัฐและยุโรป ความเสี่ยงจากการผ่อนปรนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนเวลาอันควร และ ธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศที่เริ่มเติบโตเร็วกว่าการลงทุนที่แท้จริง สำหรับเศรษฐกิจในประเทศ โครงการไทยเข้มแข็งซึ่งเป็นความหวังของรัฐบาลเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อไป หากพิจารณาถึงประสิทธิภาพของนโยบายการคลัง “TMB Research” ประเมินว่าตัวทวีคูณของการขาดดุลงบประมาณในระยะสั้น (impact multiplier) อยู่ที่ 0.43 หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ การขาดดุลงบประมาณ 100 บาท จะสามารถสร้างมูลค่าของผลผลิตของประเทศได้ 43 บาท โดยจุดคุ้มทุนของนโยบายการคลังผ่านการขาดดุลงบประมาณต้องใช้เวลาประมาณ 3-4 ปี ส่วนในระยะยาวตัวทวีคูณของการใช้งบประมาณขาดดุลมีแนวโน้มจะอยู่ที่ 1.2 ซึ่งหมายถึงการขาดดุลงบประมาณจะสามารถต่อยอดมูลค่าของผลผลิตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20 อีกประเด็นที่น่าจับตามองของโครงการไทยเข้มแข็ง คือ เรื่องของการก่อหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น โดยร้อยละ 74 ของแหล่งเงินทุนรวมของโครงการมาจากการกู้ของภาครัฐ จากการศึกษาของ “TMB Research” พบว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาดจะอ่อนไหวต่อการออกตราสารที่มีระยะยาวมากกว่าตราสารหนี้ระยะสั้น ในกรณีตราสารหนี้อายุ 3 ปี ที่ออกมาจำนวน 2,000 ล้านบาท จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย เพิ่มขึ้นประมาณ 4 basis points ขณะที่การออกตราสารอายุ 10 ปี ในจำนวนที่เท่ากันจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นประมาณ 12 basis points ดังนั้น “TMB Research” มองว่าการออกตราสารหนี้เพื่อสนับสนุนโครงการไทยเข้มแข็งควรจะมีการวางแผนอย่างรอบคอบ เนื่องจากปริมาณตราสารหนี้ที่มีขนาดใหญ่อาจสร้างแรงกดดันต่ออัตราดอกเบี้ยในทางบวก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ภาครัฐควรจะพิจารณาการออกตราสารหนี้ในระยะสั้นมากขึ้น (ต่ำกว่า 10 ปี) เนื่องจากการออกตราสารหนี้ระยะสั้นจะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดน้อยกว่าการออกตราสารหนี้ในระยะยาว ในด้านการส่งออกของไทย “TMB Research” มีมุมมองว่าตลาดแอฟริกาและอาเซียนมีความน่าสนใจ ถ้าพิจารณาจากส่วนแบ่งตลาดของสินค้าไทยและอัตราการเจริญเติบโตของตลาดคู่ค้า ในส่วนของตลาดจีน อินเดีย และบราซิล นั้นยังมีโอกาสของสินค้าส่งออกของไทยในการเติบโต เนื่องจากการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศตลาดเก่า หรือ G3 (ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และกลุ่มสหภาพยุโรป 15 ประเทศ) ลดลง โดยสัดส่วนการส่งออก ลดลงจากร้อยละ 49.4 ในปี 2543 เป็นร้อยละ 31.8 ในปี 2552 (10 เดือน) ในขณะที่การส่งออกไปยังกลุ่มตลาดประเทศอาเซียนและเอเชียตะวันออกยังเข้มแข็ง โดยกลุ่มอาเซียนยังคงเป็นตลาดส่งออกของไทยที่มีแนวโน้มดีในทุกสินค้า ในขณะที่ ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และปิโตรเคมี กลับขยายตัวได้ดีในตลาดเอเชียตะวันออก การส่งออกไปยังกลุ่มตลาดใหม่ ได้แก่ ออสเตรเลีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอินเดีย มีสัดส่วนส่งออกรวมกันเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 9.2 ในปี 2543 เป็นร้อยละ 18.5 ในปี 2552 ทั้งนี้ การส่งออกไปประเทศเหล่านี้มีอัตราการขยายตัวดี แต่ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดน้อยอยู่ ในปี 2553 “TMB Research” มองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะเผชิญกับความเสี่ยงจากสี่ปัจจัยหลัก ปัจจัยแรกมาจากภาวะที่เงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในปี 2553 จากฐานราคาที่ต่ำในปี 2552 ประกอบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในระดับ 75-85 ดอลลาร์ต่อบาเรล และสภาพคล่องส่วนเกินจากการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางทั่วโลก จะส่งผลกดดันให้ธนาคารกลางที่มีเป้าหมายรักษาอัตราเงินเฟ้อปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายก่อนที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างเข้มแข็งเพียงพอ ปัจจัยที่สองเกิดจากการปรับตัวในดุลยภาพของตลาดแรงงานกลุ่มประเทศตะวันตก ส่งผลให้อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นและค่าจ้างที่มีระดับต่ำลง ซึ่งทำให้การบริโภคภาคเอกชนจะยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว ปัจจัยที่สามคือความเสี่ยงจากการผ่อนปรนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนเวลาอันควรและไม่เป็นระบบระหว่างประเทศในกลุ่ม G20 ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เพื่อทดแทนการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ยังชะลอตัวจากอัตราการว่างงานที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงการตึงตัวของตลาดสินเชื่อ อย่างเช่นในสหรัฐฯ และอังกฤษ สำหรับปัจจัยสุดท้ายที่น่าจับตามองในขณะนี้คือธุรกรรม Carry Trade ในตลาดการเงินระหว่างประเทศ (การลงทุนเพื่อสร้างกำไรจากส่วนต่างในดอกเบี้ย จากการกู้ในเงินสกุลที่มีดอกเบี้ยต่ำ แล้วนำไปลงทุนในเงินสกุลที่มีดอกเบี้ยสูงกว่า) ซึ่งเป็นแรงผลักดันการเคลื่อนย้ายเงินทุนเพื่อเก็งกำไร ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้นในแถบเอเชียและละตินอเมริกา Carry Trade ในปัจจุบันเกิดขึ้นจากสภาพคล่องที่มีอยู่ล้นเหลือและโอกาสในการลงทุนที่น้อยในประเทศพัฒนาแล้ว เป็นตัวขับเคลื่อนเงินทุน กอปรกับที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้ในระดับต่ำ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ แต่ในทางกลับกันแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับตัวสูงขึ้นในประเทศต่างๆ จะส่งผลให้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยขยายกว้างมากขึ้น “TMB Research” มองว่า ในอนาคตอันใกล้ ช่วงเวลาของการทำ carry trade มีโอกาสจะขยายตัวต่อเนื่องมากขึ้น ซึ่งเป็นการเพาะสภาวะฟองสบู่ในอนาคตอีกทั้งปริมาณของธุรกรรมจะใหญ่ขึ้นกว่าแต่ก่อนตามขนาดของภาคการเงินในสหรัฐที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลกและสามารถดึงดูดนักลงทุนมาได้จากทั่วทุกมุมโลก ขณะเดียวกันนโยบายการเงินที่ต้องการรักษาอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำของสหรัฐฯ จะเร่งการเก็งกำไรให้มากขึ้น ประกอบกับการขึ้นดอกเบี้ยของเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ก็ยิ่งดึงดูดให้เกิดการทำ carry trade มากขึ้นตามไปด้วย ในขณะที่ผลกระทบจากการถอนการลงทุนกลับในทันทีจะส่งผลให้ราคาสินทรัพย์และอัตราแลกเปลี่ยนตกลงอย่างรุนแรง ตลาดการเงินจะเผชิญกับความผันผวนจากจำนวนเงินมหาศาลที่จะถูกเคลื่อนย้ายอีกครั้ง ซึ่งผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไรนั้นก็ยากที่จะคาดเดาได้ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2500 ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ และประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ตามที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลัง โดยความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ วาณิชธนกิจและธุรกิจอื่นๆ เช่น การเป็นตัวแทนจำหน่ายประกัน TMB มุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าประเภทต่างๆ ผ่านเครือข่ายสาขารวมทั้งสิ้น 487 สาขา สำนักงานแลกเปลี่ยนเงิน 102 แห่ง เครื่องเอทีเอ็มจำนวน 2,195 เครื่อง รวมทั้งให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ประเภทต่างๆ TMB เป็นธนาคารที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีสินทรัพย์รวม 550,534 ล้านบาท (ณ วันที่ 30 ก.ย. 52) นับเป็นธนาคารที่มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิเป็นอันดับหกในระบบธนาคารพาณิชย์ของไทย www.tmbbank.com สายงานสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร โทร. 02 299 1950, 1953/ 02 242 3260

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ