กรุงเทพฯ--22 ธ.ค.--ลีสซิ่งกสิกรไทย
ลีสซิ่งกสิกรไทยพร้อมก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ในปีที่ห้าด้วยการเติบโตทางธุรกิจถึง 12% ตั้งเป้าปี 2553 ขยายยอดสินเชื่อเช่าซื้อ/ลีสซิ่งรถยนต์และสินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์มูลค่ารวมเป็นกว่า 33,900 ล้านบาท พร้อมวางแผนการดำเนินธุรกิจอย่างแข็งแกร่งด้วยตัวเอง ภายใต้การทำงานแบบเครือธนาคารกสิกรไทย เพื่อตอบโจทย์บริการการเงินแบบครบวงจรให้แก่ลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจ
นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า แม้ว่าทิศทางตลาดรถยนต์ในประเทศปี 2552 โดยรวมจะหดตัวลง โดยยอดขายรถยนต์ทั่วประเทศลดลงจากปี 2551 ประมาณ 13% แต่จากผลการดำเนินงานของบริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทยในปี 2552 สำหรับ 11 เดือนที่ผ่านมา ในภาพรวมยังมีความเติบโต ซึ่งเป็นผลจากการใช้กลยุทธ์ในการบริหารและปรับปรุงกระบวนการให้บริการสินเชื่อเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง รวมทั้งมีการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับบริษัทผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ซึ่งเป็นคู่ค้าทางธุรกิจอย่างเนื่อง ทำให้บริษัท ฯ มียอดปล่อยสินเชื่อรวมที่ 27,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2551 ถึง.12.60% โดยในจำนวนนี้เป็นยอดสินเชื่อเช่าซื้อและลีสซิ่ง (Hire Purchase Fleet) จำนวน 20,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 24% และสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 13%
ส่วนยอดสินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ (Floorplan) ของลีสซิ่งกสิกรไทย ในปี 2552 อยู่ที่ 7,100 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 11.88 % และต่ำกว่าเป้าหมาย 23 % ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่มีการชะลอตัว และสอดคล้องกับภาพรวมของตลาดรถยนต์ในประเทศที่มีการหดตัวลงดังกล่าว
สำหรับยอดสินเชื่อคงค้างในระบบ (Outstanding Loan) ณ ปัจจุบัน มีมูลค่ากว่า 42,300 ล้านบาท โดยเป็นสินเชื่อที่ไม่เกิดให้ก่อรายได้ (NPL) อยู่ที่เพียง 1.60% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ส่วนผลกำไรสุทธิมีมูลค่าสูงกว่า 200 ล้านบาท และมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถทำกำไรได้ไม่น้อยกว่า 238 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้
สำหรับปี 2553 ลีสซิ่งกสิกรไทยตั้งเป้าหมายมียอดสินเชื่อรวมมูลค่ากว่า 33,900 ล้านบาท หรือเติบโตจากปี 2552 ประมาณ 12% โดยเป็นการขยายตัวจากการให้สินเชื่อเช่าซื้อและลีสซิ่ง ผ่านผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์กสิกรไทย (K-Auto Finance) สินเชื่อรถยนต์เพื่อเงินสดกสิกรไทย (K-CAR to CASH) สินเชื่อสัญญาเช่าทางการเงินกสิกรไทย (K-Financial Lease) คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 25,180 ล้านบาท และการเพิ่มยอดสินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถ ผ่านบริการสินเชื่อเพื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ (K-Dealer Floorplan) เป็น 8,780 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าหมายสินเชื่อคงค้างในระบบเพิ่มขึ้น 21 % หรือมีมูลค่ารวมราว 52,000ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทลีสซิ่งกสิกรไทย พร้อมที่จะก้าวสู่ปีที่ห้าอย่างแข็งแกร็งด้วยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจด้วยตนเองโดยการให้บริการแบบครบวงจร ภายใต้การทำงานแบบเครือธนาคารกสิกรไทย โดยที่ผ่านมาตลอด 4 ปี บริษัทฯมีอัตราการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 10% ต่อปี ทั้งนี้ยังมีแผนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ร่วมกับธนาคารกสิกรไทยผ่านการ Bundling, Cross Selling และ Up Selling เพื่อให้บริการทางการเงินที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มมากที่สุด และสร้างความเชื่อมั่นและพึงพอใจในบริการผ่านผลิตภัณฑ์อันหลากหลายแก่ลูกค้า นอกจากนี้ ในปีนี้บริษัทยังมีโครงการเปิดศูนย์บริการธุรกิจเพิ่มเติมอีก 2 แห่ง คือที่ จ. นครราชสีมา และ จ. อุดรธานีเพื่อครอบคลุมความต้องการของลูกค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากปัจจุบันที่มีศูนย์บริการธุรกิจ 15 แห่ง แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 5 แห่งและต่างจังหวัดอีก 10 แห่ง
นอกจากบริการทางการเงินแล้ว บริษัท ฯ ยังให้ความสำคัญในการให้องค์ความรู้ (Non-Financial Service) เพื่อให้ลูกค้าได้รับข้อมูลข่าวสารและความรู้อย่างครบวงจรเกี่ยวกับรถยนต์ผ่านเว็บไซต์ K Auto Smiles Club ภายใต้ปรัญชาในการดำเนินธุรกิจ K NOW เพื่อตอบสนองกับไลฟสไตล์ของลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ เนื่องจากช่องทางการสื่อสารดังกล่าวมีความรวดเร็วกว่าช่องทางอื่นโดยข้อมูลข่าวสารต่างๆสามารถถูกแนะนำหรือส่งต่อให้บุคคลอื่นได้อย่างรวดเร็วและไม่จำกัดตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นเชื่อได้ว่าลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีและสร้างความประทับใจในบริการผ่านช่องทางสื่อสารดังกล่าวของบริษัทอย่างแน่นอน
นายอิสระ กล่าวทิ้งท้ายว่า บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย ยังคงให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลางในการดำเนินธุรกิจโดยตั้งใจเป็นบริษัทที่ให้บริการเช่าซื้อรถยนต์ชั้นนำที่เน้นพัฒนาคุณลักษณะที่มีคุณค่าและมอบสิทธิประโยชน์อันสูงสุดทางด้านบริการการเงินแบบครบวงจรต่อลูกค้า ผ่านการปรับแผนการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศไทยในปี 2553 ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะมียอดขายรถยนต์ภายในประเทศจะขยายตัว 7 — 11 % จากปี 2552 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศจะเริ่มมีทิศทางดีขึ้นซึ่งคาดว่าจะทำให้ความเชื่อมั่นและกำลังของผู้บริโภคกลับฟื้นคืนขึ้นมาภายในปีหน้า ซึ่งจะสร้างโอกาสในการดำเนินธุรกิจของลิสซิ่งกสิกรไทยได้อย่างมั่นคงและมีประสิทธิภาพอย่างแน่นอนอีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศอีกด้วย