กรุงเทพฯ--28 มี.ค.--บางกอก พับบลิค รีเลชั่นส์
- พร้อมเข้าสู่ธุรกิจดูแลรูปลักษณ์สุภาพบุรุษหลังควบรวมกับยิลเลตต์
- เตรียมเดินหน้าทำตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ซักและถนอมผ้าหลังซื้อแบรนด์แฟ้บจากคอลเกต-ปาล์มโอลีฟ
- มูลค่าส่งออกทะลุ 10,000 ล้านบาท
- ธุรกิจเติบโตเกือบ 20%
บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล ประเทศไทย (หรือพีแอนด์จี ประเทศไทย) ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำ แถลงวันนี้ถึงแผนการการควบรวมกิจการกับบริษัท ยิลเลตต์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่จะมีขึ้นในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้
นางสาวปริญดา หัศฎางค์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีแอนด์จี ประเทศไทย กล่าวว่า “พีแอนด์จีได้ต่อยอดพันธสัญญาที่มีต่อประเทศไทยขึ้นอีกระดับ และเราคาดว่าขนาดธุรกิจของพีแอนด์จี ในประเทศไทยจะขยายตัวขึ้นอย่างมากในอีก 2-3 ปีข้างหน้านี้”
“พีแอนด์จี ประเทศไทย ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับแบรนด์หลักด้านผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม และผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนบุคคลสำหรับสตรี เช่น แพนทีน โปร-วี, รีจอยส์, เฮดแอนด์โชว์เดอร์ และโอเลย์ การควบรวมธุรกิจกับยิลเลตต์ซึ่งมีความแข็งแกร่งด้านผลิตภัณฑ์ดูแลรูปลักษณ์สำหรับบุรุษ จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ ความเชี่ยวชาญพิเศษ และทรัพยากรต่างๆ ระหว่างทั้งสองบริษัทในสายธุรกิจที่เอื้อประโยชน์ต่อกัน ซึ่งจะช่วยเสริมความสามารถ ในการแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเสริมสร้างโอกาสในการแนะนำนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สู่ตลาดให้มีมากขึ้น” นางสาวปริญดากล่าว
นางสาวปริญดาเปิดเผยว่า สองกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสเติบโตอย่างมากคือ “กลุ่มผลิตภัณฑ์ใบและด้ามมีดโกนหนวด ซึ่งยิลเลตต์มีความแข็งแกร่งครองอันดับหนึ่งในตลาดอยู่แล้ว รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์อนามัยในช่องปากภายใต้แบรนด์ออรัล-บี”
ยอดขายพีแอนด์จี ประเทศไทย เพิ่มขึ้นในอัตราเกือบ 20% ในปีที่ผ่านมา ขณะที่ยอดขายของยิลเลตต์ ประเทศไทย เพิ่มขึ้นประมาณ 7%
นางสาวปริญดากล่าวว่า ในปี 2548 พีแอนด์จี ประเทศไทย มีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมเพิ่มขึ้นเป็น 31% จาก 28.8% ในปีก่อน ส่วนแบ่งตลาดของแต่ละแบรนด์ ได้แก่ แพนทีน, รีจอยส์, เฮดแอนด์โชว์เดอร์ และแคล์รอล ก็ล้วนเติบโตขึ้นด้วย
ด้านผลิตภัณฑ์ถนอมผิว นางสาวปริญดากล่าวว่า โอเลย์ยังคงครองความเป็นผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์มอยส์เจอร์ไรเซอร์ถนอมผิวหน้า ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยและผลิตภัณฑ์ เพื่อผิวขาว
“โอเลย์ โททัล เอฟเฟ็คส์ ครองความเป็นผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยที่ขายดีที่สุดของประเทศ เป็นเวลาติดต่อกันมากว่า 5 ปี และมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 11.5% เป็น 13.7% โดยผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยโอเลย์ รีเจนเนอรีส ที่ใช้วิทยาการฟื้นฟูเซลล์ผิวด้วยอะมิโน เพ็พไทด์ มีส่วนแบ่ง-ตลาดเพิ่มขึ้นจาก 0.7% เป็น 2.3%” นางสาวปริญดากล่าว
นางสาวปริญดากล่าวว่า แม้ในสภาวะที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น พีแอนด์จี ประเทศไทยก็ไม่ได้ปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์ และเสริมว่า “ราคาจำหน่ายของแพนทีน, รีจอยส์, เฮดแอนด์โชว์เดอร์ และโอเลย์ ณ วันนี้ยังคงคงเดิม ไม่ได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนแต่อย่างใด” นางสาวปริญดาเสริมว่า กลยุทธ์ของพีแอนด์จี ก็คือ “ลดภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยกระจายต้นทุนคงที่ในกรอบธุรกิจที่กว้างขึ้น”
นางสาวปริญดากล่าวว่า ธุรกิจส่งออกของพีแอนด์จี ประเทศไทยก็มีการเติบโตขึ้นเช่นกัน “ในปี 2548 บริษัทพีแอนด์จีในต่างประเทศได้สั่งซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและผลิตภัณฑ์ถนอมผิวที่ผลิตในเมืองไทยคิดเป็นมูลค่าสูงกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงสถานะของ พีแอนด์จี ประเทศไทย ในฐานะผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์เพื่อความงามรายใหญ่ที่สุดของประเทศ นอกจากนี้ ฐานการผลิตของพีแอนด์จีในประเทศไทยยังเป็นฐานการผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์เพื่อความงามรายใหญ่ที่สุดของภูมิภาคเอเชียอีกด้วย เราส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังกว่า 20 ประเทศ และช่วยเสริมสร้างประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม”
นางสาวปริญดากล่าวว่า ในเดือนธันวาคม ปี 2548 พีแอนด์จี ได้ซื้อตราผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม ผลิตภัณฑ์ซักและถนอมผ้าจากคอลเกต-ปาล์มโอลีฟ เช่น แฟ้บ และเพค ในประเทศไทยและอีกหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย
นางสาวปริญดากล่าวว่าขณะนี้บริษัท “กำลังอยู่ระหว่างการวางกลยุทธ์สำหรับธุรกิจใหม่ดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ต่างๆ ดังกล่าว โดยใช้ศักยภาพอันโดดเด่นระดับโลกของพีแอนด์จีทางด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) และเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ”
นอกจากนี้ พีแอนด์จีเตรียมลงทุนเพิ่มอีก 600 ล้านบาทในปีนี้ในหลายๆ กิจกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบการดำเนินงาน ระบบการขาย รวมถึงฐานการผลิตเพื่อส่งออกของบริษัท
นางสาวปริญดากล่าวว่า บริษัทได้ซื้อคอมพิวเตอร์พกพาจำนวน 200 เครื่องให้กับทีมฝ่ายขาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบการกระจายสินค้าและระบบการขายของพีแอนด์จีให้เป็น “หนึ่งในบริษัทที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดในประเทศไทย”
นางสาวปริญดากล่าวว่า “นอกเหนือจากการลงทุนเพิ่มเติมและการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ แล้ว กลยุทธ์สำคัญในการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงในประเทศไทยของพีแอนด์จีก็คือ การดึงดูดผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุดมาสู่องค์กรของเรา โดยดิฉันเองได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการสรรค์สร้างบรรยากาศในการทำงานที่เอื้ออำนวยให้บุคลากรคนหนุ่มสาวที่เปี่ยมด้วยพลังที่สร้างสรรค์มีโอกาสแสดงความสามารถได้อย่างเต็มศักยภาพและสนุกกับการทำงาน โดยปราศจากการเมืองในที่ทำงาน มีลำดับขั้นตอนในการตัดสินใจที่ไม่มากนัก และมีระบบการให้ผลตอบแทนที่สอดคล้องโดยตรงกับผลงานของบุคลากรแต่ละคนอย่างแท้จริง”
นางสาวปริญดาเสริมว่า จำนวนผู้สมัครงานกับพีแอนด์จีที่ผ่านการคัดเลือกเบื้องต้นได้เพิ่มขึ้น สามเท่าในปีที่ผ่านมา ทำให้พีแอนด์จี ประเทศไทยมีจำนวนผู้สมัครที่มีความสามารถให้คัดเลือกเข้าร่วมงานมากขึ้น ซึ่งบริษัทจะเปิดรับตำแหน่งงานใหม่ๆ ในแต่ละปีประมาณ 20-25 อัตรา
ผลการสำรวจ “บริษัทที่น่าชื่นชมที่สุดในโลก” (Most Admired Company) ประจำปี โดยนิตยสารฟอร์จูน ที่เผยแพร่ในเดือนมีนาคม 2549 นี้ ปรากฎว่าพีแอนด์จีได้รับการโหวตให้เป็นบริษัท ที่น่าชื่นชมสูงสุดรวมสองสาขา (ได้แก่ “การบริหารที่มีคุณภาพ” และ “การมีบุคลากรที่เปี่ยม-ความสามารถ”) และได้รับการชื่นชมสูงสุดในอันดับสองรวมสามสาขา (ได้แก่ “คุณภาพผลิตภัณฑ์และการให้บริการ”, “นวัตกรรมโดดเด่น” และ “การเป็นบริษัทระดับโลก”) ทั้งนี้ พีแอนด์จีนับเป็นบริษัทที่มีชื่อปรากฎบ่อยครั้งที่สุดในด้านการได้รับความชื่นชมสูงสุด จากทั้งหมด 9 สาขาที่ได้มีการสำรวจ
กลุ่มผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคในประเทศไทยคาดว่าจะเติบโตขึ้น 5% ในปี 2549
ตราผลิตภัณฑ์เพื่อความงามของพีแอนด์จีที่จำหน่ายในประเทศไทย ได้แก่ แพนทีน โปร-วี, รีจอยส์, เฮดแอนด์โชว์เดอร์, แคล์รอล และโอเลย์
พีแอนด์จีเข้ามาดำเนินกิจการในประเทศไทยในปี 2530 ปัจจุบันมีพนักงานประมาณ 900 คน ประจำที่สำนักงานกรุงเทพฯ, ที่ฐานการผลิตในนิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ และที่ศูนย์กระจายสินค้าประจำภูมิภาค
ทั่วโลก พีแอนด์จีวางจำหน่ายสินค้ารวมกว่า 300 แบรนด์ และมีพนักงานประมาณ 140,000 คน ใน 80 ประเทศ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
บริษัท บางกอก พับบลิค รีเลชั่นส์ จำกัด
ปานตา พูนทรัพย์มณี (ต่อ 116) หรือ ชัชฎาภา วิจิตรานนท์ (ต่อ 111)
โทรศัพท์ (02) 664-9500 โทรสาร (02) 664-9515
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net