ธนาคารใบไม้ …พลังจากผู้สูงวัย ลดภัยหมอกควัน

ข่าวทั่วไป Wednesday December 23, 2009 15:58 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--23 ธ.ค.--สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อถึงฤดูหนาวคราใด บรรยากาศและสีสันของธรรมชาติในภาคเหนือของไทย ดึงดูดผู้คนไปเยือนปีละหลายล้านคน สร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวให้กับธุรกิจอย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ความคึกคักทางเศรษฐกิจต้องสะดุดเป็นระยะๆ จากปัญหาหมอกควันที่คุกคามอย่างรุนแรง ทั้งนี้เพราะสภาพภูมิประเทศของภาคเหนือตอนบน ล้อมรอบด้วยภูเขาสูง บางบริเวณเป็นหุบเขาและแอ่งกระทะ จึงเก็บกักฝุ่นละอองและหมอกควันจากการเผาไหม้ทุกชนิด โดยพบว่าจังหวัดที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือเชียงใหม่ และลำปาง จากรายงานของสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า ปัญหามลพิษจากหมอกควันที่ปกคลุมพื้นที่ภาคเหนือมีความรุนแรงที่สุดในปี 2550 และมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี สำหรับปี 2551 จ.เชียงใหม่ มีจำนวนวันที่ฝุ่นเกินมาตรฐาน จำนวน 6 วัน มีผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากหมอกควัน 67,996 ราย ซึ่งอำเภอที่เกิดปัญหาการเผาในที่โล่งแจ้งมากที่สุด 6 อำเภอ คือ อมก๋อย แม่แจ่ม เชียงดาว แม่อาย แม่แตง และสะเมิง ส่วนอำเภอที่มีจำนวนผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยโรคระบบทางเดินหายใจเป็นจำนวนมาก 8 อำเภอ คือ สารภี ฝาง แม่อาย แม่แจ่ม เชียงดาว ฮอด พร้าว และจอมทอง ขณะเดียวกันสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ได้ระบุว่า ปัญหาหมอกควันทำให้คนที่อยู่ในที่โล่งแจ้งนานๆ มีอาการแสบตา ตาแดง น้ำตาไหล คอแห้ง ระคายคอ หายใจติดขัด เหนื่อยง่ายและแน่นหน้าอก และทำให้ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจในเชียงใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี อัตราผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดต่อประชากรแสนคนเพิ่มจาก 9 คน ในปี 2545 เป็น 58.12 คน ในปี 2548 ซึ่งสูงกว่ากรุงเทพฯ และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศไทย ส่วนผู้ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 17.6 และที่สำคัญฝุ่นละอองขนาดเล็กจะทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบตันและมีผลทำให้เป็นโรคมะเร็งปอดได้ด้วย “เผาขยะ” ผลกระทบที่มากกว่าไฟป่า อัญชนา นิติคุณ ผู้รับผิดชอบโครงการผู้สูงอายุอาสาสร้างเสริมสุขภาพชุมชนและสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมด้วยธนาคารใบไม้ ของสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยฯ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เล่าว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พยายามเข้าไปป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จนในปี 2551 สามารถลดจำนวนวันที่ฝุ่นเกินมาตรฐานลงได้เหลือ 6 วัน จาก 31 วัน ในปี 2550 แต่การเกิดภาวะหมอกควันก็ยังคงมีอยู่ ซึ่งจากการจัดเวทีเพื่อรวบรวมปัญหาสาเหตุและแนวทางแก้ไขภาวะหมอกควันในพื้นที่ 24 อำเภอ ของจังหวัดเชียงใหม่ โดยสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กับศูนย์ประสานงานสร้างสุขเพื่อสังคม ได้ข้อสรุปว่าปัญหาหมอกควันเกิดจากพฤติกรรมการเผา เช่น เผาขยะ เผาเศษหญ้า เผาใบไม้ กิ่งไม้ เผาวัสดุเหลือใช้จากการเกษตรเป็นส่วนใหญ่ ผู้เข้าร่วมเวทีได้เสนอให้แก้ไขปัญหาด้วยการรณรงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลด งด เผา เท่าที่จำเป็น ให้มีกิจกรรมทางเลือกด้วยการเอาไปทำปุ๋ยแทนการเผา และให้สร้างจิตสำนึก ความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง “โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีพฤติกรรมเดิมๆ คือ ชอบกวาดใบไม้ ใบหญ้าแล้วจุดไฟเผาทั้งเช้าและเย็น ทำให้คนที่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงต้องดมควันพิษทั้งช่วงตื่นนอนตอนเช้า และเมื่อกลับจากเรียนหรือทำงานในตอนเย็น ซึ่งจุดนี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก แต่มีผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรงเพราะทำทุกวัน ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลที่พบว่า อำเภอที่เกิดไฟป่ามาก จำนวนผู้ป่วยกลับไม่มากเท่าอำเภอที่มีการเผาในโล่งแจ้งเป็นประจำ อีกทั้งกลุ่มผู้สูงอายุกับเด็กก็เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ง่ายต่อการเกิดโรคจากภาวะหมอกควัน” ผู้รับผิดชอบโครงการ อธิบาย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ฟื้นสัมพันธภาพชุมชน โครงการผู้สูงอายุอาสาสร้างเสริมสุขภาพชุมชนและสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมด้วยธนาคารใบไม้ ที่ สสส.ให้การสนับสนุน จึงเป็นทางเลือกที่เกิดขึ้นใน 6 พื้นที่ ที่มีข้อมูลสถิติผู้เจ็บป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจจำนวนมากในช่วงที่เกิดภาวะหมอกควัน ได้แก่ หมู่บ้านท่าข้ามใต้ อ.ฮอด, หมู่บ้านโฮ่งมะค่า อ.จอมทอง, หมู่บ้านจอมคีรี อ.เชียงดาว, หมู่บ้านชัยสถาน อ.แม่อาย, หมู่บ้านสันทรายคลองน้อย อ.ฝาง และหมู่บ้านคายนอก อ.แม่อาย เพื่อให้ผู้สูงอายุเป็นแกนนำในการดำเนินงาน “ธนาคารใบไม้” และให้เยาวชนเป็นตัวเชื่อมกับครอบครัวและชุมชนในการนำใบไม้ เศษไม้มาใช้ประโยชน์ ฝากผ่านธนาคารๆ ก็นำไปแปรรูปเป็นปุ๋ย กลับมาขายให้กับเกษตรกรในชุมชน เงินที่ได้ก็จะหมุนเวียนกลับมารับซื้อใบไม้ เศษไม้ต่อไป เป็นการหมุนเวียนทุนที่มีอยู่ในชุมชนให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประวิช คมขำ ประธานชมรมผู้สูงอายุ ต.บ้านแปะ อ.จอมทอง หนึ่งในผู้ร่วมโครงการ บอกว่ากิจกรรมของโครงการ ไม่เพียงแต่ทำให้สภาวะสิ่งแวดล้อมดี ขจัดฝุ่นควัน และขยะเรี่ยราดในชุมชนเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้สูงอายุแน่นแฟ้นขึ้น จากเดิมภาพชินตาของคนทั่วไป คือตื่นเช้า วัยแรงงานออกไปทำงานนอกบ้าน ปล่อยให้คนเฒ่าคนแก่กวาดขยะ ใบไม้ มาสุมรวมกันแล้วจุดไฟเผาเกือบทุกวัน ขณะที่เด็กๆ มักใช้เวลาหมดไปกับการเตรียมตัวและเดินทางไปโรงเรียน ส่วนตอนเย็นก็กลับมาเล่นเกมคอมพิวเตอร์ หรือดูโทรทัศน์ ไม่เคยสนใจช่วยเหลืองานคนในบ้าน แต่เมื่อเกิดโครงการนี้ขึ้น เด็กกลับกระตือรือร้นที่จะใช้เวลาว่างช่วยเหลือผู้เฒ่าผู้แก่เก็บกวาดเศษไม้ ใบไม้ และบรรจุไว้ในกระสอบเตรียมขายฝากธนาคาร ที่มีผู้สูงอายุในท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินงาน ในราคากิโลกรัมละ 2 บาท ขยะที่รับฝากไว้ จะถูกนำมาทำปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยอินทรีย์ เมื่อครบกำหนดก็กันส่วนหนึ่งแจกจ่ายเป็นดอกเบี้ยสำหรับคนที่นำใบไม้มาขาย อีกส่วนหนึ่งจำหน่ายให้แก่ผู้สนใจภายในชุมชนที่มีการสั่งจองเข้ามาล่วงหน้า เพราะโดยกายภาพของพื้นที่ ทำการเกษตรเป็นหลัก อาทิ สวนลำไย มะม่วง นาข้าว ชาวบ้านจึงต้องการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทดแทนปุ๋ยเคมี ที่นับวันจะมีราคาสูงขึ้นทุกขณะ พลังผู้สูงอายุ ขับเคลื่อนสมดุลสู่ธรรมชาติ ทางด้าน ใจ๋ นันต๊ะวงศ์ ประธานโครงการธนาคารใบไม้ หมู่บ้านโฮงมะค่า เล่าเสริมว่า ผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นจากโครงการ คือทำให้ผู้สูงอายุตื่นตัว มีโอกาสได้พบปะสังสรรค์กัน จึงรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า ยังมีความรู้ ความสามารถ ที่ช่วยพัฒนาท้องถิ่นได้ เมื่อนัดหมายให้ทำกิจกรรม เช่น การเปิดธนาคารรับซื้อใบไม้จากเด็กนักเรียน หรือทำปุ๋ยอินทรีย์ ก็เต็มใจให้ความร่วมมืออย่างดี บางรายสนใจขนาดนำวิธีการทำปุ๋ยกลับไปทำใช้เองภายในบ้านของตนเอง เนื่องจากทราบดีว่าในช่วงที่ผ่านมา มีการใช้ปุ๋ยและสารเคมีในพื้นที่อย่างมหาศาล ทำให้สภาพดินเริ่มเสื่อมโทรม หากสามารถใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยอินทรีย์ได้ ก็จะเป็นการช่วยฟื้นฟูสภาพดินให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ได้ สำหรับกรรมวิธีการผลิตปุ๋ยอินทรีย์นั้น ประธานโครงการธนาคารใบไม้หมู่บ้านโฮงมะค่า บอกว่า เริ่มจากการจัดทำคอกกั้นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดประมาณ 2x4 เมตร แล้วปรับพื้นดินให้เรียบเสมอกัน นำใบไม้แห้งจากธนาคารมาผสมกับส่วนประกอบอื่นๆ คือใบไม้แห้ง 1,000 กิโลกรัม เติมขี้วัวแห้ง 200 กิโลกรัม กับจุลินทรีย์ หรือสารเร่งพอประมาณ จากนั้นใช้ผ้ายางคลุมให้ตลอด ทุกๆ 10-15 วัน พลิกกลับบนลงล่าง ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ก็จะได้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีคุณภาพตามความต้องการ นับเป็นพลังความร่วมมือร่วมใจของกลุ่มผู้สูงอายุ ที่พยายามพิทักษ์สิ่งแวดล้อมให้สะอาด ปราศจากมลพิษ แม้จะดำเนินการแค่จุดเล็กๆ ในชุมชนท้องถิ่น หากความมุ่งมั่นเหล่านี้ย่อมไม่สูญเปล่า เพราะผลจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเลิกเผาขยะ ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงโรคระบบทางเดินหายใจ และมะเร็งปอดลง ส่งผลดีต่อสุขภาพของคนในชุมชนโดยตรง ประกอบกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่งเริ่มมองเห็นความสำคัญ เตรียมบรรจุเป็นแผนงานขยายผลไปสู่พื้นที่อื่นๆ ต่อไป

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ