กรุงเทพฯ--8 ม.ค.--สหมงคลฟิล์ม
ประเภท Epic / Drama
สัญชาติ อังกฤษ / เยอรมัน / อิตาลี / สเปน
กำกับการแสดง ซองเก้ วอร์ทแมนน์ (The Most Desired Man, The Miracle of Bern)
นำแสดง โจฮันน่า โวคาเลค (The Baader Meinhof Complex)
เดวิด เวนแฮม (Australia, 300)
จอห์น กู๊ดแมน (Speed Racer)
เอียน เกลน (Resident Evil 2, 3 และ Kingdom of Heaven)
กำหนดฉาย 21 มกราคม 2010
จัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์
ในปีคริสตศักราช 814 โจฮันนา คือผู้หญิงที่เกิดขึ้นมาพร้อมคำสาป ชีวิตของเธอถูกลิขิตเอาไว้แล้วด้วยการแต่งงาน, มีลูก, และเสียชีวิตในขณะอายุน้อย แต่ โจฮันนา ตัดสินใจฝืนชะตากรรมจากพ่อผู้เข้มงวดและข้อจำกัดทางศาสนา ด้วยแรงปรารถนาและความเชื่อของตัวเอง แม้สิ่งว่าที่เธอต้องเสียสละนั้นช่างใหญ่หลวงยิ่งนัก
โจฮันนา เข้าศึกษาในโรงเรียนสอนศาสนาที่ดอร์สแต็ดท์ และพบกับ ท่านเคาท์ เจอโรว ชายสูงศักดิ์ในสภาบิชอฟ ในไม่ช้ามิตรภาพของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นความรัก และเมื่อ เจอโรว ต้องออกไปทำสงคราม โจฮันนา ก็กลับเข้ามาสู่เส้นทางของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง เพียงแต่เธอไม่สามารถทำสิ่งนั้นให้ลุล่วงด้วยการเป็นตัวของตัวเอง โจฮันนา จึงล่วงล้ำเข้าไปในเขตที่ไม่สามารถหวนคืนได้ ด้วยการตัดสินใจปลอมตัวเป็นผู้ชายและบวชเป็นพระสงฆ์ โดยเรียกตัวเองว่า หลวงพ่อโจฮันเนส
ด้วยความที่ โจฮันนา ยังตื่นตระหนกเมื่อต้องซ่อนอยู่ในภาพลักษณ์ความเป็นชาย ทำให้ตัวตนที่แท้จริงของเธอตกอยู่ในอันตราย เธอจึงตัดสินใจหนีมายังกรุงโรม ซึ่งทำให้เธอได้พบกับ เจอโรว อีกครั้งหนึ่ง ทั้งสองพบว่าสิ่งหนึ่งที่พวกเขาปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไปแล้วก็คือ “ความรัก”
โจฮันนา พยายามก้าวต่อไปในเส้นทางสู่พระศาสนจักร ถึงแม้ว่ามันจะเสี่ยงต่อการถูกเผยตัวตน แต่เธอก็รู้สึกถึงความจำเป็นถึงการมอบทั้งหัวใจให้กับพระเจ้า แต่ในขณะเดียวกันก็อยากมอบหัวใจให้กับผู้ชายที่เธอรัก ทันใดนั้นการตัดสินใจของเธอก็หมดลง เมื่อ โป๊ปเซอร์จิอุส เสียชีวิต และ โจฮันนา ถูกรับเลือกให้เป็นผู้สืบทอดคนต่อไป
ถึงแม้ว่า โจฮันนา กลายเป็นพระสันตะปาปา แต่ความรักของเธอที่มีให้กับ เจอโรว ก็ยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมและไม่เสื่อมคลาย เธอแต่งตั้งเขาให้เป็นองค์รักษ์ส่วนตัว และทั้งสองก็มีความสัมพันธ์กันอย่างลับๆก่อนที่จะเธอตั้งท้อง และนั้นก็เป็นจุดหักเหที่สำคัญ และทำให้ โจฮันนา ต้องเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่ถูกลิขิตเอาไว้จากพระเจ้า
ตัวตนของเธอคือความลับ ชื่อของเธอถูกลบออกจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แต่ชีวิตของ โจฮันนา ที่กลายเป็นผู้นำทางศาสนาที่ชื่อ โป๊ปโจฮันเนส อังกลิคัส พระสันตะปาปาแห่งศตวรรษที่เก้า และกลายเป็นตำนานที่ถูกฉีกออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ ในที่สุดทุกสิ่งก็ถูกเปิดเผยเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง Pope Joan
ผู้กำกับ ซองเก้ วอร์ทแมนน์ (Germany: A Summer’s Fairy Tale, The Miracle of Bern) นำเอาหนังสือขายดีทั่วโลกของ ดอนน่า วูลฟอล์ค ครอส มาทำเป็นหนังมหากาพย์อิงประวัติศาสตร์ ยุคมืดที่เล่าถึงผู้หญิงซึ่งต้องต่อสู้กับความกดขี่ทางเพศ และกฎเกณฑ์ของศาสนาที่ไร้ความยุติธรรม ที่นำเธอไปสู่ความศรัทธาและความรักอันบริสุทธิ์
Pope Joan แสดงนำโดย โจฮันนา โวคาเล็ค (The Baader Meinhof Complex), จอห์น กู้ดแมน (Evan Almighty, The Big Lebowski) รับบทเป็น โป๊ปเซอร์จิอัส, เดวิด เวนแฮม (Australia, 300, Lord of the Rings) รับบทเป็น เจอโรว และ อนาโทว์ ทาวล์บแมน (Quantum of Solice) รับบทเป็น อนาสตาซิอัส คู่แข่งที่ช่วงชิงตำแหน่งพระสันตะปาปา
การเดินทางของ Pope Joan
เส้นทางแห่งความศรัทธา: จากหนังสือสู่ภาพยนตร์
เรื่องราวของผู้หญิงที่ชื่อ โจฮันนา ผู้ได้รับกระแสเรียกที่นำเธอไปสู่บัลลังค์แห่งพระศาสนจักร ได้ตราตรึงอยู่ในใจของนักอ่านทั่วโลก จากหนังสือที่ชื่อ Pope Joan ซึ่งเขียนขึ้นโดย ดอนน่า วูลฟอล์ค ครอส โดยกลายเป็นหนังสือขายดีหลังจากการตีพิมพ์เมื่อปี 1996 และขายได้มากกว่า 5 ล้านเล่มทั้งรูปแบบหนังสือธรรมดาและหนังสือเสียง โดยเฉพาะในประเทศเยอรมันที่เดียว Pope Joan สามารถครองอันดับหนึ่งหนังสือขายดีประจำปีถึง 3 ปีซ้อน
โอลิเวอร์ บาร์เบน ผู้อำนวยการสร้าง Pope Joan พูดถึงการหยิบหนังสือเล่มนี้มาสร้างเป็นภาพยนตร์ว่า "ทุกคนชอบหนังสือที่เล่าถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่มีการโต้เถียง ผมอ่านหนังสือเล่มนี้เมื่อแปดปีก่อน และพบว่ามันมีความน่าสนใจในเนื้อหา และความตื่นเต้นที่ทำให้ผมพูดกับตัวเองเดี๋ยวนั้นเลยว่า “ฉันอยากเห็นมันเป็นภาพเคลื่อนไหว" แต่เส้นทางจากหนังสือไปสู่ภาพยนตร์นั้นก็ดูจะยาวนานพอสมควร”
มาร์ติน มอสโควิทซ์ อีกหนึ่งผู้อำนวยการสร้าง เล่าถึงการสร้างว่า "พวกเราดัดแปลงหนังสือขายดีให้ประสบความสำเร็จในรูปแบบภาพยนตร์มาโดยตลอด เช่น The Name of the Rose, The House of the Spirits และ Perfume - The Story of a Murderer โดย Pope Joan ถือเป็นการร่วมมือกันระหว่างหลายประเทศ พวกเราศึกษาโปรเจ็คนี้และได้ซื้อลิขสิทธิ์มาตั้งแต่ปี 2005”
เพื่อทำให้แน่ใจว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเล่าถึงชีวิตของ โป๊ปโจน อย่างเที่ยงตรง มอสโควิทซ์ จึงติดต่อกับ ดอนน่า วูลฟอล์ค ครอส โดยการไปหาเธอที่ประเทศสหรัฐ "พวกเรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับ ดอนน่า ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน เธอมีส่วนสำคัญอย่างมากในการพัฒนาบท ดอนน่า เป็นผู้หญิงที่มีความฉลาดและรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เธอรู้ถึงทุกแง่มุมของหนังสือเล่มนี้มากกว่าทุกคนบนโลก"
โอลิเวอร์ บาร์เบน พูดถึงการมีส่วนร่วมของนักเขียนว่า "ความจริงแล้วการเข้ามาช่วยเหลือพวกเราของ ดอนน่า ไม่ได้ถูกระบุเอาไว้ในข้อสัญญาที่ทำกันไว้เลย เธอเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือ และช่วยนำทางโปรเจ็คนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ"
มอสโควิทซ์ เล่าต่อว่า "มันเป็นเรื่องยากที่นักเขียนจะมอบสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมาให้กับคนอื่น แต่ ดอนน่า ก็สามารถรับมือกับสภาพการทำงานนี้แบบมืออาชีพ เธอบอกกับพวกเราว่า "ถ้าพวกคุณต้องการฉัน ฉันจะไปอยู่ตรงนั้น แต่ถ้าพวกคุณต้องการทำกันเอง ฉันก็ไม่เกี่ยง""
Constantin Film มีประวัติการร่วมงานที่ดีกับผู้กำกับ ซองเก้ ซึ่งเคยร่วมงานกันมาแล้วใน The Turbulent Man, Capus และ The Superwife มอสโควิทซ์ เล่าว่า "ซองเก้ มีสัญชาตญาณการเป็นผู้กำกับที่โดดเด่น นี้คือความร่วมมือที่ประสบความสำเร็จที่สุดในวงการภาพยนตร์เยอรมัน ไม่ว่าวัตถุดิบที่เราเตรียมไว้จะมีลักษณะอย่างไร เขารู้ว่าตัวเองควรทำยังไงกับสิ่งนั้น มันอยู่ในสัญชาตญาณของเขา"
ซองเก้ และ ไฮน์ริช แฮดดิ้ง เพื่อนนักเขียนบท ช่วยกันพัฒนาหนังสือกลายให้เป็นบทภาพยนตร์ โดยพวกเขาไม่ต้องการให้ความสำคัญเพียงแค่ชีวิตของ โจฮันนา เฉพาะตอนอยู่ในโรม และช่วงเวลาที่เธอขึ้นรับตำแหน่งเป็นพระสันตะปาปา แต่ยังรวมถึงช่วงเวลาในวัยเด็กและวัยรุ่นของเธออีกด้วย มอสโควิทซ์ เล่าว่า "ทั้ง ซองเก้ และ ไฮน์ริช แตกรายละเอียดในทุกแง่มุมในหนังสือ ให้ออกมาเป็นบทภาพยนตร์เวอร์ชั่นแรกที่มีความหนามาก"
โอลิเวอร์ บาร์เบน เล่าถึงการดัดแปลงบทภาพยนตร์จากหนังสือว่า “ถือว่าเป็นโชคดีของทีมสร้าง เพราะ ดอนนา ได้เขียนหนังสือที่มีจินตนาการเสมือนจริงเอาไนทุกฉาก แต่ละย่อหน้าของหนังสือเหมือนกับถูกลิขิตให้ถูกสร้างเป็นภาพเคลื่อนไหว โดยไม่ต้องนำมาปรับเปลี่ยนอะไรมากมายเลย"
อย่างไรก็ตาม ซองเก้ วอร์ทแมนน์ และ ไฮน์ริช แฮดดิ้ง ไม่ได้ใช้เพียงหนังสือเป็นรากฐานของบทภาพยนตร์ ผู้กำกับเล่าว่า "ผมยังได้ศึกษาถึงยุคสมัยนี้อย่างจริงจัง ถึงแม้ว่าจะไม่มีข้อมูลบันทึกอยู่มากนัก เพราะว่ามันมีอยู่หลายช่วงศตวรรษในยุคกลาง ที่ยังดำมืดจวบจนถึงปัจจุบัน แต่สำหรับผมแล้วประเด็นหลักของเรื่องก็ยังคงเหมือนเดิม คือการเล่าชีวิตของ โจฮันนา ที่ซื่อตรงนั้นเอง"
โจฮันนา รับบทโดย โจฮันนา: การคัดเลือกนักแสดง
คำถามใหญ่ที่รอคอยคำตอบตั้งแต่เริ่มคิดสร้างโปรเจ็ค นั้นก็คือใครจะมารับบทเป็น โจฮันนา ตัวละครที่มีความแข็งแกร่งแต่ก็ยังมีความขัดแย้งในจิตใจ เธอคือผู้หญิงที่มีกระแสเรียกจากพระเจ้า และใช้แรงใจเพื่อปลอมตัวในการเป็นผู้ชายเกือบทั้งชีวิต ในขณะเดียวกันเธอก็ไม่สามารถต้านทานพลังแห่งความรักที่เธอมีให้กับ เคาท์ เจอโรว โจฮันนา คือผู้หญิงที่มีความฝันอันสูงสุดในการได้รับใช้พระเจ้า และเรียนรู้การทำตามความฝันนั้นด้วยวิธีที่เกิดขึ้นครั้งเดียวในประวัติศาสตร์
โจฮันนา คือตัวละครที่ต้องการนักแสดงสาวที่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมให้กับคนดู และสามารถสร้างความน่าเชื่อถือ และก็ยังต้องเป็นผู้หญิงที่แบกภาพยนตร์เอาไว้ได้ทั้งเรื่องอีกด้วย
มีนักแสดงดาวรุ่งหลายคนที่ได้รับการพิจารณา รวมถึงนักแสดงสาวจากฟากฮอลลิวู้ด แต่ในที่สุด โจฮันนา โวคาเล็ค ก็กลายเป็นคนโปรดของทีมผู้สร้างทันที เธอคือนักแสดงที่มีพื้นฐานมาจากละครเวที รวมถึงการได้เล่นภาพยนตร์คุณภาพในเยอรมันบ้านเกิด เช่น Barefoot ที่เธอแสดงร่วมกับ ทิล ชไวเกอร์ และ The Baader Meinhof Complex ที่ถูกเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ในปีที่ผ่านมา
โอลิเวอร์ บาร์เบน ให้คำจำกัดความกับนักแสดงสาวคนนี้ว่า "เม็กกะแห่งศิลปะการแสดง" ส่วน มาร์ติน มอสโควิทซ์ ก็กล่าวชมเธอไม่ด้อยไปกว่ากัน "โจฮันนา เป็นนักแสดงที่มีเสน่ห์น่าดึงดูดใจ พวกเราเคยร่วมงานกับเธอมาใน The Baader Meinhof Complex เรารู้ดีว่าพลังงานการแสดงของเธอนั้นสามารถระเบิดได้กว้างแค่ไหน เมื่อผมนำโปรเจ็คนี้มาพูดคุยกับเธอเป็นครั้งแรก เธอก็รู้ทันทีว่าตัวเองต้องการเล่นบทนี้ เธอรู้สึกตื่นเต้นและกระตือรือล้นในการมีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มต้น"
ผู้กำกับ ซองเก้ วอร์ทแมนน์ ก็รู้สึกตั้งแต่เริ่มแรกแล้วว่า โวคาเล็ค เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด "โจฮันนา เป็นนักแสดงสาวที่มีความหลงไหลในอาชีพ พวกเราได้พูดคุยกันอย่างลึกซึ้งก่อนเริ่มเปิดกล้องและการได้ทำงานร่วมกับเธอระหว่างการถ่ายทำ ก็เปรียบได้กับการเล่นในสนามเด็กเล่น ในฐานะผู้กำกับผมรู้สึกเป็นเกียรติมาก ที่ได้เอนหลังอย่างสบายใจและเฝ้ามองถึงสิ่งที่เธอรู้ดีอยู่แล้วว่าควรทำเช่นไร"
การคัดเลือก โจฮันนา เข้ามารับบทเป็น โจฮันนา เหมือนกับจิ๊กซอว์ชิ้นใหญ่สุดของโปรเจ็ค แต่การที่มีตัวละครที่มีบทพูดกว่า 70 คนในเรื่อง เส้นทางการคัดเลือกนักแสดงก็ยังดูอีกยาวไกล เริ่มจากการคัดเลือกนักแสดงที่จะเข้ามารับบท โจฮันนา ในวัยเด็กและวัยรุ่น โดยนักแสดงที่จะมารับบทนั้น ต้องไม่เพียงแค่มีความสามารถในการแสดง แต่ยังต้องทำให้ผู้ชมเชื่อว่านี้คือคนๆเดียวกัน วอร์ทแมนน์ เล่าว่า "ถ้าคุณตั้งมาตรฐานเอาไว้สูง และสามารถก็ทำได้ตามที่ตั้งเอาไว้ นั้นจะเป็นสิ่งที่ดูน่าพอใจมากกว่า” โดยสุดท้ายแล้ว ไทเกอร์ลิลี่ ฮัทชินสัน นักแสดงชาวอังกฤษ ก็เข้ามารับบทเป็น โจฮันนา ในวัยห้าขวบ และนักแสดงชาวเยอรมัน ล็อตเต้ แฟล็ค ก็เข้ามารับบทเป็น โจฮันนา ตั้งแต่อายุสิบปีขึ้นไป
การคัดเลือกนักแสดงจากทั่วทุกมุมโลกยังคงเดินหน้าต่อไป ด้วยประสบการณ์การทำงานทั้งในเยอรมันและฮอลลิวู้ด ทำให้ วอร์ทแมนน์ รู้จักสไตล์การทำงานของนักแสดงแต่ละชาติเป็นอย่างดี "ในฐานะที่ตัวเองเป็นผู้กำกับ คุณก็จะมีทั้งจุดเด่นและจุดด้อย และผมก็คิดว่าหนึ่งในจุดเด่นของผมคือการคัดเลือกนักแสดง ผมเลือกนักแสดงที่เอาจริงเอาจังกับงาน และเป็นคนทำงานร่วมกับนักแสดงอื่นได้ดี"
ซึ่งทำให้เกิดการผสมสานของนักแสดงที่มีฝีมือและประสบการณ์จากทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงชาวออสเตรเลีย เดวิด เวนแฮม ที่รับบทเป็น เคาท์ เจอโรว โดยเขาเริ่มเป็นรู้จักของทุกคนจากบทบาท ฟาราเมียร์ ในมหากาพย์ไตรภาค Lord of the rings รวมถึงการแสดงที่น่าจดจำในหนังฟอร์มยักษ์มากมาย เช่น Van Helsing, 300 และ Australia
เดวิด เวนแฮม ยังถือเป็นตัวเลือกแรกของผู้เขียนหนังสือ ดอนน่า ครอส ในการเล่นเป็น เจอโรว โดย มอสโควิทซ์ เล่าว่า "มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่พวกเราจะเห็นด้วยกับความคิดของเธอ" ผู้กำกับ วอร์ทแมนน์ เองก็เสริมว่า "ผมนับถือ เดวิด เวนแฮม มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อที่เขาทำทุกอย่างได้สมบูรณ์แบบภายในเทคแรกทุกครั้ง สำหรับผู้กำกับแล้วมันคงเพียงพอแล้วถ้านักแสดงจะมอบให้ 50% และให้เราช่วยเติมเต็มให้ครบร้อย แต่เขาเข้ามาทำงานแล้วให้เต็มร้อยตั้งแต่แรกเลย"
เอียน เกลน รับบทเป็นพ่อของ โจฮันนา พระสงฆ์ประจำหมู่บ้านผู้เข้มงวดและศรัทธาในพระเจ้าแบบผิดๆ โดย เกลน ถือเป็นนักแสดงอังกฤษที่มีประสบการณ์สูงบนละครเวที และเป็นที่รู้จักในหนังฮอลลิวู้ดอย่าง Lara Croft - Tomb Raider, Resident Evil 2 + 3, และ Kingdom of Heaven
ผู้กำกับ ซองเก้ วอร์ทแมนน์ เคยดูการแสดงของ เกลน บนละครเวที และรู้สึกประทับใจในการแสดงที่เข้มข้นของเขา เขาเชื่อว่ามันเป็นบางสิ่งที่ เกลน สามารถผลิตออกมาได้โดยไม่ต้องพยายาม โดย โอลิเวอร์ เบอร์เบน ได้พูดถึงนักแสดงคนนี้ว่า "เอียน เกลน มีบทบาทที่น่ารังเกียจ และเขาก็ทำมันได้อย่างไร้ที่ติ ช่วงระยะการถ่ายทำเขายังสามารถทำให้พวกเรารู้สึกกลัวได้จริงๆ"
นักแสดงรุนใหญ่ชาวอเมริกัน จอห์น กู้ดแมน ถูกคัดเลือกเข้ามารับบท โป๊ปเซอร์จิอัส ซึ่งเขาเป็นนักแสดงที่เป็นรู้จักอย่างดีของคนทั่วโลกอยู่แล้ว กู้ดแมน ไม่เพียงแค่เป็นนักแสดงนำในซีรี่ย์ตลกสุดฮิต Roseanne และรวมถึงภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่องของสองพี่น้องโคเฮน
ซองเก้ วอร์ทแมนน์ พูดถึงนักแสดงคนนี้ไว้ว่า "พวกเราไม่รู้ว่า จอห์น กู้ดแมน จะเป็นคนอย่างไร ตอนแรกพวกเรากลัวว่านี้อาจเป็นโชคร้ายครั้งแรก ที่ได้นักแสดงอเมริกันเข้ามาทำตัวขี้เกียจบนกองถ่าย แต่มันก็เป็นเรื่องตรงกันข้ามเลย เพราะเขาคือนักแสดงที่สบายๆดูเป็นกันเอง และก็ยังเป็นคนที่มีฝีมือการแสดงที่ไม่มีขอบเขตอีกด้วย"
ความเสื่อมโทรมของยุคมืด: ยุคกลางถูกปลุกขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง
เพราะการมีนักแสดงจากทั่วทุกมุมโลกเช่นนี้แล้ว มันก็เป็นเรื่องที่ชัดเจนว่าภาพยนตร์จะต้องใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งความท้าทายที่ วอร์ทแมนน์ กลัวก่อนเริ่มค้นถ่ายทำกลับกลายเป็นเรื่องเล็ก "ผมพูดกับตัวเองเสมอว่า ผมชอบที่จะถ่ายทำด้วยการใช้ภาษาเยอรมัน เพราะว่ามันทำให้ผมสามารถปรับเปลี่ยนบทให้สอดคล้องกับอารมณ์ รวมถึงบุคลิกของนักแสดงที่รับบทเป็นตัวละครนั้นๆ แต่หลังจากถ่ายทำไปได้สักพัก ผมก็รู้ตัวว่ามันไม่แตกต่างกันเลย เมื่อเราใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร"
ความพยายามในการทำให้ภาพยนตร์แห่งประวัติศาสตร์เรื่องนี้ มีความอลังการในทุกองค์ประกอบ เช่นงานสร้างและเครื่องแต่งกาย โดย เบิร์นด์ ลีเพล ผู้ออกแบบงานสร้างและทีมงาน ได้ออกไปหาข้อมูลอย่างจริงจัง สำหรับจินตนาการในการสร้างหมู่บ้านของ โจฮันนา รวมถึงในตัวอารามพระและเขตกรุงโรมให้สมจริงที่สุด ประหนึ่งว่าทีมสร้างย้อนยุคกลับไปถ่ายทำกันในศตวรรษที่เก้า
วอร์ทแมนน์ ยังพูดถึงเครื่องแต่งกายของคนในยุคกลางซึ่งอยู่ในความดูแลของ เอสเธอร์ วอลท์ซ ที่จะต้องดูเสื่อมโทรมแบบสมจริงก่อนการถูกนำมาใช้ "มันเป็นการยากที่จะทำให้มันดูเก่าและโทรมโดยที่ไม่ถูกทำลาย แต่ผมก็เน้นย้ำกับทีมงานเครื่องแต่งกายว่าทำให้มันสกปรกที่สุด เพราะโลกในยุคกลางทกุอย่างจะต้องดูสกปรก"
แต่ วอร์ทแมนน์ ยอมรับว่าความสกปรกของยุคกลางนั้นก็ต้องมีขอบเขต ยกตัวอย่างเช่นการที่เหล่านักแสดงไม่จำเป็นต้องใส่ฟันปลอมที่ผุและดำ ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับคนในยุคนั้น "คุณสามารถแสดงให้เห็นโลกในยุคกลางได้ถึงระดับหนึ่ง ที่ผู้ชมจะรู้สึกอินไปกับยุคและเชื่อถือกับสิ่งที่เห็น แต่การใส่เข้ามาทุกอย่างก็อาจจะทำให้มันดูมากเกินไป"
อย่างไรก็ตามหน้าที่การสร้างเครื่องแต่งกายก็ดูหนักหนาสาหัส วอร์ทแมนน์ เล่าว่าบางครั้งทีมงานเครื่องแต่งกายและแต่งหน้า ต้องตื่นตั้งแต่ตีสองในตอนเช้ามืดเพื่อเตรียมชุด ให้พร้อมใช้งาน 500 ชุดก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้น
ฉากภายนอกสถานที่ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงโรมศตวรรษที่เก้า ถูกวางแผนว่าจะไปถ่ายทำกันในแถบแอฟริกาเหนือ มาร์ติน มอสโควิทซ์ เล่าว่า "มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งพวกเราคิดว่าจะไปถ่ายทำกันในกรุงโรมจริงๆ และประเทศบัลแกเรียก็ดูเป็นทางเลือกที่ดีเพราะว่าที่นั้นมีฉากกรุงโรมที่สร้างไว้เพื่อถ่ายหนังอยู่แล้ว แต่ตอนที่เราไปประเทศโมร็อกโกเพื่อถ่ายทำเรื่อง The Baader Meinhof Complex พวกเราค้นพบว่ามันก็สามารถใช้เป็นตัวแทนของกรุงโรมันได้"
โมร็อกโกเป็นประเทศที่มีโปรดักชั่นใหญ่ๆมาถ่ายทำมากมาย โดยเฉพาะเมืองอูร์ซาเซ็ทที่ใช้เป็นฉากหลังให้กับหนังมหากาพย์สองเรื่องของผู้กำกับ ริดลี่ย์ สก็อตต์ อย่าง Gladiator และ Kingdom of Heaven โดย โอลิเวอร์ บาร์เบน เล่าว่า "อูร์ซาเซ็ทคือเมืองที่ล้อมรอบไปด้วยทัศนียภาพอันกว้างขวาง ซึ่งไม่ปรากฏอยู่ในประเทศเยอรมันยุคปัจจุบัน พวกเราต้องการถ่ายทอดให้เห็นถึงกรุงโรมในปีคริสศักราช 840 เป็นกรุงโรมที่ไม่ได้อยู่ในยุคสมัยอันรุ่งเรืองของจักพรรดิซีซาร์ เป็นกรุงโรมที่กำลังเน่าเปื่อยผุผังอยู่ในช่วงยุคมืด"
เสร็จสิ้นการถ่ายทำ Pope Joan
Pope Joan ถ่ายทำกันเสร็จสิ้นในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2008 และได้เข้าสู่ช่วงการทำโพสโปรดักชั่น ซึ่งมักจะเป็นช่วงที่มีระยะเวลายาวนานที่สุด แต่นั้นก็เป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับโปรเจ็คนี้เลย โอลิเวอร์ บาร์เบน เล่าว่า "พวกเรามีกระบวนการทำโพสโปรดักชั่นที่รวดเร็วมาก วอร์ทแมนน์ เป็นผู้กำกับที่ถ่ายทำมากเท่าที่พวกเราต้องการ เขามีมุมมองที่ชัดเจนและรู้ว่าเรื่องราวที่ถูกเล่านั้นต้องออกมาเช่นไร ซึ่งมันก็เหมาะสมกับภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างที่สุด"
ซึ่งในกระบวนการนี้ก็หมายถึงการประพันธ์เพลงบรรเลงของ มาร์เซล บาร์ซ็อตติ อีกด้วย บาร์ซ็อตติ ถือเป็นนักประพันธ์ที่ได้ถูกคนต้องการตัวมากที่สุดในช่วงนี้ โดยเขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับมาแล้วใน The Miracle of Bern และ German: A Summer's Fairy Tale วอร์ทแมนน์ เล่าว่า "ผมรู้สึกว่าอะไรที่ไม่เสียก็อย่าไปซ่อมมัน พวกเราร่วมงานกันมานานแล้ว และมันก็ชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วว่า เพลงประกอบนั้นจะต้องเป็นแนววงออเคสตร้า ซึ่ง มาร์เซล ก็ได้แต่งเอามาให้ผมได้ทดลองฟัง และผมก็พบว่ามันสอดคล้องกับภาพที่ปรากฏมาก"
ยังมีคนพิเศษอีกคนที่รู้สึกถูกเติมเต็มและทำให้เชื่อมั่นถึงคุณภาพของหนัง นั้นก็คือตัวนักเขียนหนังสือ โดยผู้กำกับ ซองเก้ วอร์ทแมนน์ ได้บินไปที่นิวยอร์คเพื่อฉายหนังให้ ดอนน่า ดูเป็นการส่วนตัว และเขาก็กลับมาพร้อมเยอรมันกับรอยยิ้ม เพราะเธอเล่าถึงสิ่งที่ได้เห็นว่า "ฉันรู้สึกประทับใจและรู้สึกตื่นเต้นไปกับสิ่งที่ได้เห็น ฉันรักภาพยนตร์เรื่องนี้"
ภาคผนวก
“Pope Joan — เรื่องจริงหรือเพียงตำนานเล่าขาน”
Pope Joan ถือเป็น "ปริศนาในหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์" ที่มีความน่าสนใจ เช่นเดียวกับเรื่องของกษัตริย์อาเธอร์กับอัศวินโต๊ะกลม ว่าผู้หญิงคนหนึ่งดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าแห่งศาสนาจักรในศตวรรษที่เก้าจริงหรือไม่ ตัวตนของเธอเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์หรือปฏิเสธได้อย่างสนิทใจ แต่พวกเราสามารถเข้าไปสำรวจในหลักฐาน เพื่อที่จะได้นำมาสนับสนุนความมีตัวตนของเธอในประวัติศาสตร์ของเรา
โป๊ปโจน — เบื้องหลังตำนาน
มีหลายคนที่ไม่เคยได้ยินถึงเรื่องของ โป๊ปโจน และก็มีอีกหลายคนที่เชื่อว่าเรื่องราวของการเป็นพระสันตะปาปาของเธอ คือตำนานซึ่งถูกบันทึกเอาไว้ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์กว่า 500 ชิ้น รวมถึงการถูกบันทึกเอาไว้ด้วยลายมือของนักเขียนชื่อดังอย่าง เพตทราร์ค, บอคคัชชิโอ, และ พลาติน่า โดยเรื่องราวของ โจฮันนา นั้นปรากฏอยู่ในหนังสือที่ชื่อว่า Mirabilia Urbis ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังสือของชาวคริสต์ ซึ่งถูกอ่านโดยผู้แสวงบุญที่มาเยี่ยมกรุงโรมมากกว่าร้อยปี โดยรูปปั้นของ โจฮันนา ก็เคยยืนสง่าอยู่เคียงข้างพระสันตะปาปาปาองค์อื่นจนถึงปีคริสตศักราช 1601 ก่อนที่จะถูกปลดลงโดยคำสั่งของ โป๊ป คลีเม้นซ์ที่ 3
ในปีคริสตศักราช 1276 หลังจากการศึกษาอย่างถ้วนถี่ในจดหมายเหตุของพระสันตะปาปา (ซึ่งในปัจจุบันได้สูญหายไปแล้ว) โป๊ปจอห์นที่ 20 ก็ได้เปลี่ยนชื่อของตัวเองเป็น โป๊ปจอห์นที่ 21 ซึ่งทำให้นี้เป็นเหมือนการยอมรับถึงการเป็นพระสันตะปาปาของ โป๊ปโจฮันเนส อังกลิคัสที่ 8
ข้างล่างนี้คือหลักฐานที่ทั้งสนับสนุนและหักล้างการมีตัวตนของ โจฮันนา
หลักฐานหักล้าง
ข้อโต้เถียงหลักที่ไปหักล้างกับเรื่องราวของ โจฮันนา เริ่มด้วยคำถามถึงช่วงเวลาที่เธอได้ดำรงตำแหน่งเป็นพระสันตะปาปา นักเขียนหนังสือ ดอนน่า วูลฟอล์ค ครอส ได้เขียนถึงระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของเธอ ที่สอดคล้องกับข้อสันนิษฐานที่เป็นที่แพร่หลายที่สุด นั้นก็คือระหว่าง โป๊ปเซอร์จิอัสที่ 2, โป๊ปลีโอที่ 4 (ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้รวมทั้งสองเป็น โป๊ปเซอร์จิอัส เพียงคนเดียว) และ โป๊ปเบเนดิกต์ที่ 3
โป๊ปลีโอที่ 4 ซึ่งตามหลักฐานแล้วเสียชีวิตในปีค.ศ. 855 โดยผู้รับช่วงต่อจากเขา โป๊ปเบเนดิกต์ ก็ถูกจารึกว่าเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 29 สิงหาคมปีเดียวกัน ดังนั้นภายในสองปีครึ่งที่ โจฮันนา ถูกบันทึกว่าดำรงตำแหน่ง จึงมีเวลาเพียงแค่สองเดือนครึ่งระหว่างการเสียชีวิตของโป๊ปคนเก่าและการเลือกโป๊ปคนใหม่ โดยวันที่ โป๊ปเบเนดิกต์ เข้ารับตำแหน่งนั้นก็ถูกพิสูจน์ได้ด้วยเอกสาร ที่เขาส่งมอบให้กับทางพระศาสนจักรเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ซึ่งก็ยังเป็นวันเดียวกับวันที่กษัตริย์โลธาร์เสียชีวิต
หลักฐานสนับสนุน
หนังสือที่บันทึกเหตุการณ์ที่ชื่อ Book of the Popes ถือว่าไม่มีความเที่ยงตรง โดยเฉพาะเรื่องของระยะเวลาตามประวัติศาสตร์ในช่วงยุคมืด โดยวันที่ถูกระบุลงไปนั้นมักถูกเขียนขึ้นมาใหม่ด้วยการคาดคะเนทั้งสิ้น
วัยเสียชีวิตของ โป๊ปลีโอที่ 4 เขียนเอาไว้ว่าเป็นวันที่ 17 กรกฏาคม แต่มันก็ไม่ระบุถึงปีคริสตศักราชเอาไว้ โดยในช่วงเวลาก่อนมีการผลิตหนังสือ วัสดุที่ใช้บันทึกหลักฐานเหล่านี้จะถูกลบและเขียนใหม่หลายครั้ง มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนการเสียชีวิตของ โป๊ปลีโอจากปี 853 เป็น 855 ได้ ซึ่งจะทำให้มันไปสอดคล้องกับช่วงระยะเวลาที่ว่ากันว่า โจฮันนา เข้ามารับตำแหน่งภายในสองปีพอดี
หลักฐานหักล้าง
ชื่อของ โจฮันเนส อังกลิคัส ถูกเอ่ยขึ้นครั้งแรกในปี 1265 โดยพระสงฆ์ชาวโดมินิกัน มาร์ติน วอน ทรอปโป ซึ่งเป็นผู้บันทึกครั้งแรกว่าช่วงเวลาที่มีโป๊ปเป็นผู้หญิงคือศตวรรษที่ 9 เขาเขียนว่าเธอสืบตำแหน่งต่อจาก โป๊ปลีโอที่ 4 ในหนังสือชื่อ Chronicle of Popes and Emperors และถูกผลิตออกมา 500 เล่ม ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่สูงในยุคนั้น และทำให้นี้เป็นหลักฐานปรากฏเด่นชัดที่สุด มาร์ติน เล่าว่า โจฮันนา เป็นคนที่มีพื้นเพมากจากประเทศอังกฤษ โดยเธอได้ตั้งท้องระหว่างการดำรงตำแหน่ง เสียชีวิตระหว่างการให้กำเนิดทายาท และถูกฝังหลังจากนั้นทันที
แต่มันไม่มีหลักฐานที่ใหม่กว่านี้อีกแล้ว ซึ่งทำให้ความเท็จจริงของเหตุการณ์นี้ดูน่าคลุมเครือ นอกจากนั้นหลักฐานอื่นๆสำหรับตัวตนของ โจฮันนา ก็ล้วนมาจากพระสงฆ์สาย เบเนดิกต์ทีน และ ฟรานซิสก้า ที่ไม่ถูกกับพระศาสนจักรสายโรมัน โดยเรื่องราวนี้โด่งดังขึ้นมาในช่วงการปฏิวัติศาสนา และเรื่องของ โป๊ปโจน ก็ดูจะเป็นตัวช่วยพิสูจน์ถึงการล่มสลายของศาสนาคริสต์ของชาวโรมันในช่วงนั้นพอดี
หลักฐานสนับสนุน
แต่ก็มีเอกสารสมัยใหม่ชิ้นหนึ่งที่พูดถึงการมีตัวตนของ โจฮันนา นั้นก็คือหนังสือ the Liber Pontificalis มันตั้งคำถามว่าการมีตัวตนของ โป๊ปโจน ที่ปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุเก่า ว่ามีการแก้ไขในภายหลังหรือไม่ หรือมีใครก็ตามที่ไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นถึงเรื่องราวของ โจฮันนา และลบล้างทิ้งทำให้ประหนึ่งไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้นเลย
หลังจากหนังสือ the Liber Pontificalis เรื่องราวของ โจฮันนา ก็ดูปรากฏขึ้นในปี 1082 ในงานเขียนของ เมอเรียเนิส สโคทัส พระสงฆ์ที่ทุ่มเทให้กับการศึกษาเรื่องพระสันตะปาปา หลังจากนั้นก็ยังปรากฏอยู่ในผลงานของ ซิเกลเบิร์ดแห่งแกมเบิร์ค, อ็อตโต้แห่งไฟรซิ่งค์, ก็อดฟรี่ย์แห่งวิเธอร์โบ, เจอร์เวียสแห่งทิลบิว ซึ่งทั้งหมดถูกเขียนในช่วงศตวรรษที่ 12 ก่อนที่ มาร์ติน วอน ทรอปโป จะเขียนถึงเธอ
แต่ปัญหาของต้นฉบับเหล่านี้ก็คือการที่มันไม่ใช่ต้นฉบับ และเรื่องราวของ โจฮันนา ปรากฏอยู่ในสำเนาบางฉบับแต่ไม่ทั้งหมด ไม่ว่ามันถูกเพิ่มเข้ามาตามหลักฐานที่ถูกค้นพบใหม่หรือไม่ หรือว่ามันถูกดึงออกไปหลังจากพบหลักฐานที่มาหักล้างหรือเปล่า พวกเราคงไม่สามารถพิสูจน์ได้
สำหรับ มาร์ติน วอน ทรอปโป (ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม มาร์ติน โพโลนัส) เขาคือพระสงฆ์ชาวโดมินิกัน และเป็นผู้สนใจศึกษาในเรื่องอำนาจของพระสันตะปาปา เขาเป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในการค้นคว้าหาข้อมูลอย่างจริงจัง และมีการตรวจความถูกต้องของข้อมูลอย่างถี่ถ้วนทุกครั้ง งานเขียนของเขาใน Chronicon Pontificum et Imperatorum ถือว่าเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญ ในการเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระสันตะปาปา และมันก็ไม่มีข้อสงสัยแม้แต่นิดเดียว ถึงความมีตัวตนของ โจฮันนา ในหนังสือเล่มนี้
ถนนต้องห้าม เวีย ซาครา
หลักฐานสนับสนุน
ในโลกยุคกลาง ผู้ดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปาจะใช้เส้นทางที่สั้นและตรงที่สุด ระหว่างมหาวิหารแลเตอร์รัน (ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของโป๊ปจนถึงศตวรรษที่ 14) และมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ โดยถนนเส้นนี้มีชื่อว่า “เวีย ซาครา” (ซึ่งปัจจุบันนี้ถูกเรียกว่า เวีย ซาน จิโอวานนี่) ซึ่งเป็นที่ที่มีการบันทึกว่า โจฮันนา เสียชีวิตระหว่างการให้กำเนิดทายาท ในขณะที่เธอเป็นพระสันตะปาปา
ซึ่งหลังจากนั้นเป็นต้นมา พระสันตะปาปาทุกองค์ก็ไม่ใช้เส้นทางในการเดินทางนี้อีกเลย โดยทำการเดินอ้อมจากจุดที่พวกเขาเรียกว่า “เหตุการณ์แห่งความน่าชิงชัง”
จนกระทั่งปี 1486 อดัมส์ เบอร์ชาร์ด บิชอฟแห่งสตราสบูร์ก ผู้จัดงานฉลองให้กับ โป๊ปอินโนเซ้นท์ที่ 8 มีคำสั่งให้ใช้เส้นทางนี้อีกครั้ง ซึ่งภายหลังพระสันตะปาปาองค์นี้ ก็ถูกถอดตำแหน่งโดยอาร์คบิชอฟแห่งฟลอเร้นซ์ ในข้อหาที่เขาใช้เส้นทางที่ถูกเรียกว่า “จอห์น อังกลิคัส ให้กำเนิดทายาท"
หลักฐานหักล้าง
การเดินอ้อมในถนนเวีย ซาครา ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะ โป๊ปโจน แต่เป็นเพราะถนนเส้นนี้แคบเกินไปสำหรับพระสันตะปาปา ในการใช้เดินทางโดยปลอดภัย คำอธิบายอีกข้อหนึ่งคือโรมในยุคกลางนั้นถึงช่วงเวลาที่เสื่อมโทรมที่สุด โดยมักมีก้อนอิฐหรือรูปปั้นที่มักหล่นมาปิดกั้นเส้นทางเสมอ
แต่หลักฐานนี้ดูจะไม่อธิบายถึงการกระทำว่า ทำไม โป๊ปอินโนเซ้นท์ ถึงถูกถอดตำแหน่งโดยสภาสูงสุดของพระศาสนจักร และทำไมการใช้เส้นทางในปี 1486 ถึงไม่เจอกับอุปสรรคขวางทางอะไรในเส้นทางเลย
เก้าอี้แห่งเซนต์ปีเตอร์
หลักฐานหักล้าง
เป็นเวลามากกว่า 4 ศตวรรษ เก้าอี้สองตัวที่มีช่องว่างบนที่นั่ง ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในพิธีเข้ารับตำแหน่งพระสันตะปาปาองค์ใหม่ โดยในระหว่างพิธีกรรม โป๊ป จะได้รับคทาและกุญแจสู่มหาวิหารแลเตอร์รันบนเก้าอี้ตัวแรก โดยจะต้องวางมันลงในเก้าอี้ตัวที่สอง โดยเก้าอี้เหล่านี้ก็ยังมีอยู่จนถึงปัจจุบัน โดยตัวหนึ่งอยู่ในวาติกัน และอีกตัวอยู่ในพิพิธภัณฑ์ลูฟท์ โดยตัวที่ให้ โป๊ป นั่งจะมีหลุมขนาดใหญ่บนที่นั่ง ซึ่งเป็นข้อสันนิษฐานว่าเก้าอี้นี้อาจใช้เพื่อพิสูจน์เพศของโป๊ปคนใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เดียวกับ โจฮันนา
เก้าอี้สองตัวนี้ถูกกล่าวถึงในหนังสือ the enthronement of Paschalis II ในปี 1099 แต่ในขณะที่เล่มหลังจากนั้นก็ไม่มีการเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ซึ่งตั้งแต่ กษัตริย์ฮาเดรียนที่ 6 หรือจากปีค.ศ. 1522 เป็นต้นมา พิธีกรรมนี้ก็ถูกยกเลิกไปและทุกคนก็ปฏิเสธว่านี้คือการทดสอบเรื่องเพศ
หลักฐานสนับสนุน
ความจริงแล้วมีเก้าอี้สามตัวในประวัติศาสตร์ โดยตัวที่สามนั้นมีรูปร่างเหมือนกับเก้าอี้สำหรับปลดทุกข์ เพราะว่ามันมีรูปร่างคล้ายกระโถน นี้คือเก้าอี้ที่ถูกสันนิษฐานว่าโป๊ปที่ถูกเลือกทุกคน จะต้องมานั่งเพื่อพิสูจน์ความเป็นชาย หลังจากที่ผู้ตรวจ (ซึ่งมักเป็นขันที) ได้ประกาศให้กับคนที่มากรวมตัวกันเป็นพยานว่า “Mas nobis dominus est” ซึ่งแปลได้ว่า "ท่านลอร์ดของเราคือผู้ชาย" หลังจากนั้นโป๊ปถึงได้รับกุญแจมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์
มีพยานรู้เห็นมากมายเล่าถึงพิธีกรรมนี้รวมถึงเก้าอี้ที่ใช้ตรวจ โดยมีผู้ที่เขียนถึงอย่าง อดัมส์แห่งเอิร์ค และ เบอนาร์ดแห่งโครีโอ รวมถึงคนอื่นที่ล้วนเล่าถึงการรู้เห็นเป็นพยาน ในการตรวจอวัยวะเพศของโป๊ป ซึ่งมันคงเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นเลย ถ้าไม่เคยเกิดเหตุการณ์ว่าโป๊ปเป็นผู้หญิงขึ้นมา
บทสรุป
เราอาจเปรียบได้ว่าตำนานของ โจฮันนา มีส่วนคล้ายกับตำนานของกษัตริย์อาเธอร์ ทุกคนบนโลกเชื่อถึงเรื่องของกษัตริย์อาเธอร์กับอัศวินโต๊ะกลม, ดาบที่ถูกฝังอยู่บนหิน รวมถึงเรื่องของ แลนซ์ล็อต และ จินีเวียร์ เรื่องราวของกษัตริย์อาเธอร์ปรากฏขึ้นครั้งแรกเมื่อ 600 กว่าปีที่แล้ว โดยนักเขียนชื่อ เจฟฟรีย์แห่งมอนมัท ผู้อ้างว่าเขียนขึ้นจากหลักฐาน "หนังสือโบราณที่พูดถึงความสำเร็จของกษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักร"
แต่ไม่มีใครเคยเห็นหนังสือที่ เจฟฟรีย์แห่งมอนมัท พูดถึง นักวิชาการหลายคนเห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานของ วิลเลียมแห่งนิวเบิร์ค ที่เขียนลงในหนังสือของตัวเองในปี 1190 ว่า "มันเป็นเรื่องที่ชัดเจนว่า สิ่งที่ เจฟฟรีย์แห่งมอนมัท เขียนขึ้นมาล้วนเป็นเพียงเรื่องแต่ง ไม่ว่ามันเกิดขึ้นจากความรัก หรือว่าเป็นการเขียนเพื่อเชิดชูสหราชอาณาจักร"
ถ้าเรื่องราวของ โจฮันนา ถูกอ้างอิงจากหลักฐานที่เหมาะสมในการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ทำไมเรื่องราวของกษัตริย์อาเธอร์เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ในขณะที่เรื่องของ โจฮันนา ถึงสูญหายและถูกลืมล่ะ ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ว่าเรื่องของเธอนั้นเป็นเพียงแค่ตำนานเล่าขาน หรือว่าเป็นความจริง นี้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องตัดสินกันเอง
แต่คำตอบหนึ่งที่เป็นไปได้ ซึ่งมาจากปากของ ฟรานซิส เบคอน นักปรัชญาในศตวรรษที่ 17 ที่บอกว่า "สิ่งที่ผู้คนเชื่อมักเป็นสิ่งที่ผู้คนคิดว่าเป็นความจริง"
ทีมนักแสดง
โจฮันนา โวคาเล็ค (รับบทเป็น โจฮันนา)
โจฮันนา โวคาเล็ค เกิดในปี 1975 ที่เมืองไฟร์บูร์ก ประเทศเยอรมัน เธอมุ่งหน้าเรียนการแสดงที่กรุงเวียนนาทันทีหลังจากจบการศึกษาชั้นมัธยม และได้รับโอกาสในการแสดงครั้งแรกใน Aimee & Jaguar และซีรี่ย์เรื่อง Der Laden ในขณะที่ยังเรียนอยู่ หลังจากสำเร็จการศึกษา เธอก็ได้เข้าร่วมกลุ่มนักแสดงละครเวทีที่เรียกตัวเองว่า Bonn Schauspiel เป็นเวลาสามปี
ต่อมาเธอก็ได้ก้าวเข้ามาในโลกภาพยนตร์ในภาพยนตร์เรื่อง Das K?thchen von Heilbronn และ Emilia Galotti ซึ่งในปี 2003 เธอก็ได้รับรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง Hierankl ในเวที Bavarian Film Award
ในที่สุดภาพยนตร์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ โจฮันนา อย่างแท้จริง ก็คือหนังที่เธอแสดงคู่กับ ทิล ชไวเกอร์ เรื่อง Barefoot ในปี 2005 โดยหลังจากนั้นเธอก็แสดงในหนังดราม่าเรื่อง North Face และล่าสุดการแสดงอันน่าประทับใจของเธอใน The Baader Meinhof Complex ทำให้ โจฮันนา ได้รับรางวัลนักแสดงเยอรมันยอดเยี่ยมประจำปีจาก Bambi Award และ the Diva Award
เดวิด เวนแฮม (รับบทเป็น เจโรว)
เดวิด เวนแฮม คือนักแสดงชาวออสเตรเลียที่มีชื่อเสียงอยู่ในบ้านเกิดอยู่แล้ว ก่อนที่เขาจะเป็นที่รู้จักจากคนทั่วโลกในภาพยนตร์ของผู้กำกับ บาซ เลอร์แมนน์ เรื่อง Moulin Rouge ที่เขาแสดงร่วมกับ นิโคล คิดแมน และ ยวน แม็คเกรเกอร์ และมหากาพย์ไตรภาคของผู้กำกับ ปีเตอร์ แจ็คสัน เรื่อง Lord of the Rings ที่เขารับบทเป็น ฟาราเมียร์
เขายังแสดงคู่กับ ฮิวจ์ แจ็คแมน ในหนังเรื่อง Van Helsing และรับบทเป็นหนึ่งในกองทัพสปาร์ตันในเรื่อง 300 หนังแอ็คชั่นของผู้กำกับ แซ็ค ชไนเดอร์ จากนั้นเขาก็กลับไปร่วมงานกับ บาซ เลอร์แมนน์, นิโคล คิดแมน และ ฮิวจ์ แจ็คแมน อีกครั้งใน Australia โดยล่าสุดเขายังมีผลงานใน Public Enemies ของ ไมเคิล มานน์ ที่ได้ประกบคู่กับสองซุปเปอร์สตาร์อย่าง จอห์นนี่ เด็ปป์ และ คริสเตียน เบลล์
จอห์น กู๊ดแมน (รับบทเป็น โป๊ปเซอร์จิอัส)
ผลงาน >>> Speed Racer, Evan Almighty, The Big Lebowski, The Flintstones
เอียน เกลน (รับบทเป็น พ่อของโจฮันนา)
ผลงาน >>> Resident Evil: Extinction & Apocalypse, Kingdom of Heaven, Lara Croft: Tomb Raider
ทีมผู้สร้าง
ซองเก้ วอร์ทแมนน์ (ผู้กำกับ)
ซองเก้ วอร์ทแมนน์ เกิดในปีค.ศ. 1959 เขาถือว่าเป็นผู้กำกับชาวเยอรมัน ที่ประสบความสำเร็จและได้รับความนับถือที่สุดคนหนึ่ง โดยภาพยนตร์อย่าง The Miracle of Bern และ Germany: A Summer's Fariry Tale ถือว่าเป็นหนังฟอร์มใหญ่ และทำรายได้เป็นอย่างดีในประเทศบ้านเกิด
วอร์ทแมนน์ จบการศึกษาจาก the M?nchner Hochschule f?r Fernsehen und Film ในเยอรมัน และ the Royal College of Art ในลอนดอน ประเทศอังกฤษ เขาเริ่มเป็นที่รู้จักตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง Alone Among Women และ Little Sharks จากนั้นก็ดังเป็นพลุแตกกับ The Turbulent Man ที่ได้พระเอกอันดับหนึ่งของเยอรมัน ทิว สไวเกอร์ มารับบทนำ
เขาได้รับรางวัลจากการกำกับมากมาย ไม่ว่าจะเป็น German Film Awards จากภาพยนตร์เรื่อง Little Sharks และ The Turbulent Man, Bavarian Film Awards จากภาพยนตร์เรื่อง Campus และ The Miracle of Bern รวมถึง Adolf Grimme Award จากภาพยนตร์เรื่อง Germany: A Summer's Fariry Tale
ไฮน์ริช แฮดดิ้ง (ผู้เขียนบท)
ผลงาน >>> Germany: A Summer's Fariry Tale, The Miracle of Bern, The Hollywood Sign
มาร์ติน มอสโควิทซ์ (ผู้อำนวยการสร้าง)
ผลงาน >>> Downfall, Nowhere in Africa, The Baader Meinhof Complex
ทอม ฟาร์มานน์ (ผู้กำกับภาพ)
ผลงาน >>> The Miracle of Bern, Campus, The Super Wife
เบิร์นด์ ลีเพล (ผู้ออกแบบงานสร้าง)
ผลงาน >>> The Tin Drum, Angels of Iron, Downfall, The Baader Meinhof Complex