ฟิทช์คงอันดับเครดิตบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ ‘A(tha)’ แนวโน้มมีเสถียรภาพ

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday December 1, 2009 07:52 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--1 ธ.ค.--ฟิทช์ เรทติ้งส์ บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST ที่ ‘A(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ และอันดับเครดิตระยะสั้นภายในประเทศที่ ‘F1(tha)’ อันดับเครดิตของ KEST สะท้อนถึงเครือข่ายธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ในประเทศของ KEST ที่แข็งแกร่ง รวมทั้งการสนับสนุนจากบริษัทแม่คือบริษัทกิมเอ็งโฮลดิ้งส์ จำกัด ในสิงคโปร์ (KEH) และสถานะเงินทุนและสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง KEST ยังคงดำเนินธุรกิจโดยใช้กลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยสัดส่วนการทำธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงและมีความผันผวนมีค่อนข้างน้อย ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถรักษาเสถียรภาพของผลการดำเนินงานได้ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพของ KEST มาจากความแข็งแกร่งทางการตลาดและสถานะเงินทุนและสภาพคล่องที่ยังคงแข็งแกร่งของบริษัท ความเสี่ยงต่อการปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดจากสภาพตลาดทุนที่อ่อนแอกว่าที่คาดไว้หรือจากการ ขยายธุรกิจส่วนใหญ่ไปในธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น ผลการดำเนินงานของ KEST อยู่ในระดับที่ค่อนข้างคงที่ แม้ว่าสภาวะตลาดในปี 2551 จะอ่อนแอ บริษัทมีกำไรสุทธิ 534.8 ล้านบาทในปี 2551 ค่อนข้างคงที่จากปีก่อนหน้าแม้ว่ารายได้จากธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์จะลดลงในไตรมาสที่ 4 ปี 2551 กำไรสุทธิในเก้าเดือนแรกของปี 2552 อยู่ที่ 520.3 ล้านบาทปรับตัวเพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อน เนื่องจากรายได้จากธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์เพิ่มสูงขึ้นจากการฟื้นตัวของตลาดหลักทรัพย์ ROAA ต่อปี เพิ่มขึ้นเป็น 10.5% ในเก้าเดือนแรกของปี 2552 จาก 8.8% ในปี 2551 ในขณะที่ ROAE ต่อปี ก็มีการปรับตัวสูงขึ้นเป็น 16.2% จาก 12.8% รายได้จากธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ยังคงเป็นสัดส่วนใหญ่ของโครงสร้างรายได้ โดยมีสัดส่วน 91% ของรายได้ทั้งหมดในเก้าเดือนแรกของปี 2552 (87% ในปี 2551) ฟิทช์เชื่อว่าการเปิดเสรีค่านายหน้าธุรกิจค้าหลักทรัพย์ในปี 2553 อาจมีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของ KEST ในระดับหนึ่ง KEST มีการปล่อยสินเชื่อเพื่อการซื้อหลักทรัพย์มากกว่าคู่แข่งเนื่องจากบริษัทมีฐานลูกค้ารายย่อยมากกว่า ซึ่งลูกค้าในกลุ่มนี้เป็นผู้กู้หลักของสินเชื่อเพื่อการซื้อหลักทรัพย์ สินเชื่อเพื่อการซื้อหลักทรัพย์อยู่ที่ 2.1 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2552 หรือ 49% ของส่วนของผู้ถือหุ้น อย่างไรก็ตามความเสี่ยงทางด้านเครดิตยังคงอยู่ในระดับที่ไม่สูง เนื่องจากความเสี่ยงได้ถูกลดทอนลงโดยการเรียกหลักทรัพย์เพิ่มและการบังคับขายหลักทรัพย์ สินเชื่อด้อยคุณภาพซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ยังอยู่ในระดับคงที่ที่ 292 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2552 หรือ 5% ของสินเชื่อรวม ซึ่งสินเชื่อด้อยคุณภาพในส่วนนี้ได้มีการตั้งสำรองครบถ้วนแล้ว ส่วนความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของตลาดยังคงอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจาก KEST ไม่มีการลงทุนในหลักทรัพย์เพื่อตัวบริษัทเอง อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทมีแผนที่จะออก derivative warrants ในปีหน้าอาจทำให้มีความเสี่ยงที่สูงขึ้น เงินทุนในการประกอบธุรกิจของ KEST มาจากส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นหลัก โดยส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2552 อยู่ที่ 4.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 4.2 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2551 จากการสะสมของกำไร ส่วนของผู้ถือหุ้นของ KEST มีคุณภาพสูงประกอบไปด้วยส่วนทุนเป็นส่วนใหญ่ อัตราส่วนเงินกองทุน (NCR) ได้ปรับตัวลดลงอย่างมาก เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อธุรกิจหลักทรัพย์ในปี 2552 แต่อัตราส่วนดังกล่าวยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าระดับขั้นต่ำที่กำหนดไว้ที่ 7% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2552 NCR ของบริษัทอยู่ที่ 147% เทียบกับ 376% ณ สิ้นปี 2551 อัตราส่วนส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์ลดลงมาอยู่ที่ 55.5% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2552 เทียบกับ 78.9% ณ สิ้นปี 2551 เนื่องจากยอดลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เพิ่มขึ้น จากปริมาณธุรกิจที่สูงในช่วงก่อนการปิดบัญชี ณ สิ้นไตรมาส แต่ทั้งนี้ระดับอัตราส่วนดังกล่าวยังจัดว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง KEST เป็นบริษัทลูกของ KEH ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ KEST มีเครือข่ายธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ที่แข็งแกร่ง โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 10.5% ใน 10 เดือนแรกของปี 2552 ซึ่งสูงสุดในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ไทย บริษัทให้บริการอื่นรวมถึงการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ การรับประกันการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ การให้บริการที่ปรึกษาธุรกิจ และการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ KEH ปัจจุบันถือหุ้นเป็นสัดส่วน 55.9% ใน KEST ติดต่อ นฤมล ชาญชนะวิวัฒน์, Vincent Milton, กรุงเทพฯ +662 655 4763/4759 หมายเหตุ : การจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) ใช้วัดความน่าเชื่อถือของบริษัทในประเทศที่อันดับเครดิตของประเทศนั้นอยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตระดับเพื่อการลงทุน หรือมีอันดับเครดิตอยู่ในระดับต่ำแม้จะอยู่ในระดับเพื่อการลงทุน อันดับเครดิตของบริษัทที่ดีที่สุดของประเทศจะอยู่ที่ระดับ “AAA” และการจัดอันดับเครดิตอื่นในประเทศ จะเป็นการเปรียบเทียบความเสี่ยงกับบริษัทที่ดีที่สุดนี้เท่านั้น อันดับเครดิตภายในประเทศนั้นถูกออกแบบมาเพื่อนักลงทุนภายในประเทศในแต่ละประเทศนั้นๆ และมีสัญลักษณ์ที่กำหนดไว้ต่อท้ายจากอันดับเครดิตสำหรับแต่ละประเทศ เช่น “AAA(tha)” ในกรณีของประเทศไทย อันดับเครดิตภายในประเทศนั้นไม่สามารถนำไปใช้เปรียบเทียบระหว่างประเทศได้ ข้อมูลเพิ่มเติมหาได้ที่ www.fitchratings.com การใช้อันดับเครดิตที่จัดทำโดยฟิทช์เรทติ้งส์มีข้อจำกัดและขอบเขตการใช้ ซึ่งข้อจำกัดและขอบเขตของการใช้อันดับเครดิตดังกล่าวสามารถหาได้จาก HTTP://FITCHRATINGS.COM/UNDERSTANDINGCREDITRATINGS นอกจากนี้คำจำกัดความของอันดับเครดิตและการใช้อันดับเครดิตของ ฟิทช์ เรทติ้งส์ สามารถหาได้จาก www.fitchratings.com อันดับเครดิตที่ประกาศ หลักเกณฑ์และวิธีการจัดอันดับเครดิต ได้แสดงไว้ในเว็บไซต์ดังกล่าวตลอดเวลา หลักจรรยาบรรณ การรักษาข้อมูลภายใน ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น แนวทางการเปิดเผยข้อมูลระหว่างบริษัทในเครือ กฎข้อบังคับรวมทั้งนโยบายและกระบวนการที่เกี่ยวข้องอื่นๆของฟิทช์ ได้แสดงไว้ในส่วน ‘หลักจรรยาบรรณ’ ในเว็บไซต์ดังกล่าวเช่นกัน ผู้ออกตราสารไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการจัดอันดับเครดิต นอกเหนือจากการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะของบริษัทเท่านั้น

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ