กรุงเทพฯ--25 ธ.ค.--สสส.
ดร.เอนก ชี้ ระบอบประชาธิปไตยจะไปรอดต้องยอมรับทั้งเหลืองและแดง แนะอีก 10 ปีข้างหน้า ภารกิจของการพัฒนาเมืองต้องเน้นแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมของชุมชนเมืองและชนบท โดยการตั้งกระทรวงและหน่วยงานฟื้นฟูชนบทอย่างสร้างสรรค์
ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ นักวิชาการอิสระ ภาคีปฏิรูปประเทศไทย ได้เข้าร่วม “เวทีปฏิรูปประเทศไทย เพื่อสุขภาวะคนไทย” ครั้งที่ 24 จัดโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในหัวข้อ “ฤาจะมีจุดคานงัด: แง่คิดและข้อเสนอเพื่อนำไทยคืนสู่ความปรองดองและสมานฉันท์” โดยได้กล่าวถึงการเมืองช่วงปี พ.ศ. 2549 — 2552 ว่า แบ่งได้ 2 แบบ คือ แดงหรือคล้ายแดง ตั้งแต่ 19 ก.ย. 2549 — ปัจจุบัน เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการหรืออภิสิทธิ์ชน เป็นการต่อสู้ที่ทุนใหม่ ประชาชน เกษตรกร คนจนสู้กับระบบศักดินา ทุนเก่า ทหาร อภิสิทธิ์ชน ซึ่งเป็นการมองแบบสีแดงหรือคล้ายแดงที่มีเกษตรกร คนในชนบทเป็นส่วนประกอบหลัก
“และ อีกแบบคือเหลืองหรือคล้ายเหลือง เป็นการต่อสู้ระหว่างขบวนประชาธิปไตยที่มีคุณธรรม มีความภักดีต่อสถาบัน ต่อสู้กับทุนสามาณย์ที่ใช้เผด็จการเสียงข้างมาก โกงกินละเมิดสิทธิมนุษยชนและคุกคามสถาบันต่างๆ ซึ่งในกลุ่มนี้มีชนชั้นกลางและคนในเมืองเป็นส่วนประกอบหลัก” ดร.เอนก กล่าว
ดร. เอนก กล่าวต่อไปว่า ระบอบประชาธิปไตยที่จะไปรอด คือประชาธิปไตยที่ยอมรับทั้งเหลืองและแดง ทั้งเมืองและชนบท รวมทั้งต้องคำนึงถึงเสียงที่เป็นเกษตรกร คนจน ชนบท คนต่างจังหวัด และเห็นว่า จากนี้ไปอีก 1 ทศวรรษ การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและความไม่เท่าเทียมระหว่างชนบทและเมือง คือภารกิจหลักในการพัฒนาการเมือง โดยการพัฒนาต้องสวนทิศจากของเดิม นำทรัพยากรเงินทุนมันสมองแรงงานจากในเมืองและต่างประเทศเข้าสู่ชนบท และถ้าจะให้ไทยเข้มแข็งต้องมีความชัดเจนเรื่องงบประมาณเพื่อกอบกู้ฟื้นฟู ชนบท ซึ่งควรเริ่มต้นที่หมู่บ้าน
สำหรับ เรื่องการศึกษา ดร.เอนก กล่าวว่า ต้องให้ทักษะความรู้เพื่อสร้างเกษตรกรให้ยืนหยัดอยู่ในชนบทอย่างเข้มแข็งและก้าวหน้า หรืออาจจะต้องตั้งกระทรวงหน่วยงานที่เทียบเท่าเพื่อฟื้นฟูชนบทอย่างสร้างสรรค์
ดร. เอนก กล่าวอีกว่า จากผลสำรวจพบ ภาคอีสานมีสัดส่วนของคนที่มีรายได้ต่ำสุดกว่าทุกภาค และมีตัวเลขที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือสัดส่วนของคนที่เข้ามาเคลื่อนไหวทั้งของเหลืองกับแดงรวมกันมีเพียง12% ของประชากรทั้งประเทศ คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับขบวนการเหลืองและแดงที่กำลังห้ำหั่นกัน
“การพัฒนาประเทศตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ถึงปัจจุบันโดยเฉพาะการมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทำให้ภาคชนบทต้องแบกรับภาระ ค่าใช้จ่าย ความเสียหายที่เกิดจากการพัฒนาอย่างหนัก ชนบทไทยได้เสียสละตัวเองเพื่อการเติบโตของเมืองอย่างมหาศาลจนอยู่ในสภาพอ่อนแอ โดยเฉพาะที่ภาคอีสานที่ดูจะมืดมนและลำบากที่สุด ด้วยเหตุนี้อีสานจึงเป็นดินแดนแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญเสมอๆ” ดร.เอนก กล่าว