กรุงเทพฯ--23 ธ.ค.--ซี.วี.เอส.ซินดิเคท
หลังจากที่ บริษัท ซี.วี.เอส.ซินดิเคท จำกัด เจาะตลาด ซูเปอร์พรีเมี่ยม อิมพอร์ต “ฟิจิ วอเตอร์” (FIJI Water) น้ำแร่เทรนด์ฮอตระดับโลก ส่งตรงจากประเทศฟิจิแหล่งระบบนิเวศที่สมบูรณ์ที่สุดของโลก เข้ามา ยังประเทศไทย เมื่อต้นปี 2552 นั้นปรากฏว่า สามารถแซงหน้าแบรนด์น้ำแร่จากอิตาลี ซึ่งครองอันดับ 2 มาอย่างยาวนานในตลาดน้ำแร่นำเข้าโดยเป็นรองแชมป์น้ำแร่จากฝรั่งเศสเท่านั้นส่งผลให้เตรียมพร้อมขยายช่องทางการตลาดในปี 2553 พร้อมคาดหวังส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น 20 % จากมูลค่าตลาดรวม น้ำแร่ นำเข้า เพื่อสุขภาพที่สูงกว่า 300 ล้านบาท
นายปรีชา ชินรุจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.วี.เอส.ซินดิเคท จำกัด กล่าวว่า ถึงแม้ว่าตลาด โดยรวมจะมีการหดตัวเพราะปัญหาเศรษฐกิจ แต่ “ฟิจิ วอเตอร์” (FIJI Water) ยังสามารถแซงหน้าแบรนด์ ต่างๆ โดยเฉพาะน้ำแร่จากประเทศอิตาลี ที่อยู่อันดับ 2 รองจากฝรั่งเศสมาได้ ซึ่งส่งผลให้คู่แข่งมีการตื่นตัว ลุกขึ้นมาทำการตลาดกันมากขึ้น ซึ่งตลอดปี 2552 “ฟิจิ วอเตอร์” (FIJI Water) ได้บุกตลาดให้ครอบคลุม กลุ่มเป้าหมายระดับ A+ อาทิ โรงแรม 5 ดาวในกรุงเทพและ โรงแรม 5 ดาวในจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว อาทิ ภูเก็ต, เชียงใหม่, สมุย, หัวหิน, พัทยา รวมทั้งร้านอาหารหรู ซูเปอร์มาเก็ตชั้นนำ โรงภาพยนตร์ รวมไปถึงบริการ “ฟิจิ วอเตอร์ โฮม ดีลิเวอรี่” (FIJI Water Home Delivery) จัดส่งน้ำดื่มฟิจิถึงหน้าประตูบ้าน ซึ่งยอดจัดจำหน่าย เป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก
“โดยในปี 2553 “ฟิจิ วอเตอร์” (FIJI Water) ได้เตรียมพร้อมรุกตลาดเพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย มากยิ่งขึ้น รวมทั้งเพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ โดยการเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายให้มากขึ้น, ร่วมกิจกรรมและงานปาร์ตี้ของลูกค้าระดับ A ถึง A+ , จัดโปรโมชั่นร่วมกับพันธมิตร อาทิ Major Cineplex, True Coffee เพิ่มช่องทางการซื้อให้สะดวกมากยิ่งขึ้นด้วยระบบออนไลน์ , จัดโปรโมชั่นแนะนำสินค้า, รวมทั้งทำ CSR จัดหาน้ำดื่มสะอาดให้กับชุมชนที่ขาดแคลน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของ ฟิจิ วอเตอร์ทั่วโลก
“และด้วยจุดแข็งของ “ฟิจิ วอเตอร์” (FIJI Water) ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ โดยเฉพาะแร่ธาตุซิลิกา (Silica) ที่มีส่วนช่วยสร้างความแข็งแรงให้กระดูกและเล็บ ช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผมให้มีสุขภาพดีทำให้เรายิ่งมั่นใจว่า “ฟิจิ วอเตอร์” (FIJI Water) จะสามารถมีส่วนแบ่งการตลาด 20 % จากมูลค่าตลาดรวมน้ำแร่ นำเข้าที่สูงกว่า 300 ล้านบาทในปีหน้า” นายปรีชา กล่าวทิ้งท้าย