กรุงเทพฯ--30 พ.ย.--ตลท.
ตลาดหลักทรัพย์ฯ วาง 4 กลยุทธ์หลักปี 2553 สร้างความแข็งแกร่งตลาดหุ้นไทยรอบด้าน เน้นเพิ่มคุณภาพและปริมาณธุรกรรมเพื่อเป็นรากฐานสำคัญของตลาดทุนไทย และการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตในระยะยาว
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อนุมัติแผนงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยยังคงเดินหน้าตามกรอบกลยุทธ์ 5 ปี ทั้งนี้ ในปี 2553 ได้วาง 4 กลยุทธ์หลัก เพื่อให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่ 1) การเพิ่มคุณภาพและยกระดับความน่าเชื่อถือของตลาดหุ้นไทย 2) การเพิ่มสภาพคล่อง 3) การสร้างฐานสำหรับอนาคต และ 4) การเตรียมความพร้อมรับกระบวนการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นบริษัทมหาชน ในขณะเดียวกัน ยังดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาตลาดทุนไทยในระยะยาวต่อเนื่อง ผ่านสถาบันกองทุนเพื่อพัฒนาตลาดทุน (CMDF)
“ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งเป้าหมายที่จะยกระดับความน่าเชื่อถือของตลาดหุ้นไทย ทั้งด้านการกลั่นกรองบริษัทจดทะเบียนที่มีความโปร่งใสด้านการบริหารจัดการ และการเปิดเผยข้อมูล รวมทั้งมาตรการเชิงรุกในการกำกับดูแลการซื้อขาย และกำกับบริษัทจดทะเบียน โดยปรับปรุงมาตรการกำกับดูแลให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงานและเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ลงทุน
สำหรับเป้าหมายด้านปริมาณธุรกรรม ได้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) อีก 100,000 ล้านบาท จากบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ รวมทั้ง จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า 10 บาท (Gold Futures) ในไตรมาส 1 รวมทั้ง Interest Rate Futures (สัญญาซื้อขายล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ย) ในไตรมาส 4 และเพิ่ม Exchange Traded Funds (ETFs) ใหม่อีก 4 หลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุน และเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงให้แก่ผู้ลงทุน” นางภัทรียากล่าว “นอกจากนี้ จะเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นของผู้ลงทุนสถาบันในประเทศเป็นร้อยละ 12-15 (ณ มิ.ย. 2552 มีประมาณร้อยละ 9.85) ของมูลค่าตลาดรวม เพื่อเพิ่มเสถียรภาพตลาดทุนไทย และตั้งเป้าหมายมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ย 17,500—22,000 ล้านบาทต่อวัน และจำนวนสัญญา SET50 Index Futures ซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มเป็น 10,000-12,000 สัญญา”
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน กล่าวถึงกลยุทธ์การเพิ่มคุณภาพและยกระดับความน่าเชื่อถือของตลาดหุ้นไทย ว่า “จะเน้นการเพิ่มจำนวนบริษัทจดทะเบียนที่มีคุณภาพด้านการบริหารจัดการ ความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล และยึดมั่นในหลักบรรษัทภิบาล โดยผลักดันบริษัทขนาดใหญ่หรือบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียน พร้อมทั้งเดินหน้าเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบอาชีพด้านต่าง ๆ เช่น ผู้สอบบัญชี ที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อรองรับการเข้าจดทะเบียนในรูปแบบ Disclosure-based ในปี 2554 เพื่อสนับสนุนบริษัทขนาดกลางและเล็กที่มีศักยภาพในการเติบโตและต้องการระดมทุน รวมทั้ง แนวทางการเพิ่มความน่าสนใจของบริษัทขนาดกลางในสายตาผู้ลงทุน และมาตรการแก้ไขข้อกำหนดที่เป็นอุปสรรคในการระดมทุนของบริษัทจดทะเบียน”
นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการ สายงานการตลาดและงานบริการหลังการซื้อขายหลักทรัพย์ กล่าวถึงกลยุทธ์การเพิ่มสภาพคล่องว่า “นอกจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และเพิ่มสภาพคล่องให้ผลิตภัณฑ์เดิมแล้ว จะเน้นเพิ่มสภาพคล่องให้แก่หุ้นขนาดกลางที่มีผลประกอบการดีต่อเนื่อง รวมถึง การเพิ่มสัดส่วนผู้ลงทุนสถาบันในหุ้น และเน้นเพิ่มปริมาณธุรกรรมนักลงทุนสถาบันในตลาดอนุพันธ์ โดยพัฒนาช่องทางและปรับปรุงเกณฑ์ให้เอื้อต่อการเข้าถึงของผู้ลงทุนสถาบันมากขึ้น ตลอดจนการผลักดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้มีการวางหลักประกันเป็นเงินสกุลต่างประเทศได้ เพื่อลดต้นทุน ลดความเสี่ยงจากการผันผวนของค่าเงิน และเพิ่มความคล่องตัวแก่ผู้ลงทุนสถาบันต่างประเทศ”
ด้านนางนงราม วงษ์วานิช รองผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการและเทคโนโลยีสารสนเทศ กล่าวถึงกลยุทธ์การสร้างฐานสำหรับอนาคต ว่า “แผนหลักในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Master Plan) ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2552 นี้ จะเป็นการวางโครงสร้างเพื่อพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ให้สามารถรองรับธุรกรรมในอนาคตได้ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และสามารถเชื่อมโยงการซื้อขายระหว่างตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคและนอกภูมิภาคในอนาคตได้
สำหรับโครงการ ASEAN Linkage ในปี 2553 จะเป็นปีที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำงานร่วมกับตลาดหลักทรัพย์พันธมิตรอย่างเข้มข้นด้านการพัฒนาระบบให้รองรับการซื้อขายที่จะเกิดขึ้นในไตรมาสแรกของปี 2554 โดยตลาดหลักทรัพย์ไทยจะเป็นหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ของอาเซียนที่เริ่มเปิดการซื้อขายข้ามตลาดในโครงการ ASEAN Linkage กับตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคอีก 1 แห่ง ซึ่งจะถือเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกของภูมิภาคนี้”
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมุ่งยกระดับความร่วมมือในประเทศกลุ่มอินโดจีน ในการให้บริการร่วมกันหรือการจดทะเบียนสองตลาดแบบ Dual Listing รวมทั้งผลักดันเกณฑ์บริษัทต่างประเทศที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยเป็นตลาดแรก (Primary Listing) เพื่อมุ่งสู่การเป็น Gateway สู่อินโดจีน ตามกรอบกลยุทธ์ 5 ปี
ดร. วิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการ สายงานพัฒนาและวางแผนกลยุทธ์องค์กร กล่าวถึงการเตรียมการเพื่อการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 8 มาตรการของแผนพัฒนาตลาดทุนไทยว่า ในปี 2553 จะมีการดำเนินการให้มีการผ่านกฎหมายปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับบทบาทตลาดหลักทรัพย์ฯ และการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ แก่กลุ่มเป้าหมายและสาธารณชน นอกจากนี้ จะทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. เพื่อกำหนดบทบาทหน้าที่ระหว่างกัน และโครงสร้างการกำกับดูแลหลังการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์
นางภัทรียากล่าวต่อว่า “ขณะเดียวกัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำหน้าที่พัฒนาตลาดทุนในระยะยาวเพื่อส่งเสริมกลยุทธ์ทั้ง 4 เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งของตลาดทุน ผ่านการทำงานของสถาบันกองทุนเพื่อพัฒนาตลาดทุน (Capital Market Development Fund: CMDF) ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านการลงทุน การส่งเสริมบรรษัทภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน รวมถึง การศึกษาวิจัยด้านตลาดทุน และสร้างเครือข่ายระหว่างนักวิชาการและผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุน เพื่อการพัฒนาตลาดทุนโดยรวม”
นายชัยยุทธ์ ชำนาญเลิศกิจ รองกรรมการผู้อำนวยการ สถาบันกองทุนเพื่อพัฒนาตลาดทุน ศูนย์พัฒนาธุรกิจตลาดทุน กล่าวว่า “ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนนำหลักการบรรษัทภิบาลไปปฏิบัติจริง โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายบริษัทจดทะเบียนที่มีราคาหลักทรัพย์ต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชี รวมทั้งมุ่งส่งเสริมบริษัทขนาดกลางให้นำข้อกำหนดด้านนักลงทุนสัมพันธ์ขั้นต้นไปปฏิบัติเพื่อสร้างความเข้าใจแก่ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุน”
นายพันธ์ศักดิ์ เวชอนุรักษ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สถาบันกองทุนเพื่อพัฒนาตลาดทุน ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน กล่าวว่า “ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำงานร่วมกับธนาคารพาณิชย์และสมาคมนักวางแผนการเงินไทย เจาะกลุ่มผู้มีเงินออมเพื่อสร้างฐานผู้ลงทุนใหม่ โดยการให้ความรู้ด้านการลงทุนแก่ลูกค้าธนาคารพาณิชย์ ซึ่งปัจจุบันมีกลุ่มผู้ฝากเงินที่มีศักยภาพในการลงทุนประมาณ 1.7 ล้านบัญชี โดยดำเนินการผ่านโครงการ Wealth Manager @ Bank และโครงการ Wealth Customer @ Bank นอกจากนี้ จะจัดโครงการ Modern Marketing พัฒนาคุณภาพเจ้าหน้าที่การตลาด เพื่อให้สามารถให้คำแนะนำการลงทุนในตราสารทางการเงินอย่างครบวงจรแก่
ผู้ลงทุน พร้อมทั้งร่วมมือกับสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ ส่งเสริมให้บริษัทหลักทรัพย์พัฒนาเจ้าหน้าที่การตลาดทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณ”
“ปี 2553 นับเป็นปีแห่งการวางรากฐานสำคัญเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของตลาดทุนตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือการเปิดเสรีเพื่อการแข่งขันในอนาคต ดังนั้น การกำหนดแผนกลยุทธ์ตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2553 จึงมุ่งเน้นการดำเนินงานที่สอดคล้องและสนับสนุนแผนพัฒนาตลาดทุนไทย โดยพัฒนาทั้งการเพิ่มคุณภาพ และเพิ่มปริมาณธุรกรรม โดยให้ความสำคัญต่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้า ได้แก่ บริษัทจดทะเบียน ผู้ลงทุน และสถาบันตัวกลาง เพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพในการแข่งขันของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อความพร้อมในการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นบริษัทมหาชนในปี 2554 ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดทุนเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว” นางภัทรียากล่าวสรุป
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. S-E-T Call Center 0-2229-2222
สื่อมวลชนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายสื่อสารองค์กร ลดาวัลย์ กันทวงศ์ โทร. 0-2229—2036 / กนกวรรณ เข็มมาลัย โทร. 0-2229—2048 วรรษมน เสาวคนธ์เสถียร โทร. 0-2229-2797