กรุงเทพฯ--18 ม.ค.--เอ็นจอย คอมมูนิเคชัน
นุ้ย-ธนารี ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย เกิดมาไม่มีนิ้วมือนิ้วเท้าทั้ง 2 ข้าง แม่ไม่ยอมรับทิ้งไปแต่เด็ก เหลือเพียงพ่อเลี้ยงดู จ้างพี่เลี้ยง-ครูมาสอนหนังสือที่บ้าน สิ้นพ่อต้องออกจากบ้าน ร่อนเร่หาที่พึ่ง โชคดีเพื่อนเก่าพ่อเมตตาให้ที่พักพิง มุ่งมั่นเรียนพร้อมทำงานส่งเสียตัวเองจนจบป.ตรี นิเทศศาสตร์ มสธ. ใช้เวลาเพียง 3 ปีครึ่ง เพราะเธอเชื่อมั่น “ถ้ามีความรู้ ย่อมมีโอกาสได้งานที่ดีทำ”
นุ้ย หรือ นางสาวธนารี ฟุ้งภิญโญภาพ อายุ 29 ปี นิเทศศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) จากเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี กล่าวว่า เธอใช้เวลาเรียนที่มสธ.เพียง 3 ปีครึ่ง ก็สำเร็จการศึกษาเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2551 ด้วยเกรดเฉลี่ย 2.43 และเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2553 ณ อาคารอเนกนิทัศน์ มสธ. ร่วมกับเพื่อนบัณฑิตจากสาขาวิชาต่างๆ และในอนาคตอยากจะเรียนต่อระดับปริญญาโท ที่มสธ. เพราะที่นี่ให้โอกาสทุกคนเท่าเทียมกัน การที่เลือกเรียนสาขานิเทศศาสตร์ เพราะชอบงานด้านประชาสัมพันธ์ ชอบพูดคุยกับคนอื่นๆ
นุ้ยให้เหตุผลในการเลือกเรียนที่มสธ.ว่า เธอต้องทำงานและเรียนไปด้วย มสธ.เป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเองถึงเวลาก็ไปสอบ ทำให้ง่ายสะดวกมาก สภาพร่างกายก็ไม่ได้เป็นปัญหาต่อการเรียนเพราะเราอ่านหนังสืออยู่กับบ้านถึงเวลาก็ไปสอบซึ่งมันง่าย ถ้าต้องไปเรียนสถาบันที่ต้องเข้าเรียนทุกวันก็ไม่สะดวกในการเดินทาง ในการเรียนต้องช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด อ่านหนังสือเยอะๆแล้วสรุปทบทวนอีกครั้ง โดยหลังจากเลิกงาน 2-3 ทุ่ม ทำกิจวัตรส่วนตัวเสร็จก็อ่านหนังสือสัก 1-2 ชั่วโมงต่อวัน ถึงเวลาไปสอบที่ อ.สัตหีบ ก็ขึ้นรถสองแถวให้เข้าไปส่งถึงอาคารจ่ายเพิ่มพิเศษ
“เราสภาพร่างกายเป็นแบบนี้คงไปทำงานแบบใช้แรงไม่ได้ ต้องทำงานที่ใช้ความรู้ ใช้สมอง มองว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญก็เลยตั้งใจที่จะเรียนอย่างน้อยเทียบเท่าคนทั่วไปที่เขาจบปริญญา และมั่นใจว่าถ้ามีความรู้ ความสามารถ มีปริญญาติดตัว สามารถทำงานได้และมีที่สักที่ที่ให้โอกาสเราในการทำงาน แต่ต้องพยายามให้มากกว่าคนอื่น เพื่อที่เราจะยืนหยัดอยู่ในสังคมได้เท่าเทียมกับคนปกติทั่วไป ถึงวันนี้ภูมิใจมากที่ตัวเองทำได้ขนาดนี้ อยากบอกหลายๆ คนว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเรามีความรู้ทุกๆ ที่ย่อมให้โอกาสเราในการทำงาน”นุ้ยกล่าวด้วยความภาคภูมิ
นุ้ย เล่าย้อนอดีตกว่าจะประสบความสำเร็จในการเรียนอย่างทุกวันนี้ว่า เธอเกิดมาโดยไม่มีนิ้วมือและนิ้วเท้าทั้ง 2 ข้าง ทำให้แม่และครอบครัวไม่ยอมรับ กลัวว่าจะเป็นภาระจึงทิ้งไป เหลือเพียงพ่อที่รักลูกเหนือสิ่งอื่นใด ยืนยันที่จะเลี้ยงเธอไว้ แม้ครอบครัวจะไม่เห็นด้วย โดยพ่อที่เปิดร้านไดนาโมจ้างพี่เลี้ยงมาคอยดูแลเธอ ต่อมาพ่อแต่งงานใหม่ มีลูกชายอีก 2 คน แต่ก็ไม่มีปัญหาใดๆ พ่อดูแลอย่างดี เปิดเผย ไม่เคยอายเวลาพาเธอไปเที่ยวข้างนอก
“พ่อมักจะคอยสอนเสมอว่าไม่ต้องไปเกรงกลัวสายตาใคร ลูกพิการเพียงแค่ร่างกาย คนที่รังเกียจลูกต่างหากที่พิการใจ ลูกยังเดินได้ ช่วยเหลือตัวเองได้ทุกอย่าง ไม่ได้ทำตัวเป็นภาระของใคร จงภาคภูมิใจในความสามารถของลูก พ่อสอนให้เรียนรู้ที่จะยอมรับความจริง เพื่อก้าวเดินต่อไปข้างหน้าและพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่า ไม่มีสิ่งไหนในโลกใบนี้ที่หากเพียรพยายามอย่างเต็มกำลังแล้ว จะทำไม่ได้ แม้ต้องใช้กำลังกาย กำลังใจ เวลา และการทุ่มเทมากกว่าคนอื่นเป็นร้อยเท่า พันเท่า แต่เมื่อถึงประสบความสำเร็จ รางวัลก็จะมากกว่าคนอื่นเป็นร้อยเท่าพันเท่าเช่นกัน”นุ้ย กล่าว
นุ้ย เล่าต่อว่า พ่อจ้างครูมาสอนหนังสือให้เธอ จนสามารถอ่านออก-เขียนได้ เธอช่วยพ่อรับโทรศัพท์ลูกค้า และจดบันทึกไว้เวลาพ่อไม่อยู่ เมื่ออายุ 19 ปี เริ่มอยากเรียนที่ กศน. เพราะอยากมีงานทำ โดยคิดว่าเธอทำงานได้ขอเพียงมีความรู้ จึงติดต่อจนเจอหัวหน้า กศน.เขตราษฎร์บูรณะ ท่านส่งคนมาดูและลองสอบเทียบความรู้ จากที่ไม่มีวุฒิเลยก็เริ่มเรียน ม.3 ใช้เวลา 3 ปีก็จบม.6 โดยการอ่านหนังสืออยู่ที่บ้านถึงเวลาก็ไปสอบ
ชีวิตหักเหอีกครั้งเมื่อปี 2543 หลังพ่อเสียชีวิตและทำบุญครบ 100 วัน ต้องออกจากบ้านเพราะไม่เป็นภาระให้กับแม่เลี้ยง จึงตัดสินใจออกจากบ้านมาพร้อมกับพี่เลี้ยงที่เปรียบเสมือนแม่ชื่อติ๋ม โดยต้องย้ายไปถึง 2 แห่งกว่าจะมาเจอครอบครัว รัชตะชัยอนันต์ เพื่อนเก่าของพ่อ ซึ่งรับเธอกับแม่ติ๋มไปอยู่ด้วย ต่อมาได้พาไปเที่ยวที่พัทยา ทำให้รู้ข่าวโรงเรียนอาชีวพระมหาไถ่ พัทยา ที่ฝึกสอนวิชาชีพให้กับคนพิการ ทำให้มีความหวังในชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง เธอสอบติดและเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ ในหลักสูตรคอมพิวเตอร์และการจัดการธุรกิจ ภาคภาษาอังกฤษ เป็นเวลา 2 ปี และเรียนจบในเดือนมีนาคม ปี 2545
และได้งานที่บริษัทโพสต์เวย์ ในตำแหน่งพนักงานขายทางโทรศัพท์และดูแลเรื่องงานโฆษณาก่อนจบจริงถึง 2 เดือน เมื่อต้องสอบเจ้านายก็อนุญาตให้หยุด เธอจึงต้องทำงานและเรียนไปพร้อมๆกัน จากนั้นจึงเรียนต่อระดับปริญญาตรี ที่มสธ. ทว่า หลังทำงานได้เพียง 1 ปี 11 เดือน บริษัทต้องปิดตัว เธอตกงานอยู่นานถึง 1 ปีครึ่ง ก่อนกลับมามีงานทำที่ศูนย์คณะพระมหาไถ่ พัทยา ในตำแหน่งรับจองห้องพักเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
“ตอนพ่อเสียเหมือนเรือที่ขาดหางเสือ ไม่รู้จะเดินไปทางไหน เคยคิดอยากจะตายตามพ่อไป แต่ก็มาได้คิดว่าพ่อสู้ทำทุกอย่างเพื่อให้ทุกคนที่ดูถูกและรังเกียจได้รู้ว่า ความพิการของเราไม่เคยเป็นภาระ ให้ใคร สามารถดูแลตัวเองได้ดี เมื่อได้งานทำก็พิสูจน์ได้ว่า เรายังคงมีความสามารถทำงานได้เป็นอย่างดีความพิการทางร่างกายมิได้เป็นอุปสรรค และคิดเสมอว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้ามีความรู้ ย่อมมีโอกาสได้งานที่ดีทำ “นุ้ยกล่าว
นุ้ย บอกว่า เธออยากเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนพิการหลายๆ คนที่ พ่อแม่จะปิดลูกพิการให้อยู่กับบ้าน จริงๆแล้วไม่ใช่ ควรจะปล่อยให้เขาออกข้างนอกให้เขาเคยชิน เพื่อให้เขาสามารถดำรงชีวิตได้อย่างคนทั่วไป สังคมไทยเป็นสังคมที่ดี มีคนข้างน้องคอยช่วยเหลือจำนวนมาก
ด้าน ผศ.ดร.สุภาภรณ์ ศรีดี อาจารย์ประจำสาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) กล่าวว่า นุ้ยเป็นคนร่าเริง ยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา อัธยาศัยดี มองโลกในแง่บวก เอาใจใส่กับการเรียนอยู่ตลอดเวลา ไม่เข้าใจจะถาม ผิดก็แก้ทันที และเหมาะกับเอกประชาสัมพันธ์มาก เขามีความตั้งใจ เพียรพยายาม เขาต้องทำงานประจำให้เสร็จก่อนถึงจะมาทำการบ้านได้เพราะที่บ้านไม่มีคอมพิวเตอร์ เลยต้องอาศัยที่ทำงานหลังเลิกงาน เขาเป็นคนฉลาด รับรู้ได้เร็ว เวลาบรรยายอะไรไป เขาเข้าใจและสามารถทำได้เลย จำได้ว่าวันสุดท้ายที่เขานำเสนองาน นุ้ยจะเป็นคนแรกที่อาสา นำเสนอผลงาน เขาบอกว่าอยากให้คนได้รับรู้สิ่งที่เขาคิด
“ตลอดเวลาที่ได้ดูแลเขาไม่ได้รู้สึกว่าเขาลักษณะพิเศษหรือแตกต่างจากคนอื่นเลย แต่กลับรู้สึกว่าเขาเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆ อีกหลายๆ คนที่ท้อแท้ในชีวิต เขาสู้ชีวิต หลังจากสูญเสียพ่อใช้ชีวิตอยู่คนเดียวไม่ท้อพยายามยามใฝ่คว้าหาความรู้เรียนจนสำเร็จปริญญาตรี มั่นใจว่าเขาจะต้องประสบความสำเร็จในชีวิตแน่นอน อยากให้หลายคนที่ประสบปัญหาชีวิตขอให้ดูนุ้ยเป็นตัวอย่าง การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิต ร่างกายพิการไม่ใช่อุปสรรสำหรับการเรียนรู้ โอกาสมีให้สำหรับทุกคน เพียงแต่ขอให้มีใจรัก มานะ เพียรพยายาม ความสำเร็จก็ไม่ไกลเกินเอื้อม”ผศ.ดร.สุภาภรณ์กล่าว