กรุงเทพฯ--23 ธ.ค.--สหมงคลฟิล์ม
“ความใฝ่ฝันของผมนั่นเหรอ
ผมไม่ใฝ่ฝันที่จะเป็นเพียงเรือจ้าง ที่เขาเปรียบครูไว้เช่นนี้หรอก
ลองคิดดูซิว่า ขณะที่เรากำลังแจวเรือ
แล้วมีคนอื่นอีกมาก ใกล้จะจมน้ำตาย
แล้วเราจะไม่จอดแวะรับเขาขึ้นมาด้วยกันกับเราเหรอ
เราจะเอาเพียงเด็กนักเรียนขึ้นฝั่งเท่านั้น?
เท่านี้เหรอ สำหรับเกียรติของครู”
กำหนดฉาย 14 มกราคม 2553
แนวภาพยนตร์ ดราม่า-คอเมดี้
ผู้จัดจำหน่าย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
บริษัทดำเนินงานสร้าง บริษัท ครกไม้ไทยลาวม่วนซื่นโฮแซว จำกัด
อำนวยการสร้าง สุรสีห์ ผาธรรม, วิชัย รอดถนอม
ที่ปรึกษา ปรัชญา ปิ่นแก้ว, พันนา ฤทธิไกร
ควบคุมงานสร้าง ชาติ ผาธรรม
ดำเนินงานสร้าง ลลนา ผาธรรม
กำกับภาพยนตร์ สุรสีห์ ผาธรรม
เรื่อง สุรสีห์ ผาธรรม
บทภาพยนตร์ สุรสีห์ ผาธรรม, กฤตวิทย์, สุชาติ ผาธรรม
กำกับภาพ พิพัฒน์ พยัคฆะ
ลำดับภาพ สหรัฐ ฉิมพินิจ
กำกับศิลป์ ธีรชาติ เล็กสิงโต
ออกแบบเครื่องแต่งกาย ชวลิต ผ่องแผ้ว
ผู้ช่วยผู้กำกับ ประพันธ์ เวียงสมุทร
ฟิล์มแล็บ บริษัท สยามพัฒนาฟิล์ม จำกัด
ดนตรีประกอบและออกแบบเสียง สุชาติ ผาธรรม, Mike Wilfrid
บันทึกเสียง ห้องบันทึกเสียงรามอินทรา, ชาย คงศิลวัต
นำแสดงโดย พิเชษฐ์ กองการ, ฟ้อนฟ้า ผาธรรม, เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา,
พันนา ฤทธิไกร, อสงไขย ผาธรรม, คำปานี วงทองคำ,
ทศพล เฉยชัยภูมิ, ฎีกา ผาธรรม, ด.ช. ศุภชัย ผลรัสมี, ด.ช. คมเดช สีมา
เรื่องย่อ
เรื่องเล่าที่ไม่มีวันตาย ของครูผู้มีอุดมการณ์และความปรารถนาจะเป็นยิ่งกว่า “ครู”
เรื่องราวของความทรงจำอันยากจะลืมเลือนของครูบ้านนอกเกิดขึ้นเมื่อ “พิเชษฐ์” (พิเชษฐ์ กองการ) สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยครูพระนคร พิเชษฐ์เลือกมาบรรจุเป็นครูที่โรงเรียนบ้านหนองฮีใหญ่ ซึ่งอยู่ในชนบทอันห่างไกลที่มีแต่ความทุรกันดาร โดยมี “ครูใหญ่ชาลี” (หม่ำ จ๊กมก) เป็นครูสอนนักเรียนเพียงลำพังของโรงเรียน ต่อมาได้มีครูมาสมทบเพิ่มอีก 2 คนคือ “ครูสมชาติ” (อสงไขย ผาธรรม) ที่จำใจมาเป็นครูเพราะหางานทำในเมืองไม่ได้ และ “ครูแสงดาว” (ฟ้อนฟ้า ผาธรรม) ที่มาเป็นครูอยู่ที่หนองฮีใหญ่เพื่อรอจังหวะโยกย้ายเข้าไปเป็นครูในตัวเมือง
ตลอดระยะเวลาที่มาเป็นครูอยู่ที่หมู่บ้านหนองฮีใหญ่ ครูพิเชษฐ์ได้อุทิศทั้งกายและใจในการพัฒนาการเรียนการสอน และชีวิตความเป็นอยู่ของเด็กนักเรียน ทุกคน จนกลายเป็นที่รักของเด็กนักเรียน คุณครู และผู้คนในหมู่บ้าน อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้ครูในโรงเรียนบ้านหนองฮีใหญ่ ทั้งครูใหญ่ชาลี, ครูสมชาติ และครูแสงดาว ได้รู้ซึ้งถึงเกียรติยศของคำว่า “ครู” แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อครูพิเชษฐ์ได้เข้าไปเปิดโปงขบวนการผิดกฎหมายของผู้มีอิทธิพลในท้องที่ จนถูกมือปืนตามล่า เป็นเหตุให้ครูพิเชษฐ์ต้องพักการสอนและหนีออกจากหมู่บ้านไปซ่อนตัวซักระยะ แต่ด้วยวิญญาณความเป็นครู ทำให้ครูพิเชษฐ์หวนกลับมาสอนหนังสือเด็กที่โรงเรียนอีกครั้ง จนเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ที่ทุกคนแห่งบ้านหนองฮีใหญ่จะจดจำไปอีกตราบนานเท่านาน
คาแร็คเตอร์นักแสดง
1. ครูพิเชษฐ์ รับบทโดย พิเชษฐ์ กองการ
ครูพิเชษฐ์ มีบุคลิกสุภาพ อ่อนน้อม อ่อนโยน มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเป็นครูที่ดี เป็นครูผู้มีอุดมการณ์สูงส่ง มีจิตใจกล้าหาญ กล้าเสียสละ กล้าอุทิศตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่อยากจะเห็นสังคมที่ดีงาม
สำหรับ “พิเชษฐ์ กองการ” เด็กหนุ่มจากกาฬสินธุ์ ถูกคัดเลือกจากการเปิดรับสมัครพระเอกหนังเรื่อง “ครูบ้านนอก” ซึ่งทางผู้กำกับและทีมงาน เห็นแววแล้วว่าน่าจะเป็นคนที่เหมาะสมในบทบาทของ “ครูพิเชษฐ์” มากที่สุดด้วยคุณลักษณะ บุคลิก รูปร่างหน้าตาที่หล่อเข้มสไตล์พระเอกไทย ไม่แพ้ “ปิยะ ตระกูลราษฎร์” พระเอกคนเก่า ซึ่งพอเริ่มแสดงไปได้ไม่เท่าไร ก็เริ่มฉายแววของนักแสดงดาวรุ่งให้ทั้งทีมงานและผู้กำกับเป็นที่ประจักษ์ จนผู้กำกับเชื่อว่า เด็กหนุ่มคนนี้จะก้าวขึ้นมาเป็นดาวประดับวงการหนังไทยในอนาคตได้อย่างแน่นอน
2. ครูแสงดาว รับบทโดย ฟ้อนฟ้า ผาธรรม
ครูแสงดาว มีบุคลิกสุภาพ อ่อนหวาน รักนวลสงวนตน สมกับเป็นกุลสตรี เธอมีความตั้งใจที่จะมาเป็นครูบ้านนอกชั่วคราว เพราะเธอรักที่จะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองตามความเคยชิน
นางเอกสาวในเรื่องที่มารับบทต่อจาก “วาสนา สิทธิเวช” ในเวอร์ชั่นนี้ก็ได้แก่ “ฟ้อนฟ้า ผาธรรม” หรือ “ป๊อป” ซึ่งก็เคยมีผลงานผ่านหูผ่านตามาบ้างแล้ว โดยเคยเล่นหนังเรื่อง “ข้างหลังภาพ” ของ “เชิด ทรงศรี” โดยรับบทเป็นหลานของคุณหญิงกีรติ อีกทั้งยังเคยแสดงมิวสิควิดีโอให้กับ “วงลาบานูน” ในเพลง “ปฏิทิน” รวมถึงผลงานโฆษณาและถ่ายนิตยสารต่างๆ มาแล้วอย่างมากมาย อีกทั้งยังมีความสามารถทางด้านนาฏศิลป์ รวมถึงความสามารถในการเล่นดนตรีทางภาคอีสาน ด้วยหน้าตา และความสามารถที่มีอยู่ สุรสีห์ ผาธรรม จึงจับมารับบท “ครูแสงดาว” นางเอกของเรื่อง “ครูบ้านนอก : บ้านหนองฮีใหญ่” เรื่องนี้
3. ครูใหญ่ชาลี รับบทโดย หม่ำ จ๊กมก
ครูใหญ่ชาลี มีบุคลิกน่านับถือ มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นกันเองกับทุกๆ คน มีนิสัยรักสนุก ถึงไหนถึงกัน
ถือว่าเป็นดาราสุดฮ็อตประจำปีเลยทีเดียว สำหรับตลกซูเปอร์สตาร์ “หม่ำ จ๊กมก” หลังจากในปีนี้เพิ่งสร้างเสียงหัวเราะให้กับคอหนัง ไปกับภาพยนตร์รักไฮโซ “วงษ์คำเหลา” และหนังรักภาคต่อสุดฮาระดับรากหญ้า “แหยมยโสธร 2” ก็ต่อด้วยบทบาทของครูใหญ่แห่งโรงเรียนบ้านหนองฮีใหญ่ ทันที โดยบทนี้ในเวอร์ชั่นที่แล้วเป็นของ “นพดล ดวงพร” ศิลปินตลกอาวุโส ที่เคยสร้างเสียงหัวเราะให้คอหนังได้ฮาขากรรไกรค้างมาแล้ว เมื่อ 31 ปีก่อน ซึ่งหม่ำ จ๊กม๊ก ก็คือคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะสืบทอดตำนานเสียงหัวเราะในครั้งนี้
4. ครูสมชาติ รับบทโดย อสงไขย ผาธรรม
ครูหนุ่มวัย 20 ปี รูปร่างสันทัด ผิวพรรณสำอาง มีบุคลิกร่าเริง สนุกสนาน ไม่ค่อยเอาการเอางาน ที่ได้มาเป็นครูบ้านนอกก็เพราะหางานทำในเมืองไม่ได้ เลยลองสอบบรรจุครู แล้วบังเอิญสอบติด จึงต้องจำใจมาเป็นครูสอนหนังสือที่นี่
“อสงไขย ผาธรรม” มีชื่อเล่นว่า “แคน” นักแสดงหนุ่มจากจังหวัดอุบลราชธานี เคยมีผลงานเพลง “ดวงจำปา” ของค่ายเพลงแกรมมี่โกลด์ นอกจากนั้นยังเคยแสดง “ภาพยนตร์ก้อม” อีกด้วย อสงไขย ผาธรรมเป็นลูกชายของผู้กำกับสุรสีห์ ผาธรรม จากการที่เคยร่วมทำหนังก้อมมาด้วยกันจนผู้กำกับเห็นแววการแสดง จึงให้มารับบทของ ครูสมชาติ เพื่อนสนิทของครูพิเชษฐ์ ด้วยคาแร็คเตอร์ที่ขี้เล่น สนุกสนาน ดูเจ้าชู้นิดๆ คาแร็คเตอร์ของครูสมชาติจึงกลายเป็นสีสันชั้นดีตัวหนึ่งของหนังเรื่องนี้
5. ลำดวน รับบทโดย คำปาณี วงทองคำ
สาวชาวบ้านวัย 16 ปี รูปร่างหน้าตาสวยงาม โดดเด่นที่สุดในหมู่บ้านหนองฮีใหญ่ลำดวนมีบุคลิกสุภาพ นุ่มนวล พูดน้อย ขยันขันแข็งต่อการงาน มีบุคลิกที่เป็นตัวแทนของสาวอีสานที่ขยันอดทน ซื่อสัตย์ จริงใจ
คำปาณี วงทองคำ มีชื่อเล่นว่า ปา เป็นนักแสดงเพียงคนเดียวที่มาจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีความสามารถทางด้านนาฏศิลป์ตามแบบแผนของประเทศลาวทุกแขนง อีกทั้งยังเป็นตัวแทนของประเทศไปเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และ ฝรั่งเศส
อีกทั้งยังเป็นนักร้องเพลงดาวน์โหลดเสียงรอสายอันดับหนึ่งของประเทศลาว และแสดงมิวสิควิดีโอให้กับหลายศิลปินจากประเทศลาว ด้วยความสามารถและประสบการณ์ต่างๆ จึงถูกผู้กำกับ สุรสีห์ ผาธรรม ชวนมาเล่นหนังเรื่องครูบ้านนอก บ้านหนองฮีใหญ่ ซึ่งก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่ปฏิเสธไม่ได้อย่างแน่นอน
6.จารย์พัน รับบทโดย พันนา ฤทธิไกร
ชาวบ้านวัยกลางคน รูปร่างสันทัด แข็งแกร่ง เป็นคนที่มีความคิดก้าวหน้าทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม จนชาวบ้านทั้งหลายตามไม่ทัน และขนานนามให้ว่า “จารย์พันผีบ้า” เขาจึงหนีออกจากหมู่บ้านไปปลูกเรือนอยู่นอกหมู่บ้าน เพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับผู้คน
สำหรับพันนา ฤทธิไกร ก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการภาพยนตร์มาอย่างยาวนาน เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงโด่งดังจากการทำหนังแอ็คชั่น โดยเฉพาะการออกแบบคิวบู๊ที่ดูสมจริง จนถูกขนานนามว่าปรมาจารย์ทางด้านคิวบู๊ และสำหรับภาพยนตร์เรื่อง “ครูบ้านนอก บ้านหนองฮีใหญ่” พันนา ฤทธิไกร ยังนั่งแท่นที่ปรึกษาภาพยนตร์คู่กับ ปรัชญา ปิ่นแก้ว รวมถึงร่วมแสดงในบทของ จารย์พัน ปราชญ์เดินดิน ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งคาแร็คเตอร์ ที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนแน่นอน
ย้อนรอยความทรงจำระดับตำนานของหนังไทยน้ำดี “ครูบ้านนอก”
เมื่อสมัย 31 ปีที่แล้ว ความสำเร็จของต้นฉบับภาพยนตร์เรื่อง “ครูบ้านนอก” ต้องเรียกได้ว่าสร้างปรากฏการณ์ถล่มทลายทั้งคำวิจารณ์และรายได้กันเลยทีเดียว ซึ่งเชื่อว่าคอหนังทุกคนคงต้องมีประสบการณ์ชมภาพยนตร์เรื่องนี้มาแล้วแทบทั้งนั้น ด้วยการเสนอมุมมองเนื้อหาที่แปลกใหม่ และเข้าถึงแก่นแท้ของชีวิตครูชนบทได้อย่างถึงที่สุด จึงได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนจากสมาพันธ์ผู้สร้างภาพยนตร์ของประเทศไทย ไปประกวดหนังที่ประเทศรัสเซีย และสามารถพิชิตได้ถึง 2 รางวัลคือ ผู้กำกับยอดเยี่ยม และ รางวัลภาพยนตร์สร้างสรรค์เยาวชนดีเด่น ซึ่งก็ถือเป็นความภาคภูมิใจของหนังไทยในสมัยนั้นเลยทีเดียว
“ผมว่าเหตุผลที่ ‘ครูบ้านนอก’ ในสมัยนั้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง น่าจะเพราะว่าเป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนชีวิตของคนชนบทอีสานออกมาได้อย่างชัดเจน และตรงไปตรงมาที่สุด ซึ่งหนังก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ค่อยสร้างแนวนี้กันเท่าไร ถึงมีก็เป็นประเภทฉาบฉวยยังไม่ค่อยลงลึกไปถึงรายละเอียดแบบจริงๆ แต่ภาพยนตร์เรื่อง ‘ครูบ้านนอก’ มันเป็นหนังที่ลงไปยังชนบทจริงๆ คือสามารถเจาะลึกตีแผ่ชีวิตครูชนบทได้อย่างที่สุด และตัวหนังเองก็มีความสนุกสนาน แต่ในขณะเดียวกัน ความประทับใจก็ยังมีความเป็นดราม่าสูงมาก แล้วที่สำคัญมันเป็นเรื่องราวอุดมการณ์ของครู ซึ่งเมื่อก่อนยังไม่ค่อยมีใครนำเสนอเท่าไหร่ แล้วมันเข้าถึงชนบทจริงๆ คนเขาได้ดูเขาก็เอาไปพูดกันปากต่อปาก พอได้ดูแล้วก็มีความคิดที่อยากจะไปเป็นครูจริงๆ บ้าง คือถ้าคนดูมีความคิดแบบเดียวกับหนัง ก็ถือเป็นความภาคภูมิใจสำหรับคนทำหนังอย่างผมแล้วครับ”
ไม่เว้นแม้กระทั่งตลกซูเปอร์สตาร์อย่าง “หม่ำ จ๊กมก” ที่ยังคงจำความประทับใจของครูบ้านนอกในสมัยเมื่อ 31 ปีที่แล้วไว้ได้อย่างไม่เคยลืม พร้อมกับรำลึกถึงความทรงจำที่มีต่อภาพยนตร์เรื่อง “ครูบ้านนอก” ในอดีตให้ฟังว่า
“ผมยังจำได้ว่าตอนที่ผมได้ดูครูบ้านนอกตอนนั้นผมยังเป็นเด็กอายุ ประมาณ 11-12 ขวบเอง แต่รู้เลยว่า ครูบ้านนอกในอดีตถือเป็นหนังที่สุดยอดมากเลยในยุคนั้น เป็นหนังที่ดังแบบถล่มทลายเลยในสมัยก่อน อาจารย์สุรสีห์ ผาธรรมแกนำเสนอเรื่องราวของครูผู้มีอุดมการณ์และมีจิตวิญญาณของความเป็นครูจริงๆ ซึ่งถือว่าเป็นหนังที่แปลกใหม่มากในยุคนั้น เพราะไม่มีใครที่กล้าทำหนังเกี่ยวกับครูเท่าไร เพราะมันเสี่ยงมีแต่ทำหนังรักกุ๊กกิ๊ก แล้วผู้กำกับอย่างอาจารย์สุรสีห์ ก็ถือว่าเป็นผู้กำกับคนอีสานที่สุดยอดมากที่สุดในยุคนั้น นอกจากทำหนังเรื่องครูบ้านนอกได้รางวัลแล้ว ด้านรายได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีเลยทีเดียว”
กลับมาสร้างความประทับใจอีกครั้งในเวอร์ชั่น “ครูบ้านนอก : บ้านหนองฮีใหญ่”
หลังจากภาพยนตร์เรื่องครูบ้านนอกออกฉายเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2521 ซึ่งถ้านับจากปีที่หนังเข้าฉายจนถึงวันนี้ก็กินเวลาร่วม 31 ปีแล้วที่สร้างความประทับใจให้กับคอหนังตลอดมา พร้อมกับทำให้บรรดาคอหนังได้รู้จักชื่อของ “ปิยะ ตระกูลราษฎร์” และ “วาสนา สิทธิเวช” ดาวดวงใหม่ที่แจ้งเกิดขึ้นมาประดับวงการหนังไทยโดยทันที พร้อมกับ “สุรสีห์ ผาธรรม” ผู้สร้างเรื่องราวที่น่าจดจำของหมู่บ้านหนองหมาว้อ ให้กลายเป็นอีกหนึ่งตำนานระดับคลาสสิกของวงการภาพยนตร์ไทย ซึ่งจากความสำเร็จดังกล่าว ทางผู้กำกับคนเดิม ได้นำเรื่องราวความประทับใจของครูบ้านนอกกลับมารีเมกใหม่ในเวอร์ชั่น “ครูบ้านนอก : บ้านหนองฮีใหญ่” ซึ่งผู้กำกับรุ่นใหญ่ “สุรสีห์ ผาธรรม” ก็ได้กลับมานั่งเก้าอี้ผู้กำกับเพื่อสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง
โดยครั้งนี้ยังได้สองที่ปรึกษาชั้นนำอย่าง “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” และ “พันนา ฤทธิไกร” คอยให้คำแนะนำ รวมถึง “สุชาติ ผาธรรม” มาควบคุมงานสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่ง พันนา ฤทธิไกร ก็ได้กล่าวถึงที่มาที่ไปในโปรเจ็กต์นี้ว่า
“ในสมัยเด็กๆ ตอนที่หนังออกฉาย ผมดูเรื่องนี้ถึง 3 รอบ คือดูทั้งเสียงอีสาน และเสียงที่เป็นภาษากลาง เพราะว่าหนังสมัยก่อนยังคงใช่ระบบเสียงพากษ์อยู่ และรอบที่สามคือโรงเรียนเหมารอบกันไปดูทั้งครูและนักเรียนเลย แล้วดูทีไรก็ประทับใจมาก ซีนฮาก็หัวเราะกันลั่น ซีนน้ำตาก็ร้องไห้กันทั้งโรง ถือว่าครูบ้านนอกสมัยก่อนนั้นเป็นหนังที่โด่งดังมาก แล้วชื่อของพี่สุรสีห์ ผาธรรม ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ก็กลายเป็นที่รู้จักขึ้นมาทันที จนวันหนึ่งผมได้รู้จักกับ คุณสุชาติ ผาธรรม น้องชายของพี่สุรสีห์ ผาธรรม ผมเลยถามแกว่าพี่สุรสีห์ หายไปไหนไม่เห็นหน้าหรือว่าผลงานของแกมานานหลายสิบปีแล้ว จนวันหนึ่งผมก็มีโอกาสได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังไทยอยู่เรื่อย ร่วม ซึ่งผมก็เชื่อว่าพี่สุรสีห์ ยังคงมีไฟในการทำงานอยู่อย่างแน่นอน ผมจึงถามพี่สุรสีห์ว่าสนใจอยากจะทำหนังอีกซักครั้งไหม เพราะผมอยากเห็นผลงานของแกอีกครั้ง เพราะพี่สุรสีห์ก็เป็นผู้กำกับที่มีความสามารถคนหนึ่ง เลยเป็นจุดเริ่มต้นไปคุยกับพี่ปรัชญา ปิ่นแก้ว ซึ่งพี่ปรัชเขาก็สนใจเหมือนกัน ตอนแรกว่าจะทำเป็นหนังเพลงลูกทุ่ง เหมือนหนังมนต์รักลูกทุ่งนี่แหละ แต่พอคิดดูอีกทีทำไมไม่ทำหนังที่พี่สุรสีห์ถนัด ก็เลยเอาเรื่องนี้ไปคุยกับเสี่ย แล้วพอดีเสี่ยก็มีมุมมองทางด้านการตลาด และเล็งเห็นว่า หนัง อย่างครูบ้านนอก มันเป็นหนังที่ห่างหายไปจากวงการหนังไทยนานแล้ว แล้วพี่สุรสีห์ก็เป็นผู้กำกับที่ถนัดด้านนี้โดยตรง น่าจะกลับมาปัดฝุ่นแล้วทำใหม่ ทุกคนก็เลยมุ่งไปที่ครูบ้านนอกซึ่งเป็นหนังเรื่องแรกของแกที่กำกับด้วย”
สมทบด้วย 2 นักแสดงชั้นนำระดับคุณภาพ หม่ำ จ๊กมก และ พันนา ฤทธิไกร
เพิ่มความประทับใจขึ้นเป็น 2 เท่า เพิ่มความฮาขึ้นเป็นเท่าตัว กับสุดยอด 2 นักแสดงระดับแถวหน้าของประเทศ คนหนึ่งขึ้นชื่อว่า ปรมาจารย์ คิวบู๊ของวงการภาพยนตร์ไทย “พันนา ฤทธิไกร” ร่วมด้วยตลกซูเปอร์สตาร์ “หม่ำ จ๊กมก” ที่เคยเสพผลงานแห่งคุณค่าอย่าง “ครูบ้านนอก” จนต้องขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับหนังไทยระดับคุณภาพชิ้นนี้อีกครั้ง
“ คือตัวผมเองก็เคยดูหนังเรื่องครูบ้านนอกมาก่อน ก็เป็นหนังที่สนุกมากทีเดียวนะ โดยเฉพาะบทบาทของครูใหญ่คำเม้า ที่อาจารย์ นพดล ดวงพร เล่นไว้เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว คือตัวละครของครูใหญ่แกจะเป็นตัวฮาของเรื่อง คือถ้าออกมาจากฉากเมื่อไรก็การันตีเสียงหัวเราะได้ว่าลั่นโรงแน่นอน แล้วภาคนี้ผมก็มารับบทต่อจากอาจารย์นพดล ในเวอร์ชั่นนี้ผมเล่นเป็นครูใหญ่ชาลี เรื่องราวทั้งหมดจะเกิดขึ้นที่หมู่บ้านหนองฮีใหญ่ แต่ว่าคาแร็คเตอร์ของครูใหญ่เวอร์ชั่นนี้กับเวอร์ชั่นเก่าก็ยังเหมือนเดิมอยู่ คือคงเอกลักษณ์ไว้ซึ่งเสียงหัวเราะแบบมีสาระด้วย” หม่ำ จ๊กม๊กกล่าวถึงความประทับใจและบทบาทใหม่ของเขา
และอีกหนึ่งคนสำคัญของเรื่องที่ขาดไม่ได้ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการผลักดันโปรเจ็กต์ “ครูบ้านนอก บ้านหนองฮีใหญ่” ให้กลับมาโลดแล่นบนแผ่นฟิล์ม เพื่อปรากฏสู่สายสาธารณชนอีกครั้ง รวมถึงยังเป็นหนึ่งในนักแสดงนำของเรื่องนี้ด้วย ก็คือ “พันนา ฤทธิไกร” ในบทของ “จารย์พัน ปราชญ์เดินดิน”
“ในเรื่องนี้ผมรับบทเป็นจารย์พัน คาแร็คเตอร์จะคล้ายกับปราชญ์ชาวบ้านนี้แหละ เหมือนคนที่บวชมาหลายพรรษา พอสึกออกมาก็เรียกว่า จารย์หรือว่าทิด ซึ่งจารย์คนนี้ก็คือเป็นจารย์ที่มีความรู้จากธรรมชาติมีความคิดมีปรัชญาที่ดูเป็นธรรมชาติเป็นคนที่เคร่งขรึมคิดเอาจริงเอาจังดูแลชาวบ้านแต่ไม่สนใจกับใครนะครับ อาจจะดูเป็นคนนอกรีตก็ได้ ซึ่งถ้ามองให้ลึกลงไปตัวละครตัวนี้เป็นคนที่สะท้อนแนวคิดของชาวบ้านสมัยก่อนนะ ว่าเขาดำรงชีวิตกันอย่างไร เอาตัวรอดได้อย่างไร ซึ่งเขาก็เป็นคนที่ใช้ภูมิปัญญาแบบชาวบ้านนี่แหละในการดำเนินชีวิต ซึ่งหนังเรื่องนี้ผมไม่ได้เล่นบู๊ อะไรเลยนะ เพราะบทจะเป็นคนเงียบๆ ใช้การแสดงทางสีหน้าและแววตา ก็เป็นตัวละครที่มีความสำคัญตัวหนึ่งในเรื่อง เพราะพี่สุรสีห์แกเพิ่มบทขึ้นมาให้มีความสำคัญกับเรื่องมากยิ่งขึ้นครับ”
เพิ่มความเข้มข้น เติมฉากประทับใจ ยิ้มได้แบบไม่ยั้ง
แม้จะเป็นหนังที่โด่งดังในอดีต แล้วนำกลับมาสร้างใหม่อีกครั้ง แต่ภาพยนตร์เรื่อง “ครูบ้านนอก : บ้านหนองฮีใหญ่” ก็มาพร้อมกับความสนุกสนาน ที่สดขึ้น ใหม่ขึ้น ที่ผู้กำกับการันตีถึงความเข้มข้น และฉากใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาให้หนังมีความน่าดูชมมากยิ่งขึ้น
“คือครูบ้านนอกเวอร์ชั่นนี้ เราก็ได้มีการปรับปรุงพัฒนาบทขึ้นมาใหม่ให้มีความสนุกสนานมากขึ้น โดยเราเอาบทภาพยนตร์อันเดิมมาให้ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ ซึ่งจะมีข้อดีหรือว่าข้อด้อยอย่างไรเราก็เอามาพัฒนาใหม่อีกครั้ง เพื่อให้คนดูรู้สึกว่าสนุก ยังคงความประทับใจเหมือนเดิม แต่การเล่าเรื่องไม่เชยเหมือนเก่า แล้วเราก็ได้เพิ่มฉากเข้าไปด้วยเป็นฉากใหม่ๆ ที่เวอร์ชั่นที่แล้วไม่มี อย่างฉากที่คุณหม่ำ ขี่ม้าบักจ้อนใส่แว่นตาดำ คนดูไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้แน่นอน หรือว่าฉากน่ารักซื่อๆ ของเด็กนักเรียนบ้านหนองฮีใหญ่ พอรู้ว่าจะได้ชุดนักเรียนใหม่ แล้วครูใหญ่บอกว่าทีหลังอย่าใส่ชุดเก่ามาให้เห็นเป็นอันขาด เด็กนักเรียนทั้งหมด ไม่ว่าจะชายหรือหญิงก็วิ่งแก้ผ้าออกมารับชุดนักเรียน ซึ่งผมว่าฉากนี้ถ้าใครได้ดูรับรองว่าฮาแน่นอน” ผู้กำกับสุรสีห์ ผาธรรมได้กล่าวถึงหนังเวอร์ชั่นใหม่นี้ว่า
หนึ่งในที่ปรึกษาอย่าง “พันนา ฤทธิไกร” ก็ได้ออกมากล่าวถึงความแปลกใหม่ ว่า
“ครูบ้านนอกเวอร์ชั่นนี้มันถูกปรุงแต่งใหม่หมดเลย ไม่ว่าจะทางด้านโปรดักชั่น หรือว่าอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ใช้ในกองซึ่งต่างจากสมัยก่อนมาก เมื่อก่อนผู้กำกับได้แต่เห็นการแสดงจากที่ตัวนักแสดงที่เขาเขาเล่นกัน แต่ไม่มีโอกาสได้ดูมอนิเตอร์เหมือนสมัยนี้ เพราะเทคโนโลยีสมัยก่อนมันยังไม่ถึง แล้วตัวผู้กำกับเอง พี่สุรสีห์ ผาธรรม แกก็ไปศึกษาการทำหนังเพิ่มเติมมาด้วย ทั้งวิธีการเขียนบท การตัดต่อ ทำอย่างไรไม่ให้หนังมันอืดเหมือนสมัยก่อน ครั้งนี้จะเล่าเรื่องแบบกระชับแต่ได้อารมณ์มาก แล้วลองจินตนาการในฉากที่เด็กนักเรียนร้องเพลง ครั้งที่แล้วยังใช้เสียงพากษ์อยู่ แต่คราวนี้ ได้มีการอัดเสียง บันทึกเสียง ได้มีการใช้ซาวด์จริงๆ คือบางซีนดูไปแล้วขนลุกไป แล้วก็เป็นหนังที่ครบทุกอรรถรสเลยจริงๆ ภายในระยะที่หนังฉายอารมณ์คนดูจะมีทั้งความสนุกสนาน ความประทับใจ และน้ำตาที่ไหลรินออกมาให้กับอุดมการณ์ของครูบ้านนอกแน่นอนครับ”
เปิดตัว 2 นักแสดงหน้าใหม่ที่น่าจับตามอง
แม้จะเคยเป็นหนังที่สร้างชื่อเสียงให้กับ “ปิยะ ตระกูลราษฎร์” และ “วาสนา สิทธเวช” ให้กลายเป็นคู่ขวัญคู่ใหม่ของวงการภาพยนตร์จนกลายเป็นดาวค้างฟ้าไปแล้ว มาถึงหนังเรื่อง “ครูบ้านนอก : บ้านหนองฮีใหญ่” ผู้กำกับรุ่นใหญ่อย่าง “สุรสีห์ ผาธรรม” ก็ยังคงคอนเซ็ปต์เดิมไม่เปลี่ยน โดยส่งทีมงานไปเสาะหาคนที่เหมาะสม เพื่อจะมารับบทพระเอก-นางเอกเวอร์ชั่นใหม่นี้ จนท้ายที่สุดก็มาลงตัวที่ “พิเชษฐ์ กองการ” พระเอกหนุ่มหน้าคมจากกาฬสินธุ์ และ “ฟ้อนฟ้า ผาธรรม” นางเอกมากความสามารถในบทของครูแสงดาว
“สำหรับพระเอกเรื่องครูบ้านนอก ผมก็มีความตั้งใจที่จะใช้นักแสดงหน้าใหม่อยู่แล้วเพื่อต้องการให้หนังเรื่องนี้ดูสดและมีความสมจริงให้ได้มากที่สุด อยากให้คนดูเห็นครูพิเชษฐ์ แล้วรู้สึกว่าเขาคือคุณครูไม่ใช่นักแสดง ก็ส่งทีมงานตามหาคนที่เหมาะสมตามภาคอีสานระบุคุณสมบัติไว้ชัดเจน ว่าสูงไม่ต่ำกว่า 170 ซ.ม. ผิวสีแทน พูดอีสานได้ มีความสามารถทางด้านดนตรี คือกีต้าร์และร้องเพลงได้ ซึ่งก็มีคนส่งใบสมัครมา 100 กว่าคน แล้วพิเซษฐ์ก็เป็นหนึ่งในนั้น รู้สึกว่าจะส่งใบสมัครมาเป็นคนต้นๆ ด้วย ซึ่งผมเห็นเขาในรูปภาพที่ส่งมา ผมก็สนใจขึ้นมาทันที ด้วยรูปร่างหน้าตา ที่มีความเหมาะสมกับบทบาทเป็นอย่างมาก มีความคมเข้ม พอมาร่วมทดสอบการแสดงเขาก็ทำได้ดีทีเดียว จนพวกเราทีมงานเชื่อว่าเขาสามารถเล่นเป็นคุณครูได้ แล้วเขายังทุ่มเทให้กับการแสดงได้อย่างเต็มที่ไม่ว่าจะต้องเก็บตัวฝึกซ้อม หรือใช้คิวในการถ่ายทำเขาก็ให้เราได้อย่างเต็มที่ เราก็เลยเลือกเขาให้มารับบทพระเอก ซึ่งก็ไม่ผิดหวังจริงๆ หลังจากมีการซ้อม การเรียนแอ็คติ้ง พอถึงเวลาแสดง เขาก็ทำได้ดีทีเดียว เป็นนักแสดงที่หัวไว และมีพัฒนาการสูงมาก
และสำหรับนางเอกในเรื่อง เขาเป็นหลานสาวผมเอง ชื่อฟ้อนฟ้า ผาธรรม ผมเห็นเขามาตั้งแต่เด็กแล้ว เขาเป็นเด็กที่มีความสามารถมากๆ เป็นคนที่ชอบทางด้านศิลปะการแสดง ซึ่งเขาก็มีแววมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว ป๊อปเขาก็เคยมีผลงานมาบ้าง ทั้งถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา แสดงมิวสิควีดีโอ หรือว่าเล่นหนังของคุณเชิด ทรงศรี เรื่องข้างหลังภาพ ซึ่งผมว่าหนังเรื่องครูบ้านนอกน่าจะเหมาะกับเขาดี ด้วยคาแร็คเตอร์ที่ไม่ถึงกับสวย เหมือนนางเอกหนังทั่วไป แต่ก็ถือว่าเป็นนางเอกที่จับต้องได้ เหมาะสมกับคาแร็คเตอร์นี้เป็นอย่างดี”
ซึ่งพระเอกใหม่แกะกล่องอย่าง “พิเชษฐ์ กองการ” ก็ได้กล่าวถึงผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของตัวเองว่า
“สำหรับผมก็รู้สึกตื่นเต้นมากครับ ที่ได้มารับบทครูพิเชษฐ์ในเรื่อง ครูบ้านนอก:บ้านหนองฮีใหญ่ ตัวผมเองก็พอทราบมาบ้างว่าเวอร์ชั่นที่แล้วเป็นหนังที่โด่งดังมาก ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง รวมถึงพระเอกคนก่อนคือคุณอาปิยะ ตระกูลราษฎร์ ก็เล่นไว้ได้ดีมาก ผมก็ต้องมานั่งคิดว่าจะทำอย่างไรให้หนังมันออกมาดี เท่ากับหรือว่าไม่น้อยกว่าเวอร์ชั่นที่แล้ว ก็รู้สึกมีความกดดันพอสมควร แต่ก็มีพี่ทีมงานและผู้กำกับอาจารย์สุรสีห์คอยชี้แนะ ให้คำแนะนำผมอยู่ตลอด โดยเฉพาะอาจารย์สุรสีห์สอนผมให้รู้จักการแสดง มีทั้งเข้าค่ายเพื่อเรียนแอ็คติ้งเรียนร้องเพลงเพราะในเรื่องต้องมีร้องเพลงด้วย ก็เข้าค่ายฝึกอยู่เดือนกว่า แล้วยังพาผมไปจัดรายการวิทยุ ฝึกการออกเสียง ท่านก็ให้ความรู้ต่างๆ มากมายกับผมครับ แล้วก็เป็นคนที่มีความสามารถสูงมาก สอนการแสดงผมจากที่ไม่มีพื้นฐานอะไรเลย พรสวรรค์ผมก็ไม่มีด้วย ผมมีแต่พรแสวงครับ”
นางเอกของเรื่องอย่าง “ฟ้อนฟ้า ผาธรรม” นางเอกของเรื่องก็เปิดใจกับการประเดิมหนังเรื่องแรกว่า
“ด้วยความที่ครูบ้านนอกเป็นหนังเรื่องแรกด้วย ก็ต้องเตรียมตัวให้ดีที่สุด โดยตัวป๊อปเองก็มีไปเรียนการแสดงด้วย ฝึกการใช้สีหน้าท่าทาง และแววตา ฝึกเล่นซีนอารมณ์ เพราะในเรื่องมันมีซีนอารมณ์ให้ต้องเล่นด้วย แล้วในเรื่องก็ต้องมีร้องเพลงอีก ป๊อปก็ต้องไปเรียนร้องเพลงกับครูอ้วน ฝึกการออกเสียงการเปล่งเสียง ก็พยามที่จะเตรียมความพร้อมในทุกๆด้านเพื่อให้หนังมันออกมาดีที่สุด”
กลับมาพร้อมกับงานโปรดักชั่นที่สมจริง สมบูรณ์มากขึ้น
31 ปีผ่านไป กลับมาใหม่กับโปรดักชั่นที่ยิ่งใหญ่ อลังการมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อทีมงานยกกองไปถ่ายทำที่ “เฮือนสวนดอนธรรม จังหวัดกาฬสินธุ์” สถานที่ซึ่งถูกขนานว่าว่า “ฮอลลีวู้ดอีสาน” ด้วยพื้นที่ใช้สอยในการถ่ายทำกว่า 50 ไร่ พร้อมกับสถาปัตยกรรม ในแบบอีสานคลาสสิกแบบดั้งเดิม เพื่อให้คนดูได้ตื่นตากับวิถีชีวิตของหมู่บ้านอีสานในชนบทได้อย่างเต็มตา
อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนและแรงผลักดันเป็นอย่างดีจากเจ้าของพื้นที่ “คุณโชฎึก คงสมของ” ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ถ่ายทำให้เป็นอย่างดี จนสามารถกล่าวได้ว่างานโปรดักชั่นของภาพยนตร์เรื่อง “ครูบ้านนอก : บ้านหนองฮีใหญ่” น่าจะมีความสมจริงอย่างที่สุด และยิ่งใหญ่ตระการตา ไม่แพ้ภาพยนตร์เรื่องอื่นอย่างแน่นอน
“คือแรกเริ่มเลย ผมไปเจอสถานที่ เฮือนสวนดอนธรรมที่จังหวัดกาฬสินธุ์ก่อน ซึ่งเจ้าของพื้นที่คือคุณ โชฎึก คมสมของ แกต้องการที่จะอนุรักษ์วัฒนธรรมของอีสานไว้ แกจึงเอาสถานที่ของแก มาสร้างสิ่งปลูกสร้างที่มีสถาปัตยกรรมแบบอีสานขนานแท้อยู่ ซึ่งพอผมได้เห็น ผมคิดว่าสถานที่นี้มันน่าจะใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องครูบ้านนอกได้ เพราะมันเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นบ้าน พื้นที่ใช้สอยในการสร้างฉากต่างๆของเรื่อง ซึ่งพอผมเข้าไปคุยกับคุณโชฎึก เขาก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ทางทีมงานภาพยนตร์เรื่องครูบ้านนอก เข้าไปใช้สถานที่ในการถ่ายทำ และคอยอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้เป็นอย่างดี มีการเอาไฟมาติดตั้งให้เพิ่มเติม ซึ่งก็ถือว่าเป็นความโชคดีของเรามาก โดยทางทีมงานเราก็ได้เข้าไปสร้างโรงเรียนบ้านหนองฮีใหญ่ในพื้นที่นี้ รวมถึงฉากสำคัญๆ หรือว่าโลเกชั่นต่างๆ เราก็ได้ถ่ายทำอยู่ ณที่แห่งนี้เกือบทั้งหมด เรียกได้ว่า 70 % ของเรื่องเราใช้สถานที่ถ่ายทำอยู่ที่เฮือนสวนดอนธรรม ซึ่งนับว่าเป็นโลเกชั่นที่ยิ่งใหญ่มากทีเดียว สามารถพูดได้เลยว่าเป็นฮอลลีวู้ดอีสาน”
ประวัติผู้กำกับ สุรสีห์ ผาธรรม
“สุรสีห์ ผาธรรม” เกิดเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2491 ที่จังหวัดอุบลราชธานี ตลอดระยะเวลากว่า 61 ปีของผู้ชายคนนี้ ถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ได้ผ่านประสบการณ์หลายๆ อย่างมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นทั้งด้านบันเทิง หรือว่าแวดวงการเมือง เริ่มต้นจากสมัยเด็ก ที่ชอบหนังเป็นชีวิตจิตใจ จนตัดสินใจละทิ้งการเรียนไปเป็นนักพากษ์หนัง จนมีโอกาสได้รู้จักกับนักพากษ์หนังรุ่นใหญ่อย่างคุณกมล กุลตังวัฒนา ซึ่งภายหลังได้มาเปิดบริษัทหนังในกรุงเทพ โดยเริ่มจากการซื้อหนังอินเดียเข้ามาฉาย ในประเทศไทย
จนวันหนึ่ง สุรสีห์ ผาธรรมมีความคิดที่อยากเป็นผู้กำกับดูบ้าง จึงได้ชวนคุณกมล กุลตังวัฒนา มาทำหนัง โดยหนังเรื่องแรกให้อาจารย์พงษ์ศักดิ์ จันทลรุกขา มากำกับหนังเรื่องมนต์รักแม่น้ำมูล โดยที่ตัวสุรสีห์เองทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย ผู้กำกับ และผู้อำนวยการสร้างในสมัยนั้น ซึ่งหนังที่ทำออกมาก็ถือว่าประสบความสำเร็จไม่น้อยเลยทีเดียว โดยทำเงินได้ถึงหลักล้าน จนคุณกมลเห็นความสามารถในตัว สุรสีห์ ผาธรรม จึงมอบหมายให้ สุรสีห์ ผาธรรม เลื่อนชั้นขึ้นมากำกับหนังเอง ซึ่งหนังเรื่องแรกก็คือภาพยนตร์เรื่องครูบ้านนอก ที่สร้างชื่อเสียงและความสำเร็จได้เป็นอย่างมาก โดยคว้ารางวัล ผู้กำกับหนังยอดเยี่ยมและภาพยนตร์สร้างสรรค์เยาวชนดีเด่น ในงานมหกรรมภาพยนตร์ที่นครทัชเคนท์ สหภาพโซเวียต รัสเซียได้อีกด้วย
หลังจากนั้นสุรสีห์ ผาธรรมก็ได้สร้างสรรค์ภาพยนตร์ระดับคุณภาพขึ้นมาอีกเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น หนองหมาว้อ (2522), ลูกแม่มูล (2523), ครูวิบาก (2524), ครูดอย (2525), สวรรค์บ้านนา (2526), ผู้แทนนอกสภา (2526), ราชินีดอกหญ้า (2529), บ๊าย บาย ไทยแลนด์ (2530),
ส่วนรางวัลที่การันตีถึงความสามารถของผู้กำกับคนเก่งคนนี้ก็มีไม่น้อยเลยทีเดียว เช่น
- ภาพยนตร์ “ครูวิบาก” ได้รับรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำภาพยนตร์สร้างสรรค์สังคมดีเด่นและบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประจำปี 2524
- ภาพยนตร์ “ผู้แทนนอกสภา” ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี 2526
- ภาพยนตร์ “ราชินีดอกหญ้า” ได้รับรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, เพลงประกอบยอดเยี่ยม และดนตรีประกอบยอดเยี่ยม ประจำปี 2529
- ภาพยนตร์โฆษณา “ขอแขนให้แม่ข้า” ได้รับรางวัลแท็กอะวอร์ดภาพยนตร์โฆษณาสร้างสรรค์สังคมดีเด่น ประจำปี 2531
- สารคดีโทรทัศน์ชุด “ สารคดีจากที่ราบสูง ” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ททบ.5 ได้รับรางวัลโทรทัศน์ทองคำ สารคดีส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมดีเด่นประจำปี 2533
- หนังสั้น “ Yes I am ” ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดหนังสั้น ปี ค.ศ. 2009 ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่นครหลวงเวียงจันทน์ ส.ป.ป.ลาว โดยสถานทูตเยอรมัน ประจำประเทศลาว
บันทึกผู้กำกับ (DIRECTOR NOTE)
ผญาภาษิตอีสานบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า
ขุนหาญห้าวครองเมืองจั่งเฮืองฮุ่ง
ขุนขี้ย่านครองบ้านบ่ฮุ่งเฮือง
(ผู้นำที่ห้าวหาญปกครองบ้านเมืองจึงเรืองรุ่ง ผู้นำที่ขี้ขลาดปกครองบ้านเมืองไม่รุ่งเรือง)
ภาพยนตร์เรื่อง “ครูบ้านนอก : บ้านหนองฮีใหญ่” ได้หยิบยกเอาผญาบทนี้มาเป็นคติประจำใจของครูพิเชษฐ์ ตัวละครเอกของเรื่อง ที่ได้แสดงออกถึงความกล้าหาญ กล้าต่อสู้ กล้าเสียสละ อุทิศตนเพื่อส่วนรวม ซึ่งคนอย่างนี้เริ่มหาได้ยากยิ่งในสังคมปัจจุบัน ที่พอกพูนความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม
ผมอยากเห็นคนอย่างครูพิเชษฐ์เกิดขึ้นมากๆ ในสังคมไทย ผมจึงได้สร้างแคแร็คเตอร์ลักษณะนี้ขึ้นในตัวละครเอกของเรื่อง เพื่อหวังจุดประกายสร้างแรงบันดาลใจให้หนุ่มสาวยุคปัจจุบัน ได้หันมาใส่ใจสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สังคมชนบท ซึ่งยังอ่อนแอ พึ่งตนเองไม่ได้
ผมสร้างหนัง “ครูบ้านนอก : บ้านหนองฮีใหญ่” ขึ้นมาเพื่อจะบอกกับคนดูว่า สังคมชนบทยังต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถ และมีอุดมการณ์หาญกล้าเด็ดเดี่ยว ที่จะเข้าไปร่วมคิด ร่วมสร้างสรรค์ ร่วมพัฒนา ร่วมแก้ไขปัญหา เพื่อให้ประชาชนในชนบทพึ่งพาตัวเองได้ โดยไม่ต้องละทิ้งถิ่นฐานบ้านช่องและครอบครัวเข้าเมืองใหญ่ เพื่อรับใช้สังคมทุนนิยม ลัทธิบริโภคนิยม ซึ่งนับวันแต่จะทำลายสังคมชนบทให้ล่มสลายไปในที่สุด
บันทึกสั้นๆ ฉบับนี้ขอจบลงด้วยบทเพลงๆ หนึ่งในหนัง “ครูบ้านนอก : บ้านหนองฮีใหญ่” ประพันธ์โดย ท้าวแพงคำ ขับร้องโดย ครูพิเชษฐ์ ตัวละครเอกของหนัง ซึ่งมีคำร้องท่อนแยกและท่อนจบว่า
โอ้ อีสาน นาบ้านเหลือเด็ก, ผู้เฒ่า
หยาดเหงื่อหนุ่มสาว แลกเศษเงินเขาเมืองใหญ่
เมืองใหญ่เมืองนั้น มันเป็นสวรรค์ของใคร
ชีวิตสู้เพื่อหนีตาย อย่างไรก็หนีไม่พ้น
แสงเอยแสงดาว พร่างพราวเป็นเพื่อนท้องฟ้า
แรงแสงศรัทธา คนดีหาญกล้าทุกคน
เพื่อลบน้ำตาประชา ไม่ยอมจำนน
เพื่อผู้ยากไร้ทุกข์ทน สู้จนหมดลมหายใจ
ด้วยจิตคารวะ
สุรสีห์ ผาธรรม
ร้านครกไม้ไทยลาว ลาดปลาเค้า กทม.
17 พ.ย. 2552
ประวัติพิเชษฐ์ กองการ
ชื่อ พิเชษฐ์ กองการ
ชื่อเล่น ตุ๊ก
ส่วนสูง 176 ซ.ม. น้ำหนัก 66 กิโลกรัม
การศึกษา มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช
ความสามารถพิเศษ ร้องเพลง, เล่นกีต้าร์, ฟุตบอล
ความภูมิใจสูงสุด รับบทพระเอกเรื่อง “ครูบ้านนอก : บ้านหนองฮีใหญ่”
งานอดิเรก เล่นกีต้าร์,เล่นเกมส์
กีฬาที่ชอบ ฟุตบอล
ดาราที่ชอบ ป๋อ ณัฐวุฒิ สะกิดใจ, แอฟ ทักษอร
แนวภาพยนตร์ที่ชอบ drama, action
ภาพยนตร์ที่ชื่นชอบ รัก|สาม|เศร้า
นักร้องที่ชื่นชอบ พลพล พลกองเส็ง
ความฝันสูงสุดในชีวิต อยากรับรางวัลจากภาพยนตร์เรื่องครูบ้านนอก
สถานที่ท่องเทียว ป่า, น้ำตก, ทะเล
แหล่งช็อปปิ้ง ตลาดนัด, คลองถม
อาหารจานโปรด ส้มตำ
เครื่องดื่ม น้ำส้มคั้น
ผลไม้ที่ชอบ กล้วยทุกชนิด
ของว่าง ไอศกรีม
สีที่ชอบ ชมพู, แดง, ขาว
สไตล์การแต่งตัว เสื้อยืด+กางเกงยีนต์
เครื่องประดับ สร้อยคอ นาฬิกา
สัตว์เลี้ยง สุนัข
สิ่งที่เกลียด คางคก
ศาสนา พุทธ
ถ้าขอพรได้หนึ่งข้อจะขอ ให้โลกสงบสุข
ประวัติฟ้อนฟ้า ผาธรรม
ชื่อ ฟ้อนฟ้า ผาธรรม
ชื่อเล่น ป๊อป
ส่วนสูง 160 ซ.ม.
น้ำหนัก 40 กิโลกรัม
การศึกษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช
ความสามารถพิเศษ ร้องเพลง, เต้น, พิธีกร, การแสดง
ประวัติผลงานที่ผ่านมา แสดงมิวสิควิดีโอ, หนังโฆษณา, พิธีกร ถ่ายแฟชั่นนิตยสารวัยรุ่น
ความภูมิใจสูงสุด ได้แสดงภาพยนตร์เร่วมกับ หม่ำ จ๊กม๊ก
งานอดิเรก ร้องเพลง, ช้อปปิ้ง
กีฬาที่ชอบ แบดมินตัน
ดาราที่ชอบ อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ
แนวภาพยนตร์ที่ชอบ ตลก
ภาพยนตร์ในดวงใจ เดอะ เลตเตอร์ จดหมายรัก
ผลงานชิ้นแรก ข้างหลังภาพ (เชิด ทรงศรี) เล่นเป็นหลานคุณหญิงกีรติ
ผลงานที่ผ่านมา ถ่ายโฆษณา one-2-call, pizza hut, mobile life, ถ่ายนิตยสารวัยรุ่น
ความฝันสูงสุดในชีวิต ความภาคภูมิใจสุงสุดของชีวิต
สถานที่ท่องเที่ยว ทะเล, ห้างสรรพสินค้า
แหล่งช็อปปิ้ง เซ็นทรัลลาดพล้าว, พารากอน, สวนจตุจักร
อาหารจานโปรด ส้มตำ, อาหารญี่ปุ่น
เครื่องดื่ม ice chocolate, ชาเย็น
ผลไม้ แคนตาลูป, เชอร์รี่
สีที่ชอบ ขาว, ชมพู, ม่วง
สไตล์การแต่งตัว เรียบ หวานเท่ห์
เครื่องประดับ นาฬิกา
สัตว์เลี้ยง สุนัข
สิ่งที่เกลียด สัตว์เลื้อยคลานโดยเฉพาะกิ้งกือ
ศาสนา พุทธ
ถ้าขอพรได้หนึ่งข้อจะขอ ให้ครอบครัวและคนที่เรารักไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ