เฮดจ์ฟันด์'ทุบทองร่วงผล็อย!

ข่าวเศรษฐกิจ Friday December 11, 2009 11:59 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--11 ธ.ค.--เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ ราคาทองคำผันผวนหนักหลังเฮดจ์ฟันด์แห่ขายทิ้งเผยมีทั้งได้กำไรและขาดทุนเหตุต้องคืนเงินกู้คาดก่อนเทศกาลคริสต์มาสดิ่งแรงส่วนลงลึกถึง1,000ดอลลาร์หรือไม่ให้จับตาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผู้ค้าทองเผยเป็นโอกาสซื้อ เตือนลงทุนในในโกลด์ฟิวเจอร์ส ข้ามวันอาจเจ็บตัว จับตากองทุนเก็งกำไรโยกเงินเข้าน้ำมัน ล่าสุดพบแหล่งแร่ทองคำ 700 ตัน ในพื้นที่ 31 จังหวัด สถานการณ์ราคาทองคำโลกเข้าสู่ช่วงปรับฐาน หลังวิ่งขึ้นทำสถิติสูงสุด หรือนิวไฮ เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2552 ที่ผ่านมา ที่ระดับ 1,218 ดอลลาร์ต่อออนช์ และปรับลงมาที่ 1,162 ดอลลาร์เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม หรือลดลง 56.25 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เช่นเดียวกับราคาขายทองคำในประเทศ ปรับลงมาอยู่ที่บาทละ 18,300 บาท ลดลงบาทละ 850 บาท จากระดับสูงสุด 19,150 บาท เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ส่วนการซื้อขายในตลาดทองคำล่วงหน้าหรือโกลด์ฟิวเจอร์ส ปิดที่ลดลง 690 บาทมาอยู่ที่ 18,400 บาท นายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า ราคาทองคำในช่วงนี้มีความผันผวน เนื่องจากกองทุนเก็งกำไร(เฮดจ์ฟันด์)มีการเทขายทองคำออกมาเป็นระยะ ทำให้ราคาทองคำในตลาดโลกปรับฐาน และมีผลทำให้ราคาขายทองคำในประเทศปรับลดลงด้วย นอกจากนี้ยังต้องติดตามการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในตลาดโลกในช่วงก่อนเทศกาลคริสต์มาสอีกครั้ง โดยคาดว่าระหว่างวันที่ 15-20 ธันวาคมนี้ นักลงทุนและกองทุนเก็งกำไร คงจะเทขายทองคำออกมาอีก เพราะจะไปฉลองเทศกาลคริสต์มาส ทำให้คาดว่าราคาทองคำจะปรับฐานอีกครั้ง" นายพิชญา กล่าวว่า หากราคาทองคำผ่านแนวรับที่ 1,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ลงมา ก็มีโอกาสลงมาถึง 1,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สำหรับนักลงทุนที่จะเข้ามาซื้อทองคำ ควรที่จะรอเข้าลงทุนในช่วงก่อนเทศกาลคริสต์มาส นายธนรัชต์ พสวงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ฟิวเจอร์ จำกัด กล่าวว่า หากราคาทองคำปิดไม่พ้น 1,175 ดอลลาร์ ก็มีโอกาสที่จะเป็นสัญญาณขาลงได้ ทั้งนี้เป็นผลจากสัญญาณการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้นักลงทุน โดยเฉพาะเฮดจ์ฟันด์ ที่ปิดสถานะเพื่อทำกำไรออกมา ดังนั้นในช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่นักลงทุนจะต้องจับตาปัจจัยใหม่ๆที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นในปีนี้ที่ราคาทองคำปรับขึ้นมาสูงที่ระดับ 1,100-1,200 ดอลลาร์ ส่วนหนึ่งมาจากแรงเก็งกำไรด้วยทำให้มีโอกาสที่อาจจะถูกขายออกในปีหน้าเพื่อหันไปลงทุนในสินค้าอื่นๆอาทิ น้ำมันที่ราคาระดับกว่า 70 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งยังปรับขึ้นไม่มากจากปีก่อนที่ขึ้นไป 140 ดอลลาร์ และมีความเป็นไปได้สูงหากทองคำในปีนี้ปรับลงไปที่ระดับ 1,130 ดอลลาร์ ก็ยังมีโอกาสสูงที่จะปรับลงไปที่ระดับ 1,070 ดอลลาร์ต่อออนซ์ต่อไป แต่จะหลุด 1,000 ดอลลาร์ หรือไม่ยังประเมินยาก เพราะยังไม่มีความชัดเจนจากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกานั่นเอง สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดทองคำล่วงหน้า (โกลด์ฟิวเจอร์ส) แนะนำให้ลงทุนแบบซื้อขายรายวันมากกว่า คือให้เคลื่อนไหวการลงทุนระหว่างเปิดสถานะซื้อ (Long)หากเห็นสัญญาณทองลงมาที่ระดับ 1,150 ดอลลาร์ และหากราคาทองคำปรับขึ้นไปที่ระดับ 1,170 ดอลลาร์ แนะนำให้เปิดสถานะขาย(Short) เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อหาจังหวะทำกำไรระยะสั้นๆ นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานกรรมการ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า สาเหตุหนึ่งที่ราคาทองคำปรับตัวลงเป็นเพราะเฮดจ์ฟันด์ขนาดใหญ่เริ่มปิดสถานะไม่ว่าจะอยู่ในสถานะซื้อ(Long) และสถานะขาย(Short) โดยไม่สนใจว่าจะมีกำไรหรือขาดทุน แต่จะเริ่มปิดสถานะเพื่อนำเงินมาคืนนักลงทุน และเพื่อใช้หนี้คืนในช่วงก่อนหน้าที่ได้ทำแครี่เทรดสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ หรือการนำเงินไปคืนหลังจากที่กู้มาด้วยต้นทุนที่ถูก ในช่วงปลายปี 2551 และในช่วงวันหยุดยาวอย่างเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ เป็นต้น ส่วนการโยกเงินลงทุนจากทองคำเพื่อไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น หลังสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาฟื้นตัวนั้น ยังไม่เห็นชัดเจนนัก ดังนั้นบริษัทจึงเชื่อว่าราคาทองคำที่ปรับลงแม้จะมีโอกาสปรับลงไปอีกถึงระดับ 1,030-1,050 ดอลลาร์ ในช่วงปลายปีนี้ก็ตาม แต่ในปี 2553 มองว่าราคาทองคำยังมีโอกาสปรับขึ้นได้อีกจนถึงครึ่งปีแรกของปีเดียวกัน ดังนั้นในปีหน้าบริษัทจึงยังไม่เปลี่ยนมุมมองคือ คาดว่าราคาทองคำมีโอกาสปรับขึ้นไปได้ถึง 1,300-1,500 ดอลลาร์ นายยูเคียงคิว นักลงทุนจากบริษัท ยูจีน อินเวสต์เมนต์ แอนด์ ฟิวเจอร์สฯ กล่าวว่า ปัจจัยที่ฉุดให้ราคาทองคำปรับลดลงมาจากที่เคยทำนิวไฮอย่างต่อเนื่องนั้น มาจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อตอบสนองต่อเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น หลังจากที่กระทรวงแรงงานสหรัฐฯเปิดเผยตัวเลขว่างงานที่ปรับลงมาในช่วงเดือนพฤศจิกายน ทั้งนี้การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น ทำให้นักลงทุนลดระดับความต้องการถือครองทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่มีความปลอดภัยสูง ในช่วงเวลาที่สกุลเงินหลักอ่อนค่า ด้านนายบ็อบ คาไท จากซูมิโตโม คอร์ป แนะนำว่านักลงทุนควรรอการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯต่อไปอีกระยะหนึ่ง พร้อมกล่าวว่าการที่ราคาทองคำปรับตัวลงในรอบนี้ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่น่าตื่นตระหนก และยังคาดการณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า ราคาทองคำอาจปรับขึ้นไปได้ถึง 1,300 ดอลลาร์ในปี 2553 ท่ามกลางราคาทองคำที่ปรับตัวลง เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม กรมทรัพยากรธรณีรายงานว่าได้สำรวจพบแหล่งขุมทองในไทยมากถึง 76 แห่ง โดยนายอดิศักดิ์ ทองไข่มุกต์ อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า เนื่องจากสถานการณ์ราคาทองคำของโลกได้ขยับตัวสูงขึ้นตลอดเวลา ที่ผ่านมากรมทรัพยากรธรณี ได้มีการสำรวจและศักยภาพการพัฒนาแหล่งแร่ทองคำในประเทศไทยไว้ โดยล่าสุดพบมีแหล่งแร่ทองคำในประเทศรวม 76 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 31 จังหวัด มีปริมาณแร่ทองคำประมาณ 700 ตัน และหากสกัดเป็นทองคำบริสุทธิ์แล้ว คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ 9 แสนล้านบาท โดยมีการสะสมตัวแบบทุติยภูมิ อีกหลายพื้นที่ เฉพาะแหล่งลำปาง - ตาก มีแร่ทองคำประมาณ 24 ตัน ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าแหล่งศักยภาพสูงส่วนใหญ่พบในพื้นที่ตอนบนของภาคกลาง ตามแนวเทือกเขาหินแกรนิตทางตะวันออก และขอบด้านตะวันตกของแห่งที่ราบสูงโคราช สำหรับพื้นที่แหล่งแร่ทองคำที่มีความสมบูรณ์ของเนื้อทองคำเฉลี่ย ตั้งแต่ 1-2 และ 5-10 กรัมต่อตันมี 4-5 แห่งที่มีศักยภาพในอนาคต ได้แก่ ห้วยคำอ่อน บริเวณรอยต่อ จ.ลำปาง-แพร่ ดอยตุง บริเวณเชิงเขาทางฝั่ง อ.แม่จัน เขาช่องกาย อ.น้ำโสม จ.อุดรธานี รอยต่อ อ.เมือง จ.ตาก - อ.ด่านลานหอย จ.สุโขทัย บ้านบ่อทอง จ.ชลบุรี และบางแห่งเริ่มมีชาวบ้านในพื้นที่เข้าไปขุดหาสินแร่ทองคำ จนเริ่มมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมีการใช้สารไซยาไนต์ และปรอททำให้ปนเปื้อนในแหล่งน้ำและสุขภาพของผู้ร่อนทองเอง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ